ตอนที่ 445 โกรธจนไม่อาจเก็บกลั้น
“ทำยังไงดี? พวกเขาจะสงสัยข้ารึเปล่า?” เขากระซิบเสียงเบา ยามนี้ในใจไม่มั่นใจอะไรเลยจริงๆ
เดิมนึกว่าจะพาเฟิ่งเซียวกลับมาได้ ใครจะรู้ว่าการคุ้มกันเรือนเขาจะแข็งแกร่งเหลือเกิน คนที่พาไปถึงกับเข้าใกล้ห้องนั้นไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว โชคดีว่านอกจากคนที่ตายในการต่อสู้ ที่นั่นก็ไม่เหลือใครรอด พวกนั้นอาจสาวมาไม่ถึงตัวเขา
“จริงด้วย พวกเขาไม่มีเหตุผลต้องสงสัยข้า และไม่มีหลักฐาน ข้าต้องไม่ตกใจไปเอง”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่ตึงเครียดและเสียงขวัญ เมื่อนั่งลงบนบัลลังก์มังกรเรี่ยวแรงทั่วร่างก็ราวกับโดนดึงออกไป ก่อนหน้านี้เดินไปเดินมาทั้งอารมณ์ตึงเครียดอยู่ตลอด ยามนี้พอนั่งลงถึงพบว่ามือเท้าตนเองตกใจเสียจนเหงื่อออกและไม่มีแรงจะลุกยืน
นานนักเขาถึงจะเรียกคนชุดดำนายหนึ่งมาปรากฏตัวยังกลางท้องพระโรง
“นายท่าน” คนชุดดำคารวะด้วยความเคารพ พร้อมทั้งขานเรียก
“เรียกบรรพชนนักรบที่ส่งไปอารักขาท่านอ๋องสามพวกนั้นกลับมา คืนนี้เพิ่มการป้องกันภายในวังให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย” เขาสั่งการเสียงเข้ม หลังจากใจเย็นลงแล้วสมองก็เริ่มคิดได้
เดิมทีกังวลว่าวันนี้อี้เซวียนจะไปจวนตระกูลเฟิ่งเพื่อหยุดยั้งปัญหาที่จะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงส่งบรรพชนนักรบสองสามคนไปเฝ้าเขาไว้ กักบริเวณเขาในจวนอ๋องไม่ให้ออกไปทำเสียเรื่อง โชคดีที่ส่งคนไปเฝ้า ไม่งั้นเรื่องวันนี้ทั้งหมดเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหวจริง
“ขอรับ” คนชุดดำกลางท้องพระโรงขานรับ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เห็นเช่นนี้มู่หรงป๋อก็ครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าชายที่เรียกว่าเจ้าตำหนักยมราชคนนั้นเป็นใครกันแน่? ทำไมแม้แต่คนแคว้นเหินเวหายังเขา? ซ้ำยังมีกำลังเช่นนั้น ถึงสามารถสังหารตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณได้ เขามีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?
เรื่องที่เกิดขึ้นกับจวนตระกูลเฟิ่งกระจายไปทั่วเมืองอวิ๋นเยวี่ยราวกับสายลม แม้มู่หรงอี้เซวียนไม่ได้ออกจากจวน ยามนี้ก็ได้ยินข่าวเช่นกัน
เขานั่งอยู่ในศาลาภายในจวนพลางมองไปยังทิศทางจวนตระกูลเฟิ่ง แววตาลึกล้ำนั้นมีประกายสับสน
สังหารคนระดับกำเนิดวิญญาณ? ชายคนนั้นเป็นคนที่นางมอบใจให้งั้นหรือ? หากไม่ใช่งั้นนางก็เป็นคนที่ชายคนนั้นมอบใจให้ นางไปรู้จักคนเช่นนั้นมาจากไหน? หรือว่าพบกันในช่วงเวลานั้นที่ออกไปข้างนอก?
นึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่นางบอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาเขามีความคิดที่ใสซื่อยิ่งนัก ขอแค่กำลังเขาฝึกบำเพ็ญถึงระดับที่มั่นคง จะให้นางเปลี่ยนมุมมองได้แน่ๆ ทว่าตอนนี้…
“เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ตลอดกาลแล้วสินะ!” เขายิ้มขมขื่นพลางกระซิบเบาๆ ท่าทีทั้งอ้างว้างและโดดเดี่ยว
เขาอาจไม่ได้รักนางสุดหัวใจอย่างที่ตนเองจินตนาการไว้ มิเช่นนั้นหลังจากท่านพ่อสั่งคนมาเฝ้าจวนอ๋องไว้ ทำไมเขาถึงพยายามที่จะออกไป?
อันที่จริงในใจเขาชัดเจนยิ่ง มีเรื่องมากมายไม่อาจครอบครองได้พร้อมๆ กัน ระหว่างนางกับตระกูลมู่หรง ทางที่เขาเลือกอย่างเฉียบขาดคือการปกป้องราชวงศ์ตระกูลมู่หรง เพื่อไม่ให้แคว้นต้องสั่นคลอน และไม่ให้แคว้นเหินเวหามีเหตุผลมาทำลายแคว้น ทว่าสิ่งนี้กลับลิขิตให้เขาต้องสูญเสียนางไปตลอดกาล…
“นายท่าน ท่านผู้ครองแคว้นถอนคนออกไปแล้วขอรับ” ทหารอารักขาชุดดำมาบอกยังด้านหลังเขา
มู่หรงอี้เซวียนเงียบไป นั่งอยู่นิ่งไม่เอ่ยปาก
ส่วนทหารอารักขาคนนั้นด้านหลังก็ยืนนิ่งไม่ไหวติงและไม่ออกไป เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง
ผ่านไปสักพัก มู่หรงอี้เซวียนก็ถามว่า “มีเรื่องอะไรอีก?”
ทหารอารักขาคนนั้นถึงบอก “วันนี้ตอนรัชทายาทแคว้นเหินเวหาเผชิญหน้ากับคุณหนูใหญ่เฟิ่งอยู่ด้านหน้า ผู้ครองแคว้นพาคนบุกเข้าเรือนผู้นำตระกูลเฟิ่งจากด้านหลัง แต่ภายในเรือนนั้นมีบรรพชนนักรบแปดคนคุ้มกันไว้ ผู้ครองแคว้นจึงทำไม่สำเร็จ สูญเสียคนไปมากมายถึงจะหนีออกมาขอรับ”
มู่หรงอี้เซวียนได้ฟังคำพูดนี้ก็หันกลับมาทันใด ดวงตามีเส้นเลือดปรากฏ กำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคืองที่ไม่อาจเก็บกลั้น…
………………………………………………….
ตอนที่ 446 จากไปด้วยความผิดหวัง
“นี่เขาคิดจะทำลายแคว้นที่บรรพชนตระกูลมู่หรงก่อตั้งขึ้นมาหลายร้อยปีรึ!”
เสียงเขากัดฟันกรอด มีความโกรธเกรี้ยวที่ยากเกินเชื่อ ไม่อาจจินตนาการและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำถึงเพียงนี้? จวนตระกูลเฟิ่งเป็นผู้ที่คอยปกป้องตระกูลมู่หรงมาหลายชั่วอายุคน ไม่เพียงปกป้องตระกูลมู่หรง ซ้ำยังคอยพิทักษ์แคว้นแสงสุริยัน ทว่าตอนนี้เขากลับคิดจะทำลายตระกูลนี้ด้วยมือตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เขาที่โกรธจัดลุกยืนขึ้น สะบัดแขนเสื้อ ก้าวยาวไปยังพระราชวัง ถึงกับไม่แม้แต่จะสั่งคนเตรียมรถม้า แล้วเรียกพลังโผบินไปทันที ใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็มาถึงภายในพระราชวัง
มาถึงภายในวัง เขาตรงไปยังท้องพระโรง เห็นมู่หรงป๋อที่ไม่รู้กำลังพูดอะไรกับบรรพชนนักรบพวกนั้น สีหน้าก็ยิ่งถมึงทึง ตะโกนเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เสด็จพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าต้องทำลายทุกอย่างท่านถึงจะยอมวางมือ? ท่านคิดว่าทุกอย่างที่ทำลงไปจะไม่มีใครรู้รึ? ช่างเพ้อฝันเกินไปแล้ว!”
หลังมู่หรงป๋อได้ยินคำพูดเขา สีหน้าก็คร่ำเครียด โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนในตำหนักถอยไป ถึงจะตะคอกว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก!”
“บ้า? หึ! ลูกว่าคนที่บ้าไม่ใช่ลูกแต่เป็นท่าน! ท่านบ้าไปแล้ว! ท่านต้องบ้าไปแล้วถึงได้คิดจะทำลายตระกูลเฟิ่ง ถึงคิดจะทำลายตระกูลที่พิทักษ์แคว้นแสงสุริยันด้วยความภักดี!”
“ท่านคิดหรือว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องทั้งหลายที่ท่านทำ? ท่านคิดหรือว่าจะไม่มีใครรู้ว่าท่านส่งคนไปลอบสังหารท่านอาเซียว? ท่านคิดว่าการที่ท่านพาคนเข้าไปลักพาตัวคนตระกูลเฟิ่งจะไม่รู้หรือ? ฮ่าๆๆๆ เสด็จพ่อข้า ท่านกลายเป็นคนใส่ซื่อเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” มู่หรงอี้เซวียนหัวเราะร่าอย่างเย้ยหยัน พลางมองเขาที่สีหน้าตกตะลึง แล้วหมุนตัวก้าวยาวออกไป…
เพราะคำพูดเขาสีหน้ามู่หรงป๋อจึงเปลี่ยนไปยกใหญ่ ร่างกายสั่นเทิ้ม มองเขาจากไป อยากจะเรียกเขาไว้ แล้วถามว่าเขารู้เรื่องที่ตนส่งคนไปซุ่มลอบสังการเฟิ่งเซียวได้ยังไง? แต่กลับเห็นเขาหายไปด้านนอกท้องพระโรงเสียแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง? เขารู้ได้ยังไง? ชัดเจนว่าข้าจัดการอย่างสะอาดหมดจด ทำไมเขาถึงรู้ได้?” เขาพูดพึมพำ น้ำเสียงมีความสั่นกลัว “คนจวนตระกูลเฟิ่งก็รู้เรื่องด้วยรึ? พวกเขาจะรู้หรือเปล่า?”
มู่หรงอี้เซวียนที่ออกจากราชวังมีความอ้างว้างและเศร้าโศกกระจายอยู่ทั่วร่าง หันกลับไปมองราชวัง พระราชวังแห่งนี้เขาคิดว่าใช้เวลาไม่นานก็คงไม่มีอยู่อีกแล้ว…
ครั้งแรกคนจวนตระกูลเฟิ่งยังทนต่อไปได้ ส่งมอบอำนาจและลาออก แม้เฟิ่งเซียวจะหมดสติไม่ฟื้น จวนตระกูลเฟิ่งก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร และไม่มีแผนที่จะจัดการตระกูลมู่หรง ข้อนี้เขาที่เฝ้ามองตระกูลเฟิ่งมาตลอดย่อมชัดเจนดี
แต่ครั้งนี้เกรงว่าจะไปจบลงง่ายดายเช่นนั้น แม้จะไม่เข้าใจนางในตอนนี้นัก กลับยังมองออกว่านางไม่ใข่คนที่ยอมให้ใครมารังแก มิเช่นนั้นคนแคว้นเหินเวหาคงไม่ถูกสั่งสอนเสียทุกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็เหนื่อยหน่ายใจ มีแรงกระตุ้นที่ไม่อยากจะปกป้องแคว้นแห่งนี้อีกต่อไป และไม่อยากอยู่ต่อเพื่อเห็นแคว้นนี้ถูกทำลายสิ้นด้วยตาตนเอง ในใจมีแรงดลใจที่อยากจะจากไป แต่ในใจกลับยังคงนึกถึงคนคนนั้น
เดิมทีคิดจะไปพบนางที่จวนตระกูลเฟิ่งอีกครั้ง แต่พอนึกถึงเรื่องที่ท่านพ่อทำไว้ฝีเท้าก็หยุดลงเสียดื้อๆ ชะงักเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง มองไปยังทิศทางจวนตระกูลเฟิ่ง เพียงแวบหนึ่งนั้นยังมีความคิดถึงอยู่ลึกๆ และความอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง แม้เป็นเช่นนี้เขายังคงสาวก้าวออกไปด้วยความเด็ดขาด…
ภายในจวนตระกูลเฟิ่ง เรือนที่พำนักของเฟิ่งจิ่ว กวนสีหลิ่นกำลังบอกข่าวล่าสุดที่ตลาดมืดตรวจสอบมาได้กับเฟิ่งจิ่ว
“โชคดีที่สิ่งนี้ไม่ใช่ของธรรมดาๆ ช่วงนี้ในที่สุดก็มีเบาะแสบ้างแล้ว”