ตอนที่ 459 หญิงสาวแต่งหน้าเพื่อชายคนรัก
“นายท่าน ไม่ต้องกังวลขอรับ ภูตหมอยิ่งแต่งตัวนานยิ่งแสดงว่าใส่ใจท่าน คำโบราณว่าไว้ไม่ใช่หรือ? หญิงสาวแต่งหน้าเพื่อชายคนรัก นางกำลังแต่งตัวเพื่อนายท่าน! ไม่เช่นนั้นคงไม่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปกับนายท่านโดยเฉพาะหรอกขอรับ”
ได้ยินคำพูดนี้ หัวใจเจ้าตำหนักยมราชเต้นแรงอย่างไร้การควบคุม มือที่ยกน้ำชาไว้สั่นเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกต ดวงตาดำลึกล้ำที่ฉายประกายมองไปทางเรือนหลังนั้น แอบคิดว่านางกำลังแต่งตัวเพื่อเขาจริงหรือ?
อืม ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นแค่ออกไปกับเขาจะกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าทำไม? ดังคำที่ว่าหญิงสาวแต่งตัวเพื่อชายคนรัก พูดแบบนี้หรือว่านางก็ใส่ใจเขาเช่นกัน?
นึกถึงตรงนี้ หัวใจก็อดตั้งตารอขึ้นมาไม่ได้
เห็นนายท่านกลับมาสงบนิ่งและเย็นชาตามปกติ ฮุยหลางจึงฉีกยิ้มถอยกลับไปด้านหลัง เพยิดคางไปทางอิ่งอีคล้ายกำลังบอกว่า ‘เป็นอย่างไร? ครั้งนี้ข้าฉลาดแล้วหรือยัง? เลือกพูดคำที่นายท่านอยากฟังที่สุดแล้ว’
อิ่งอีชำเลืองมองเขา ทว่าไม่พูดไม่จา
อาจเพราะคำพูดฮุยหลางก่อนหน้านี้ได้ผล ต่อมารอไปช่วงหนึ่ง เจ้าตำหนักก็ล้วนดื่มน้ำชาอย่างอารมณ์ดี
จนกระทั่งหลังจากผ่านไปนานก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก หัวใจเขาเต้นวูบหนึ่ง แทบจะมองไปตรงประตูเรือนตามสัญชาตญาณ หัวใจแอบเฝ้ารออยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นคนที่เดินออกมา มุมปากก็กระตุกอย่างที่ไม่ทันสังเกต ความคาดหวังและเริงร่าใดๆ หายไปในทันที เหลือเพียงความอึดอัดใจ
สายตาเขาเคลื่อนออกจากบนร่างเฟิ่งจิ่ว เหลือบมองไปทางฮุยหลางด้านหลังด้วยแววตาเย็นเยียบ
เมื่อฮุยหลางเห็นเฟิ่งจิ่วซึ่งเดินออกมา ปากก็อ้าออกเล็กน้อย สีหน้าตกตะลึง โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกถึงสายตาหนาวเหน็บที่นายท่านกวาดมองมา ยิ่งรู้สึกว่ามีไอเย็นแล่นขึ้นมาด้านหลัง จึงหนาวสั่นทันใด ในใจยังกล่าวร้องทุกข์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำสีหน้าลำบากใจ ถามพลางมองที่เฟิ่งจิ่ว “คุณหนูใหญ่ ทำไมท่านสวมเสื้อผ้าเช่นนี้?” จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนแค่เสื้อผ้า แต่การแต่งหน้านี่ยังไง? หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เมื่อครู่เขาคงไม่พูดแบบนั้น
“หือ? ข้าแต่งแบบนี้ไม่ดีหรือ” เฟิ่งจิ่วก้มหน้ามองชุดคลุมบุรุษสีขาวจันทร์ เส้นผมสีหมึกถูกรวบขึ้น สิ่งที่มีคือลักษณะเช่นคุณชายผู้สูงศักดิ์สง่างาม แต่เธอรู้สึกว่าน่ามองยิ่งนัก
“เสื้อผ้าน่ะงามยิ่ง แต่เมื่ออยู่กับคิ้วกระบี่ดำหนาที่แต่งเติมเพิ่มของเจ้า เหมือนจะไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่” ใบหน้าดีๆ นางยังแต่งออกมาได้อีกแบบ ไม่ต้องพูดถึงว่านายท่านเห็นแล้วอึดอัดใจ แม้แต่เขายังรู้สึกกลุ้ม นี่จะได้เดินเล่นกันดีๆ รึไม่?
“ท่านคิดว่ายังไงบ้าง?” เฟิ่งจิ่วมองเจ้าตำหนักยมราชที่ใบหน้าไร้อารมณ์ด้วยรอยยิ้มร่า พบว่าใบหน้าเขาคล้ายจะเกร็งๆ ขึ้นมา
เจ้าตำหนักเหลือบมองนาง ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย บอกว่า “เจ้าคิดว่าดีก็พอ”
“อืม ข้าคิดว่าแบบนี้ก็ไม่เลว ไปเถอะ วันนี้ข้าจะเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านวันหนึ่ง ไม่ถึงเวลาฟ้ามืดไม่ต้องกลับมา” เธอจัดแจงชุดคลุมสีขาวจันทร์บนร่าง จากนั้นค่อยหยิบพัดข้างเอวออกมาคลี่ออก มือหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง อีกข้างถือพัดแนบไว้ข้างหน้าพลางโบกเบาๆ พร้อมสาวก้าวเดินไปด้านนอก
ได้ยินนางบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งวัน ฟ้าไม่มืดไม่ต้องกลับ สีหน้าเจ้าตำหนักที่แข็งเกร็งจึงผ่อนคลายลงในที่สุด เขาชายตามองฮุยหลางที่ถอยไปด้านหลังอิ่งอี ก่อนจะก้าวยาวตามนางไป เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ออกไปนอกจวนด้วยกัน…
…………………………………………
ตอนที่ 460 จุดสำคัญ
เจ้าตำหนักยมราชที่ออกจากจวนสวมหน้ากากไว้ ด้านหลังมีฮุยหลางกับอิ่งอีคอยติดตาม ด้านหลังเฟิ่งจิ่วมีเพียงเหลิ่งหวา ส่วนเหลิ่งซวงรั้งอยู่ในจวน เมื่อพวกเขาเดินออกมา บุคลิกท่าทางที่โดดเด่นทำให้สตรีบนถนนต่างหันมองเล่นหูเล่นตาบ่อยครั้ง
แต่บางคนยังจำได้ว่าเจ้าตำหนักซึ่งสวมหน้ากากคือคนที่สังหารตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณหน้าประตูจวนในวันนั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ พลางพูดคุยเสียงเบา
เฟิ่งจิ่วไม่เอาความสนใจของชาวบ้านในเมืองมาใส่ใจ แต่ยิ้มบอกกับเจ้าตำหนักข้างกายว่า “ในเมืองนี้มีร้านหนึ่งต้มโจ๊กได้ไม่เลว พวกเรากินก่อนค่อยเดินเล่นดีหรือไม่?”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เจ้าตำหนักก็รู้ว่าเช้านี้นางยังไม่ได้กินอะไร ดังนั้นจึงพยักหน้า “ได้ เจ้านำทางสิ”
“อยู่ด้านหน้านี้เอง เลี้ยวผ่านถนนใหญ่เส้นหนึ่งก็ถึง” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม พาพวกเขาเดินไปแผงร้านโจ๊ก
โจ๊กร้านนั้นอยู่ตรงมุมถนน เจ้าของร้านคือสามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่ง ปกติบางครั้งจะมีคนมากินประมาณสามถึงห้าคน อาจเพราะใกล้จะเที่ยงแล้ว ตรงนั้นจึงไม่มีใครเลย
เจ้าตำหนักยมราชกับเฟิ่งจิ่วนั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน ฮุยหลางกับอิ่งอีรวมถึงเหลิ่งหวานั่งกันอีกโต๊ะ แต่ละโต๊ะสั่งโจ๊กรวมมิตรมาหนึ่งหม้อ เจ้าของร้านเห็นว่ามีลูกค้ามาก่อนจะเก็บร้านก็ยิ้มตาหยี แล้วนำเครื่องเคียงสองสามจานไปให้พวกเขาสองโต๊ะ
“ลองชิมสิ” เฟิ่งจิ่วตักโจ๊กชามหนึ่งวางลงตรงหน้าเขา “กินคู่กับเครื่องเคียงจะยิ่งอร่อย”
เจ้าตำหนักมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางช่วยตนตักโจ๊ก จึงลงมือตักให้นางบ้าง “กินซะ ไม่พอค่อยสั่งเพิ่มอีกหม้อ”
เมื่อเห็นเขาช่วยตักโจ๊กให้ แววตาเธอเป็นประกายเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำพูดเขากลับยิ้มแห้งๆ อย่างอดไม่ได้ “สองคนกินหมดหม้อหนึ่งถือว่าดีแล้ว หนำซ้ำในเมืองนี้มีของว่างมากมาย สิ่งที่ไม่ต้องกังวลที่สุดตลอดทางก็คือของกินพวกนั้นนั่นแหละ”
พูดจบก็คีบเครื่องเคียงขึ้นมากินคู่กับโจ๊กรวมมิตร ตลอดเช้านี้เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยจริงๆ เดิมคิดว่าหลังจากจัดการเรื่องฝั่งองครักษ์ค่อยกลับเรือนไปกินอะไรเสียหน่อย ใครจะรู้ว่ากลับพบเขา ในเมื่ออยากเดินเล่น ฮึ ถ้าอย่างนั้นก็เดินเล่นเถอะ!
เจ้าตำหนักยมราชเห็นนางกินอย่างสุขใจ จึงกินตามไปสองสามคำ พลางช่วยคีบเครื่องเคียงวางลงในชามนาง สุดท้ายโจ๊กหนึ่งหม้อที่กินได้ประมาณสี่ห้าชาม นอกจากหนึ่งชามที่เขากินแล้ว ที่เหลือล้วนให้นางกินหมด
“อิ่มแล้ว?”
“อืม อิ่มแล้ว” เธอลูบๆ ท้อง กินโจ๊กหม้อเดียวก็อิ่มแล้วจริงๆ หนำซ้ำพอกินอิ่มยังไม่ค่อยอยากขยับตัวสักเท่าไหร่ ทำยังไงดี?
“เอิ๊ก!”
เธอเรอไปทีหนึ่ง ก่อนยิ้มเก้อๆ “ไปเดินเล่นย่อยอาหารกันเถอะ! จากนั้นค่อยหาที่ฟังดนตรีชมทิวทัศน์”
จะไปไหนเจ้าตำหนักยมราชไม่มีความเห็น แต่ไหนแต่ไรก็ทำเพื่อเวลาและโอกาสที่จะได้ไปมาหาสู่กับนางสักหน่อย ด้วยเหตุนี้ตลอดทางนางบอกจะไปไหนก็ไปที่นั่น เดินเล่นตามนางตั้งแต่เช้าจนฟ้าค่อยๆ มืด จนกระทั่งเหลิ่งหวาโดนนางแยกออกไปก่อน บอกว่าจะไปจัดแจงสถานที่อะไร
เห็นเช่นนี้แววตาดำขลับจึงไหววูบเล็กน้อย นางอยู่เป็นเพื่อนเขาทั้งวันจริงๆ ยามนี้ฟ้าจะมืดแล้ว หรือยังเตรียมการแสดงอะไรไว้ให้เขาอีก?
นึกถึงตรงนี้ หัวใจเขาหวั่นไหวเบาๆ แอบเฝ้ารอคอยเล็กน้อย
“นายท่าน สั่งการไปเรียบร้อยแล้วขอรับ” เหลิ่งหวากลับมารายงาน ยืนอยู่ด้านหลังนางอย่างมีระเบียบ
“ท่านเจ้าตำหนัก ไปกันเถอะ! มาถึงจุดสำคัญของวันนี้แล้ว ข้าเตรียมการเพื่อท่านเป็นพิเศษเลย”
เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ในแววตามีความลึกลับที่คนไม่อาจคาดเดาได้เล็กน้อย ก่อนจะพาเขาเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งมาถึงด้านหน้าหอที่บนประตูทางเข้าแขวนโคมไฟสีแดงอยู่สองอันถึงจะหยุดฝีเท้าลง…