ตอนที่ 441 ใครผลักใครล้ม?
ยามนี้ แววตาอิ่งอีสั่นไหวเล็กน้อย มองประตูห้องที่ปิดสนิทด้วยใบหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย แอบคิดว่า ‘กลางวันแสกๆ แม้นายท่านคิดถึงภูตหมอ ก็คงไม่ทำอะไรรุ่มร่ามหรอกกระมัง?’
นึกถึงข้อนี้ เขากระแอมไอเบาๆ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้าอย่าคิดเลอะเทอะ กลางวันแสกๆ สองคนจะทำอะไรได้?”
ฮุยหลางกวาดมองเขาอย่างดูถูก “หากเจ้าไม่คิดเลอะเทอะจะรู้ได้ยังไงว่าข้าคิด?” สิ้นเสียง ใบหน้าก็ผุดรอยยิ้มตื่นเต้น “แม้ข้าแสนจะอยากให้นายท่านกับภูตหมอทำอะไรกันด้านในเสียหน่อย แต่ที่เจ้าว่ามาก็ถูก ตะวันโด่งเช่นนี้ นายท่านไม่ใจร้อนเพียงนั้นถึงจะถูก”
เพิ่งพูดคำนี้ไปก็ได้ยินเสียงด่าเกรี้ยวกราดของภูตหมอและน้ำเสียงร้อนรนของเจ้านายลอยมาจากด้านใน สีหน้าทั้งสองจึงแปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจ
“บ้าเอ๊ย! ท่านทำอะไรเนี่ย!”
“ก็เจ้าไม่ถอดเอง ข้าเลยต้องจัดการให้”
“ซี๊ด! คนเลว! อย่าฉีกเสื้อข้านะ!”
“ไม่ฉีกจะมองเห็นได้ยังไง”
“ไสหัวออกไป!”
“อย่าเอะอะโวยวายสิ”
“อึก! เอวข้า! เจ็บๆๆ ท่านเบามือบ้างสิ!”
“เจ้าผ่อนคลายหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”
ฟังถึงตรงนี้ สองคนที่เฝ้าอยู่นอกห้องตาค้าง มองห้องที่ประตูหน้าต่างปิดสนิทด้วยอาการอ้าปากตาค้าง ในใจทั้งตื่นเต้น คึกคัก และประหลาดใจ
นายท่านจู่โจมภูตหมอ? ซ้ำยังเลือกทำตอนกลางวัน? บ้าระห่ำเกินไปแล้วกระมัง?
ทว่าภายในห้องกลับเป็นอีกภาพหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วนอนอยู่บนเตียง ชุดสีแดงบนร่างถูกเจ้าตำหนักฉีกขาดมาอยู่ตรงเอว เผยให้เห็นผิวขาวราวหิมะ ทว่าบนผิวนั้นยามนี้กลับมีรอยช้ำดำเขียว และเขาก็กำลังทายาตรงจุดที่เขียวช้ำ จากนั้นนวดเบาๆ ทำให้เลือดที่คั่งจางหาย
ทุกครั้งที่นวดถู สิ่งที่กลับคืนมาคือเสียงสูดหายใจของเฟิ่งจิ่ว ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ใช้แรงอะไร กลับยังคงเห็นนางเจ็บเสียจนตรงหน้าผากมีเหงื่อไหล เห็นใบหน้าเล็กยู่เป็นก้อนเขาก็เจ็บปวดใจอย่างอดไม่ได้ มือยิ่งเบาลงตามไปด้วย เดิมทีนวดเบาๆ จึงเปลี่ยนเป็นลูบอย่างเบามือ ทำแบบนี้ก็ไม่เจ็บแล้ว แต่เฟิ่งจิ่วกลับขนลุกชันขึ้นมาทั้งร่าง
“พอแล้วๆ ไม่ต้องถูแล้ว”
ได้ยินคำพูดพร้อมใบหน้าไม่ชอบใจนั้น สีหน้าเจ้าตำหนักยมราชยิ่งดำคร่ำเครียด แต่นึกถึงที่เขาทำให้เอวนางพกช้ำดำเขียวก็ไม่อาจโกรธลงได้ เมื่อนึกถึงคลื่นลมปั่นป่วนของตนเองก่อนหน้านี้ ใบหูจึงร้อนผ่าวขึ้นทันควัน โทสะที่ระงับไว้หายไป ยามนี้ถึงจะอักอ่วนขึ้นมาบ้าง
แต่คนหยิ่งยโสเช่นเขา ต่อให้อักอ่วนก็จะไม่ให้นางมองออก ด้วยเหตุนี้สีหน้าจึงเคร่งขรึม เม้มริมฝีปากบาง และถอยออกไปด้วยท่าทีหยิ่งผยองเฉยชา ยืนอยู่ข้างเตียงพลางมองสาวน้อยที่กำลังนอนคว่ำ
สายตาหยุดลงบนเสื้อผ้าที่โดนเขาฉีกขาด แววตาสั่นไหวเล็กน้อย กระแอมไอเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เสื้อผ้าเจ้าอยู่ไหน? ข้าจะเอามาให้เจ้าเปลี่ยน”
เฟิ่งจิ่วถลึงตามองเขา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านออกไปเรียกเหลิ่งซวงเข้ามา ให้คนเตรียมน้ำไว้ข้าจะอาบ”
เจ้าตำหนักยมราชชำเลืองมองนาง เมื่อสายตามองผ่านริมฝีปากที่บวมแดงเล็กน้อย ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าวและงุ่มง่ามอยู่บ้าง เขาละสายตาออกอย่างรวดเร็ว แล้วขานรับด้วยหน้าเย็นชาบึ้งตึง “ได้ เจ้านอนไปเถอะ! ข้าจะช่วยเรียกคนให้”
พูดจบถึงจะเดินออกไปด้านนอก
เพราะเฟิ่งจิ่วจ้องมองเขาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนและใบหูร้อนผ่าวแดงก่ำนั้น ในใจนึกแปลกใจเล็กน้อย รอจนเขาออกจากห้องไปและปิดประตูลงแล้ว เธอถึงสบถด่าอย่างกลั้นไม่อยู่
“เสแสร้ง!”
………………………………………………….
ตอนที่ 442 เจ้าตำหนักยมราชยิ่งประหม่า
เมื่อฮุยหลางกับอิ่งอีด้านนอกเห็นนายท่านออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย เร็วถึงเพียงนี้เชียว?
“นายท่าน ท่านออกมาแล้ว?”
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ เห็นใบหูเขายังแดงเล็กน้อย ในใจก็หัวเราะเบาๆ ไม่นึกเลยว่านายท่านจะเขินอายเป็นด้วย เห็นได้ยากจริงๆ! แต่เสร็จเรื่องรวดเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่?
ฮุยหลางพินิจมองเขาจากบนลงล่าง พลางคิดว่าเย็นนี้ต้องสั่งห้องครัวจวนตระกูลเฟิ่งตุ๋นของบำรุงอะไรให้นายท่านหรือไม่?
เจ้าตำหนักยมราชจัดการอารมณ์ ชายตามองสองคนนั้น เห็นพวกเขาจ้องตนด้วยท่าทางแปลกๆ สีหน้าจึงเคร่งขรึมทันที “นิ่งอะไรอยู่ตรงนี้? ไปตามแม่เหลิ่งซวงคนนั้นมา! แล้วให้คนเตรียมน้ำร้อนเข้าไปให้นางอาบด้วย”
ได้ยินคำพูดนี้ ฮุยหลางฉีกยิ้มกว้าง “ขอรับๆๆ ข้าจะไปเดี๋ยว ไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
ฮ่าๆ ดูท่าทางจะสำเร็จแล้ว ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าเส้นทางการไล่ตามภรรยาของนายท่านจะห่างไกลไร้วันจบสิ้น ไม่นึกเลยว่าไม่ทันไรนายท่านก็จัดการภูตหมอเรียบร้อย อีกทั้งกินนางกลางวันแสกๆ จิ๊ๆ ความเร็วนี้ทำให้พวกเขารั้งท้ายตามอยู่ไกลจริงๆ
เห็นฮุยหลางฉีกยิ้มวิ่งไปหน้าระรื่น เจ้าตำหนักยมราชไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่คิดๆ ดูแล้วที่ผ่านมาฮุยหลางมักจะไม่เอาไหน จึงไม่ไปสนใจ แต่บอกอิ่งอีว่า “หยิบของสองสามอย่างจากในห้วงมิติมา แล้วตามข้าไปพบผู้นำตระกูลเฟิ่ง”
“ขอรับ”
อิ่งอีขานรับด้วยความเคารพ หยิบของขวัญที่เตรียมไว้ก่อนมาออกจากห้วงมิติ ก่อนถือตามหลังนายท่านไปยังเรือนของเฟิ่งเซียว
ตลอดทาง คนจวนตระกูลเฟิ่งเห็นเจ้าตำหนักยมราชต่างคารวะด้วยความเคารพ พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มชุดดำคนนี้กำจัดตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณได้เพียงดีดนิ้ว หนำซ้ำหากเขาไม่ลงมือ ยามนี้พวกเขาจวนตระกูลเฟิ่งคงประสบปัญหาใหญ่จริงๆ แล้ว
คนเบื้องบนล้วนกำชับว่าเขาเป็นแขกของจวน จะละเลยเขาไม่ได้
ทางด้านนั้นก็มีคนรายงายเฟิ่งเซียวเรื่องเจ้าตำหนักยมราช ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินว่าเขาจะเข้ามาคารวะจึงไม่ผลักไส แต่ให้คนเชิญเขาเข้ามา
ประตูห้องเปิดออก เมื่อชายหนุ่มสวมชุดคลุมดำลวดลายอ่อนจางเดินเข้ามา เฟิ่งเซียวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเจ้าเหนือหัวที่ทั้งเด็ดเดี่ยวและดุดัน บุคลิกสูงส่งนั้นทำให้เขาที่เห็นบุคคลโดดเด่นทุกรูปแบบมาจนชินยังอยากชมเชยอย่างอดไม่ได้
ช่างเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่สูงศักดิ์ไร้ใครเทียม!
รูปโฉมเขาสมบูรณ์แบบจนไม่อาจหาที่ตำหนิ เครื่องหน้าทั้งห้าโดดเด่นเข้ากัน ทุกส่วนล้วนราวกับสวรรค์แกะสลักมาอย่างประณีต รวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้ามาประกอบร่าง บุรุษเช่นนี้มีท่วงท่าเยี่ยงชาวสวรรค์ บุคลิกสูงส่ง ทรงอำนาจปานราชัน เป็นดั่งเทพบุตรเหนือสวรรค์ทั้งเก้าชั้น สูงส่งจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
เวลานี้อยู่เบื้องหน้าเขา แม้แต่เฟิ่งเซียวยังประหม่าขึ้นมาบ้าง เพราะรัศมีอำนาจนั้นน่าสะพรึงเกินไปจริงๆ
ทว่าเขาไม่รู้ เจ้าตำหนักยมราชประหม่ายิ่งกว่าเขาเสียอีก
เพราะความประหม่าของเขา อำนาจแห่งราชันบนร่างถึงกระจายออกมาโดยไม่อาจปิดบัง เพราะความประหม่านั้น ใบหน้าจึงแข็งทื่อไปบ้าง อยากยกยิ้มและพยายามสงบกลิ่นอายบนร่างแต่กลับทำไม่ได้ เมื่อยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งประหม่า สุดท้ายรูปโฉมหล่อเหลาจึงเย็นชาแข็งกร้าวราวกับใบหน้าเป็นอัมพาตเพราะเหตุนี้…
สวรรค์รู้ดี ยามนี้ฝ่ามือเขามีเหงื่อออกชุ่มเพราะประหม่าเกินไป ต้องรู้ไว้ว่าเฟิ่งเซียวคนนี้เป็นว่าที่พ่อตาของเขา มาพบว่าที่พ่อตาครั้งแรก อารมณ์ที่ตื่นเต้นและกระวนกระวายนี้เป็นสิ่งที่คนนอกไม่อาจเข้าใจได้