ตอนที่ 449 ชอบนางตรงไหน?
“ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าเขาไปที่เรือนพ่อบุญธรรม สองคนเหมือนจะคุยกันจนถึงตอนนี้” พบหน้ากันครั้งแรก มีเรื่องให้คุยมากมายเพียงนั้นเชียว?
ขณะกำลังพูดก็เห็นร่างชุดคลุมดำเอามือไพล่หลังเดินมาทางนี้ กวนสีหลิ่นเห็นก็พูดให้สัญญาณ “มาแล้ว”
“พี่ชาย เช่นนั้นข้าขอหลบหน้าไปอยู่กับท่านแล้วกัน!”
ได้ยินเช่นนี้ กวนสีหลิ่นจึงมองนางแวบหนึ่ง บอกว่า “เจ้าอย่าไปดีกว่า เขามาหาเจ้าตั้งไกล เจ้าเลี่ยงไม่ได้หรอก” พูดจบก็ลุกขึ้นมาฉีกยิ้มกว้าง “เสี่ยวจิ่ว ข้าจะกลับไปก่อน มีเรื่องอะไรค่อยส่งคนไปตามข้าแล้วกัน”
สิ้นเสียง ไม่รอให้นางพูดอะไรก็เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้อง เมื่อผ่านข้างกายเจ้าตำหนักยมราชคนนั้นก็ประสานมือคารวะ แล้วเดินไปข้างนอก
เห็นเป็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็แอบถอนใจ ทำได้เพียงลุกขึ้นเดินออกมายืนตรงประตูห้องพลางมองเจ้าตำหนักในลานบ้าน ถามว่า “ท่านจะพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ข้าจะให้คนไปจัดแจงเรือนให้”
“เรือนเจ้านี้ดียิ่งนัก”
เจ้าตำหนักเอ่ยด้วยเสียงเนิบๆ นั่งลงข้างโต๊ะในลานบ้าน “ช่วงนี้ข้าไม่มีธุระอะไร จะพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก เจ้าซึ่งเป็นถึงเจ้าบ้านต้องรู้ไว้ว่าจะละเลยแขกไม่ได้ หนำซ้ำบิดาเจ้ายังบอกให้เจ้าหาเวลาไปเดินเล่นในเมืองเป็นเพื่อนข้า ชมทิวทัศน์เมืองอวิ๋นเยวี่ยและธรรมเนียมพื้นเมืองของที่นี่เสียหน่อย”
“ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างไปเดินเล่นกับท่าน หากท่านสนใจข้าหาสักสองสามคนไปเป็นเพื่อนให้ได้” สองแขนเธอกอดอก ร่างเอนพิงประตูห้องเล็กน้อย ทำท่าทางบอกว่า ‘ข้าไม่มีเวลาไปสนใจท่าน’ อย่างชัดเจน
“ยังต้องทำอะไรอีก? ให้ข้าช่วยเจ้าได้”
เขามองนางที่ยืนพิงอยู่ข้างประตู เห็นนางสวมชุดกระโปรงสีแดง ทั้งที่รูปโฉมงามเลิศ รูปร่างเพรียวบาง ทว่าท่าทางที่สองแขนกอดอกอย่างเกียจคร้านกลับมีความดื้อรั้นเยี่ยงบุรุษอยู่บ้าง คางมนสวยได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อย บนใบหน้ามีความเย็นชาส่วนหนึ่ง ความชั่วร้ายส่วนหนึ่ง ช่างคล้ายคลึงกับพวกอันธพาล
เห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจเขาประหลาดใจยิ่ง ไม่เข้าใจว่านางมีโฉมหน้าที่เปลี่ยนไปและท่าทีที่แตกต่างมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร?
เห็นชัดว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับกลายเป็นว่าหากนางอยากสูงส่งดุจนางเซียนก็วางท่าสง่างามเรียบร้อย หากอยากชั่วร้าย เกียจคร้าน ซุกซน และเอาแต่ใจ ก็แผ่กลิ่นอายทรงเสน่ห์ที่น่าหลงใหลและเย้ายวนกระชากใจคนได้เช่นกัน
นางสามารถทำใสซื่อไร้เดียงสาราวกระต่ายน้อย ไร้พิษสงเสียจนเหมือนใครๆ ก็พุ่งเข้าไปกัดได้ และยังสามารถเจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอก วางแผนกำจัดศัตรูด้วยอุบายร้อยพัน ทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ได้เลวร้ายที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวที่สุด
นิสัยนางทั้งแปลกและดื้อรั้น เสื้อผ้าขอทานสกปรกก็กล้าเอามาใส่ เจอคนยังกล้าพุ่งเข้าไปเกาะขา ทำกับศัตรูด้วยวิธีการโหดร้ายไร้เมตตา ท่าร่างแปลกตาพิลึกพิลั่น คร่าชีวิตคนได้ขณะที่หัวเราะพูดคุย
แต่นางที่เป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าเข้าตาและเข้ามาอยู่ในใจเขาได้อย่างไร ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองชอบนางตรงไหนกันแน่?
สิ่งที่เกลียดที่สุดคือ เขาจัดการเรื่องอย่างออกนอกหน้าเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่านางยังมีสีหน้ารังเกียจ ทำท่าทางหลบหน้า ทุกครั้งที่เขานึกถึงก็โกรธเสียจนกัดฟันกรอด อยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วสั่งสอนให้หนัก
อืม เหมือนครั้งนั้นเมื่อตอนกลางวันนั่นแหละ
นึกถึงภาพนั้นเมื่อกลางวัน ใบหน้าหล่อเหลาที่บึ้งตึงจึงผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากบางที่เม้มอยู่ยกขึ้นยิ้มชอบใจเล็กน้อย
แต่ท่าทางเช่นนี้ของเขา ในสายตาเฟิ่งจิ่วกลับกลายเป็นอีกท่าทางหนึ่ง
“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านอย่าแสดงสีหน้าท่าทางวาบหวามเคลิบเคลิ้มเช่นนั้นได้หรือไม่? ข้าขนลุกขึ้นมาทั้งตัวแล้ว”
………………………………………………….
ตอนที่ 450 กลับมาแล้ว
เป็นดังคาด เมื่อได้ยินคำพูดขัดอารมณ์นี้ รอยยิ้มตรงริมฝีปากเจ้าตำหนักยมราชก็แข็งทื่อ ก่อนจะกวาดมองเฟิ่งจิ่วที่มีสีหน้าท่าทางยียวนด้วยความโกรธเคือง
ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงอยู่ดี
“เจ้าตำหนัก ช่วงนี้เรื่องที่ข้าต้องทำมีเยอะมากจริงๆ ท่านจะพักอยู่บ้านข้ายังไง ช่วงนี้ก็อย่ามารบกวนข้าแล้วกัน” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม เห็นเขาสีหน้าไม่ดีจึงพูดต่อไปว่า “แม้ข้าจะซาบซึ้งมากที่ท่านช่วยตระกูลเฟิ่งเราไว้ครั้งใหญ่ แต่เรื่องที่มีความสามารถพอ ข้าก็หวังว่าจะทำด้วยตนเองได้”
แต่ไหนแต่ไรเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่พึ่งพาผู้ชาย หลายเรื่องล้วนจัดการเองจนเคยชิน หากพึ่งคนอื่นตลอด สุดท้ายก็จะติดนิสัยชอบพึ่งผู้อื่น ผู้หญิงที่พึ่งคนอื่นเป็นนิสัยจะมีชีวิตอยู่โดยยึดติดกับผู้ชาย แต่เธอไม่อนุญาตให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงเช่นนั้นแน่นอน
ได้ยินเช่นนี้ เจ้าตำหนักมองลึกที่นาง เห็นใบหน้านางอมยิ้ม แต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความจริงจัง คิดเพียงเล็กน้อยก็รู้ความหมายของนาง ด้วยเหตุนี้จึงละสายตาออก เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดซึ่งเจือความหยิ่งยโสบางส่วน “ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะช่วยอะไรใครไปเสียหมด”
“เช่นนี้ก็ดี เหลิ่งซวง พาเจ้าตำหนักยมราชไปพักผ่อนที่เรือนเขาเถอะ!” เธอตะโกนออกไป เห็นเหลิ่งซวงเดินเข้ามาจากด้านนอก และทำท่ามือเชื้อเชิญให้เจ้าตำหนัก
“เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ”
แม้หนังหน้าเขาจะหนา แต่โดนนางผลักไสครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ สีหน้าก็อับอายอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงทำหน้าเคร่งขรึมลุกขึ้นมา หลังจากชายตามองนางก็สาวก้าวเดินออกไป
อิ่งอีชำเลืองมองเฟิ่งจิ่วที่พิงข้างประตู แล้วตามฝีเท้านายท่านออกจากเขตเรือนนี้ไป ในใจแอบทอดถอนใจว่า ‘นายท่านกับภูตหมอเป็นคนรักกันแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมการไปมาหาสู่ของสองคนถึงพิกลเช่นนี้?’
ยามมองพวกเขาออกไป แววตาเฟิ่งจิ่วยิ่งลึกล้ำ เนิ่นนานถึงจะดึงสายตากลับมาและหมุนตัวเข้าห้อง หลังจากปิดประตูก็เข้าห้วงมิติไปฝึกบำเพ็ญ…
เมื่อค่ำคืนมาเยือน ฮุยหลางที่ทำตามคำสั่งมุ่งหน้าไปพระราชวังเพียงคนเดียว และแอบเข้าตำหนักมู่หรงป๋ออย่างเงียบเชียบ ครั้นเห็นว่าตำหนักมีคนไม่น้อยเฝ้าอยู่โดยรอบก็แอบหัวเราะเยาะ
คนแค่นี้หรือจะคุ้มกันได้? อย่าฝันเฟื่องเกินไปหน่อยเลย ล่วงเกินเขาถือเป็นเรื่องเล็ก แต่หากล่วงเกินภูตหมอนายหญิงในอนาคตของนายท่าน ปัญหานั้นก็ใหญ่หลวงแล้ว
นึกถึงยาขวดนั้นที่ภูตหมอให้มา เขาจึงหยิบออกมาเล่นในมือพลางกลอกตาขบคิด ก่อนเก็บมันกลับเข้าห้วงมิติ จากนั้นโฉบกายลงมาด้านล่าง ส่วนมู่หรงป๋อที่ระวังอยู่ตลอดก็ไม่รู้เลยว่ามีคนแอบเข้าตำหนักมาถึงข้างกายเงียบๆ แล้ว…
เที่ยงคืนผ่านไป ฮุยหลางกลับถึงจวนตระกูลเฟิ่งก็มายังเรือนของเฟิ่งจิ่ว กลับเห็นว่าไฟดับไปแล้ว จึงจำใจกลับไปหานายท่านก่อน ทว่ายังไม่ทันเข้าเขตเรือนก็เห็นอิ่งอีในลานบ้านเหลือบมองมา เอ่ยถามว่า “เจ้าไปไหนมา?”
“ข้าไปช่วยภูตหมอทำธุระ” เขาฉีกยิ้มกว้าง พูดอย่างดีอกดีใจ กำลังจะบอกว่าคืนนี้เขาไปทำเรื่องสนุกอะไรมา ก็ได้ยินเสียงนายท่านลอยดังมาจากในห้อง
“เข้ามา”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเคร่งเครียด แววตาฮุยหลางพลันเปลี่ยน ถามว่า “อารมณ์นายท่านเป็นอย่างไร?” หลังจากรับคำสั่งภูตหมอก็ออกจากจวนไปศึกษาเส้นทางให้คุ้นเคย ด้วยเหตุนี้ภายในจวนเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“เจ้าเข้าไปก็รู้เอง” อิ่งอีให้สัญญาณเขาเข้าไปโดยไม่พูดอะไรมาก
ได้ยินเช่นนี้ ฮุยหลางเลยจำต้องฝืนใจเดินเข้าห้องไป เห็นนายท่านนั่งอยู่ข้างโต๊ะจึงเข้าไปคารวะ “นายท่าน ข้าน้อยกลับมาแล้วขอรับ”