ตอนที่ 425 ของขวัญชิ้นใหญ่!
“โอ้ มาทำอะไรกัน? ทำไมถึงขนข้าวของมาตั้งหลายกล่อง? คงไม่คิดจะส่งของขวัญให้จวนตระกูลเฟิ่งเปล่าๆ หรอกกระมัง?”
เฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงหรี่ตากวาดมองผู้คนเบื้องหน้า สายตามองผ่านบนกล่องพวกนั้นที่มีดอกไม้ผ้าไหมแดงดอกใหญ่ผูกไว้ บนใบหน้าพริ้มเพรามีรอยยิ้มประดับ ภายในความอ่อนหวานแฝงความไร้เดียงสา ราวกับแกะน้อยไร้พิษสง กำลังมองเกี้ยวหรูหราที่จอดตรงประตูใหญ่ด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม
ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังตรงหน้าเหลือบมองนาง เอ่ยเสียงเข้มว่า “คุณหนูใหญ่เฟิ่ง วันนี้ฝ่าบาทข้ามามอบสินสอดทองหมั้นด้วยตนเอง เพื่อรับท่านกลับไปแคว้นเหินเวหา ในเมื่อท่านออกมาแล้วก็พอดีเลย ให้คนมาเก็บสินสอดไป ส่วนท่านตามพวกเรามาเถอะ!”
ได้ยินเช่นนี้ เธอเลิกคิ้วขึ้น สายตามองไปยังกล่องพวกนั้น ในแววตามีประกายที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจฉายผ่าน ริมฝีปากยกยิ้มเบาๆ “พวกนี้คือสินสอด?”
“ถูกต้อง เพื่อให้เห็นความสำคัญที่องค์รัชทายาทมีต่อคุณหนูใหญ่เฟิ่ง ฝ่าบาทจึงตั้งใจสั่งคนเตรียมของล้ำค่าร้อยกล่องมาเป็นสินสอด เพื่อแสดงถึงความจริงใจ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังถูกเปล่งออกมาพร้อมกลิ่นอายพลังวิญญาณ ลอยเข้าหูคนที่มุงดูเรื่องสนุกห่างออกไปไกลร้อยเมตรพวกนั้นอย่างชัดเจน
เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าเป็นสมบัติล้ำค่าร้อยกล่อง ดวงตาบางคนเผยความอิจฉา ดวงตาบางคนก็เผยความดูแคลนจนถึงขั้นเหยียดหยาม
“จะขอข้าแต่งงานด้วยสมบัติร้อยกล่อง? อืม ไม่สิ จะแต่งข้าเป็นชายารอง?” เฟิ่งจิ่วเดินนวยนาดเข้าไป เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้านึกว่าจะนำของพวกนี้มาขอขมาเสียอีก! ถึงอย่างไรสองวันนี้พวกท่านก็นำปัญหามาให้จวนข้าไม่น้อย”
ได้ยินเช่นนี้ คนไม่น้อยที่อยู่ไม่ไกลต่างสูดหายใจ ไม่นึกว่าคุณหนูใหญ่เฟิ่งจะกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง ต้องรู้ไว้ว่าหากไม่ระวังทำให้เขาโกรธ แค่หนึ่งฝ่ามือก็ซัดนางกระเด็นเมื่อไหร่ก็ได้
ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนนั้นขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แค่ผู้หญิงคนเดียวยังกล้าวางท่าต่อหน้าเขา คิดว่าตนเองเป็นใครกัน เดาว่ารัชทายาทคงสนใจนางแค่ช่วงหนึ่ง หากไม่มีฝ่าบาทคอยคุ้มหัว ถึงแม้นางคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในแคว้นเหินเวหายังยากเลย
“คุณหนูใหญ่เฟิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?” ผู้ฝึกตนคนนั้นมีสีหน้าถมึงทึง จ้องนางด้วยแววตาคมปลาบ “องค์รัชทายาทพวกเราถูกใจท่านถือเป็นวาสนา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีสมบัติร้อยกล่องเป็นสินสอด หากไม่เห็นว่าท่านสำคัญ ถึงสั่งให้คนพาท่านเลยไปก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร!”
“บังอาจ!”
เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดซึ่งกังวานทรงพลังดังมาจากปากองครักษ์รอบๆ เป็นเสียงที่สม่ำเสมอเท่ากัน ทั้งโกรธเคืองและเยียบเย็น ภายในเสียงตะโกนมีกลิ่นอายพลังเร้นลับจากร่างองครักษ์ทุกคน กลิ่นอายพลังเร้นลับที่ดุดันปานคมมีดต่างตรงไปทางผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนนั้น เสียงตะโกนนี้ก่อตัวกลายเป็นกลิ่นอายพลังเร้นลับที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากลางอากาศและจู่โจมไปทางเขา
เห็นเพียงผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังผงะ ก่อนยกมือขึ้นสะบัดกลิ่นอายพลังวิญญาณสายหนึ่งออกไป เมื่อทำลายกระแสลมนั้นแล้วถึงชำเลืองมององครักษ์พวกนั้น ในใจแอบตกตะลึง
คนพวกนี้…
ดูท่าเขาจะต้องบอกองค์รัชทายาทเสียหน่อย ตอนที่พาคุณหนูใหญ่เฟิ่งกลับไป องครักษ์กองนี้ก็ต้องพาไปด้วยกัน! กองกำลังเช่นนี้จะต้องเป็นกำลังพลที่องอาจห้าวหาญอย่างแน่นอน!
ยามนี้เฟิ่งจิ่วยกมุมปากขึ้นอย่างนึกสนุก แล้วมองผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังคนนั้น “อ้อ ข้ามีเกียรติเช่นนี้เชียว? ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ!”
บนริมฝีปากเธอมีรอยยิ้มประหลาดผลิบาน กล่าวว่า “ในเมื่อพวกท่านมอบของล้ำค่าพวกนี้มา ไม่สู้ให้ข้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ตอบแทนเป็นอย่างไร?”
………………………………………………….
ตอนที่ 426 องครักษ์ตระกูลเฟิ่งฟังคำสั่ง!
ขณะได้ยินคำพูดนี้ กำลังสงสัยอยู่ ก็เห็นนางเก็บรอยยิ้มตรงริมฝีปาก สั่งการหลัวอวี่ซึ่งตามอยู่ข้างกาย เวลาต่อมาจึงได้ยินเสียงที่แฝงด้วยกลิ่นอายพลังเร้นลับจากปากเขา
“เหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่งฟังคำสั่ง!”
พอเอ่ยคำนี้ออกมา คนแคว้นเหินเวหาพลันระแวดระวังตัว นึกว่าพวกเขาคิดจะลงมือ
แม้แต่คนที่มุงดูอยู่ไกลออกไปร้อยเมตรเห็นภาพเช่นนี้ ก็ยังนึกว่าคนจวนตระกูลเฟิ่งจะประมือกับแคว้นเหินเวหา ด้วยเหตุนี้คนตระกูลเกิ่งที่พาคนไม่น้อยมาเฝ้าอยู่ตรงนั้นจึงมองไปทางผู้นำตระกูลและท่านผู้เฒ่าของพวกเขา
“ท่านพ่อ หากคนตระกูลเฟิ่งสู้กับคนแคว้นเหินเวหาขึ้นมา พวกเราจะเข้าไปช่วยจริงๆ หรือ?”
ผู้นำตระกูลเกิ่งมองผู้เฒ่าพลางถาม ความจริงในใจยังค่อนข้างกังวล ถึงอย่างไรกำลังของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังก็ไม่ใช่น้อยๆ คนของพวกเขาต้านทานไม่ได้แน่ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาไม่หวังให้ตระกูลเกิ่งยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้
“ลองดูไปก่อนเถอะ! แม่หนูเฟิ่งคนนี้บอกว่านางจัดการได้ ข้าก็อยากดูเสียหน่อยว่าพละกำลังของนางอยู่ระดับไหน” ผู้เฒ่าเกิ่งพูดพลางมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเล็กน้อย ม้าดีมักโดนขี่ คนดีมักโดนแกล้ง[1] หากตระกูลเฟิ่งมีศักยภาพจริงก็ควรลงมือได้แล้ว
“รอคำสั่ง!”
องครักษ์ทั้งหมดรอบด้านตะโกนเสียงเข้ม เสียงอื้ออึงสะเทือนหู อกผายหลังตั้งตรง มือหนึ่งจับกระบี่ยาวตรงข้างเอว สองตามีประกายสาดออกมา จิตวิญญาณมุ่งต่อสู้ลุกโชน เตรียมตัวพุ่งเข้าจู่โจมทุกเมื่อ!
“ทั้งหมดถอยไปซ้ายขวาสามสิบจั้ง!”
เสียงหลัวอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ ไม่เพียงคนแคว้นเหินเวหาที่อึ้งไป แม้แต่องครักษ์ที่เตรียมพร้อมต่อสู้อย่างดียังผงะไปครู่หนึ่ง แต่คุณสมบัติประจำตัวที่ดีงามก็ทำให้พวกเขาทำตามคำสั่งโดยไร้ซึ่งคำถาม ถอยออกไปยืนนิ่งทางซ้ายขวาในระยะร้อยเมตรอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งจิ่วจ้องมองคนตรงหน้าเหล่านั้น มุมปากยกเล็กน้อย ฝีเท้ากลับถอยไปด้านหลัง เห็นแค่เธอให้สัญญาณเหลิ่งซวงถอยไป พูดกับหลัวอวี่คำหนึ่งว่า “โยน!”
สิ้นเสียง เห็นเพียงหลัวอวี่ฉีกยิ้มกว้าง จับจ้องพวกผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังที่ตั้งรับอยู่เบื้องหน้า ใช้ตะบันไฟจุดชนวนแล้วจึงโยนกระบอกไม้ไผ่แต่ละอันออกไปอย่างรวดเร็วทันที
เมื่อโยนกระบอกไม้ไผ่ออกไป ในใจผู้ฝึกตนคนนั้นแอบหัวเราะเยาะ แต่ยังไม่ทันให้พวกเขาตอบสนองก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นข้างกาย พลังมหาศาลปะทุออกมาทันใด นอกจากควันหนาที่ตลบขึ้นมา สิ่งที่กระจายไปพร้อมกับพลังนั้นยังมีเสียงอุทานและเสียงกรีดร้องของผู้คนด้วย
“อึก! ของบ้าอะไรเนี่ย!”
“อ๊าก! ขาข้า!”
“ซี๊ด! เจ็บเหลือเกิน! คันจริงๆ…”
ตู้ม! ตู้มๆๆ…
ท่ามกลางความโกลาหล เสียงอุทานกรีดร้องแต่ละเสียงดังขึ้นในหมอกควัน ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรมองจนดวงตาเบิกกว้าง เห็นกระบอกไม้ไผ่แต่ละอันนั้นระเบิดออกปล่อยกระแสลมมากมาย กองกำลังที่เดิมเป็นระเบียบชุลมุนวุ่นวายอยู่กลางเสียงระเบิดดังสนั่น ซ้ำยังมีทหารอารักขาบางคนโดนระเบิดกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร
“เฟิ่งชิงเกอ!”
เสียงตะโกนขึงขังซึ่งแฝงด้วยไฟโทสะเหลือล้นดังมาจากในควันหนานั้น เวลาต่อมา เห็นเพียงชายชราคนหนึ่งคุ้มครองเนี่ยเถิงทะยานขึ้นกลางอากาศ รอบกายของทั้งสองมีกลิ่นอายพลังวิญญาณที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าควบแน่นจนกลายเป็นเกราะป้องกัน ปกป้องสองคนไว้ด้านในไม่ให้โดนควันหนาด้านนอกกล้ำกราย
“เอ๋?”
เฟิ่งจิ่วจับจ้องชายชราคนนั้นที่พาเนี่ยเถิงขึ้นไปกลางฟ้า ในดวงตาเผยแววแปลกใจอยู่บ้าง ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังล้วนไม่อาจตอบโต้ได้ในเวลานั้น ต่อให้ตอบสนองก็เทียบไม่ได้กับความว่องไวของระเบิดที่กระจายผงยาไปรอบด้าน แต่ชายชราคนนั้นสามารถปกป้องเนี่ยเถิงไว้ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ไม่ธรรมดาเลย
………………………………………………….
[1] ม้าดีมักโดนขี่ คนดีมักโดนแกล้ง เป็นสำนวนที่มักใช้ปลุกใจให้คนกล้าลุกขึ้นต่อสู้ และยังใช้สื่อว่าตนจะไม่ยอมให้ใครมารังแก