ตอนที่ 47 ส่งไปสุสานกระบี่
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เฟิ่งจิ่วปรายตามองเขา เห็นเงาร่างเขาค่อยๆ อ่อนจางลง เธอถึงเดินเข้าไป
เธอรู้ว่าที่เงาร่างเขาลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ในตอนนี้ ก็เพราะดวงจิตที่หลงเหลืออยู่ในเลือดหยดสุดท้าย ขอแค่ดวงจิตและหยดเลือดนั้นสลายไป เขาก็จะหายจากโลกนี้ไปตลอดกาล…
“ตั้งจิตตั้งใจ ทำใจให้สงบ ขั้นตอนจะเจ็บหน่อย แต่เจ้าต้องทนไว้”
ฉู่ป้าเทียนพูดเสียงเข้ม ก่อนจะใช้พลังเลือดหยดสุดท้ายห้อมล้อมกายเธอไว้ เพียงเห็นว่าลำแสงที่มองได้ด้วยตาเปล่ากำลังพรั่งพรูอยู่บนเรือนร่าง คืบคลานเข้ามาในเส้นเอ็นของเธอเพื่อเปิดขยายมัน…
เจ็บ!
เจ็บจนแทบขาดใจ!
เส้นเอ็นทั่วร่างเธอถูกกระแสลมกำลังมหาศาลฝืนเค้นเปิดขยาย จากเล็กให้ใหญ่ขึ้น ขยายซะจนเหมือนจะระเบิดออกตอนไหนก็ได้ ความเจ็บนั้นทำให้เธอเหงื่อออกไปทั้งร่าง ยากเกินทนยิ่งกว่าถูกใครเอามีดมาฟันบนร่างเสียอีก
แต่เธอก็กัดฟันกรอด ไม่ร้องเลยสักแอะ สองมือกำหมัดแน่น เล็บมือจึงจิกแทงเข้าในฝ่ามือจนเลือดไหลซิบๆ
หงส์ไฟน้อยที่อยู่นอกเขตอาคมเห็นใบหน้านางซีดเผือดก็เดินไปเดินมาอย่างพะว้าพะวง อยากจะส่งเสียงไปก็กลัวจะรบกวนนาง ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองนางฝืนรับความทรมานของการขยายเส้นเอ็นอยู่ด้านใน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ถึงจะเห็นกลิ่นอายพลังที่ห่อหุ้มตัวนางสลายไป ทั้งร่างนางทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง พลางหอบหายใจเฮือกใหญ่
เห็นท่าทางแล้ว หงส์ไฟน้อยก็กระโดดขึ้นมาเบาๆ รีบร้อนตะโกนไป “หญิงโง่? เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฟิ่งจิ่วฝืนหยัดร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงลุกยืนขึ้น มองเงาร่างของภาพลวงตานั้นพลางถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นยังไงบ้าง?”
ฉู่ป้าเทียนมองเธอ กล่าวเตือนว่า “เด็กน้อย ตอนที่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวเอง จงจำไว้ว่าต้องทำตัวให้นอบน้อม อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าคือร่างเทพประทับ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะนำมาซึ่งหายนะแห่งความตาย โลกของการบำเพ็ญเซียนนั้นโหดร้าย ต่อให้เจ้าเป็นสุดยอดผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาแต่กำเนิด ก็ต้องเติบใหญ่ขึ้นมาให้ได้”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ ข้าทราบแล้ว” เธอพยักหน้า ในใจมีกระแสธารอุ่นวาบผ่าน
“เรื่องการฝึกฝนวิชาอาจารย์ไม่มีทางชี้แนะเจ้าได้ หลังจากเจ้ากลับไปจงตั้งใจฝึกวิชาในห้วงมิติ อนาคตค่อยให้อาจารย์สักคนมาคอยชี้แนะ แต่เจ้าต้องจำไว้ การระวังผู้อื่นนั้นไม่ควรขาด เรื่องที่ร่างกายเจ้ามีความล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง จะให้ใครอื่นคนรู้ไม่ได้เด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ” เธอผุดยิ้มออกมา เวลานี้ ในที่สุดเธอก็ยอมรับว่าเขาเป็นอาจารย์ของเธอแล้ว
“ที่ก้นบึ้งบ่อน้ำแห่งนี้พวกเจ้าเดินออกไปไม่ได้ สุดท้ายอาจารย์จะส่งพวกเจ้าไปที่สุสานหมื่นกระบี่ หลังจากเจ้าหากระบี่คมพยับพบก็อย่าให้ใครเห็นได้ง่ายๆ มิเช่นนั้น กระบี่คมพยับจะชักนำอันตรายมาหาเจ้า” เขากำชับอีกหลายครั้ง
“ท่านอาจารย์ หากเข้าไปในสุสานหมื่นกระบี่แล้วข้าจะหากระบี่คมพยับเจอได้อย่างไร?”
“สุสานหมื่นกระบี่คือสถานที่ฝังกระบี่ ทว่าทุกคนที่เข้าไปในสุสานกลับไม่อาจหากระบี่ที่เหมาะสมกับตัวเองได้จากที่นั่นกันหมด กระบี่มีจิตวิญญาณ มันจะเลือกนายของตัวเอง กระบี่คมพยับก็เช่นเดียวกัน”
เสียงเขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “แต่บนร่างเจ้ามีเลือดของข้าอยู่ หยดเลือดนั้นสามารถช่วยให้เจ้ารู้สึกถึงที่อยู่ของกระบี่คมพยับได้ ทว่าเจ้าจะได้รับการยอมรับจากมันหรือไม่ยังต้องดูที่ตัวเจ้าเอง หากครั้งนี้เจ้าไม่อาจนำกระบี่คมพยับกลับมา ภายหน้าก็ต้องนำมันออกมาจากสุสานกระบี่ให้จงได้”
“เจ้าค่ะ”
ครั้นเธอรับปาก ก็เห็นเขาสะบัดมือ เขตอาคมสลายไป หงส์ไฟน้อยจึงวิ่งเข้ามา
ต่อจากนั้น เธอเห็นในมือเขาปรากฏสิ่งของที่คล้ายม้วนหนังสือ เพียงได้ยินเสียงเขากล่าวว่า ‘ไปซะ!’ จากนั้นทั้งสองก็ถูกม้วนหนังสือนั้นดูดเข้าไป…
…………………………………………………….
ตอนที่ 48 ตามหากระบี่คมพยับ
เมื่อเฟิ่งจิ่วได้สติกลับมาอีกครั้ง เธอกับหงส์ไฟน้อยก็มาอยู่กลางสุสานกระบี่แล้ว พอทอดมองออกไปเต็มไปด้วยกระบี่ อีกทั้งมีพลังกระบี่รุนแรงลอยอยู่ในอากาศ
เธอก้มหน้ามองเด็กชายตัวน้อยที่กำลังดึงชายเสื้อตัวเองอยู่ ถึงค่อยคลายฝ่ามือออก ด้านในมีแหวนที่ดูไม่สะดุดตาวงนั้นอยู่ เธอกัดนิ้วหยดเลือดลงไป ก็เห็นเพียงแหวนที่เดิมเคยมีรอยสนิมส่องแสงวาววับ คืนสภาพเหมือนของใหม่ แค่ยังคงไม่มีอะไรเตะตาเช่นเดิม
เธอสวมแหวนเข้าที่นิ้วมือ แหวนนั้นเปลี่ยนขนาดให้พอดีกับนิ้วมือเธอด้วยตัวมันเอง เธอส่งดวงจิตเข้าไปสำรวจด้านใน เป็นอย่างที่อาจารย์พูดไม่มีผิด ด้านในนั้นมีห้วงมิติที่เก็บของมีค่าและตำราไว้ไม่น้อย ขณะที่เธอจะเข้าไปสำรวจอีกหน่อย กลับพบว่ามีพลังงานบางอย่างสกัดกั้นเธอออกมา
เธอดึงดวงจิตกลับ ไม่เข้าไปสำรวจด้านในอีก แต่พอมองยังภูเขากระบี่มากมาย ก็ถอนหายใจออกมา “ไม่คิดเลยว่าต้องมาหากระบี่คมพยับจากในกองกระบี่มากมายขนาดนี้? ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว!”
“ต่อให้หากระบี่คมพยับไม่เจอ หาเล่มอื่นไปแทนก็ได้ ในสุสานมีกระบี่ดีๆ อยู่ไม่น้อยเลยนะ” หงส์ไฟน้อยพูดต่อจากเธอตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อพูดไป กลับเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงมองเธอเขม็ง พูดอย่างจองหองว่า “เจ้าอย่าคิดมากล่ะ ข้าไม่ได้จะคิดเผื่อเจ้าเสียหน่อย”
“ได้ๆๆ”
เฟิ่งจิ่วหัวเราะ เธอจูงมือเจ้าเนื้อที่นุ่มนิ่มของเขาขึ้นมา แล้วเดินไปด้านใน “ไปกันเถอะ! ในเมื่อมาแล้ว ก็ลองวนๆ ดู เวลาสามชั่วยาม ถ้าหากระบี่ที่เหมาะสมไม่เจอก็จะถูกส่งออกไป พวกเราต้องรีบทำเวลาหน่อย”
พอโดนนางจูงมือ หงส์ไฟน้อยส่งเสียงหึอย่างอึดอัดนิดหน่อย แต่เขากลับไม่สะบัดมือนางออก ปล่อยให้นางจูงมือพาเดินไปด้านใน
กระบี่รอบๆ มีพลังกระบี่เฉียบคมแผ่ออกมา แต่ละเล่มล้วนถูกเสียบไว้บนพื้น มีคมบางเล่มที่ขึ้นสนิมแล้ว เดินไปสักพักก็ไม่รู้สึกถึงที่อยู่ของกระบี่คมพยับเลย ดังนั้น เธอจึงอยากจะลองดูสักหน่อยว่ากระบี่นั้นเลือกเจ้านายเช่นที่อาจารย์บอกไว้จริงๆ หรือไม่?
เธอเข้าไปจับกระบี่เล่มหนึ่งแล้วลองดึงมันขึ้นมา ทว่ากระบี่เล่มนั้นกลับเสียบไว้บนพื้นอย่างแน่นหนา ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่เธอคิดจะออกแรงลองอีกสักรอบ ก็รู้สึกถึงพลังกระบี่อันเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวกระบี่ ทำให้ต้องดึงมือกลับในทันที
“จิ๊ๆ น่าอัศจรรย์จริงๆ” เธอกล่าวด้วยความตื่นตาตื่นใจ ประกายแสงแห่งความอยากรู้อยากลองในดวงตาก็ยิ่งสว่างขึ้น
“มีอะไรน่าอัศจรรย์นัก? กระบี่ในสุสานเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” หงส์ไฟน้อยพูดพลางมุ่ยปาก ศีรษะเล็กๆ เงยมองหญิงโง่ที่เหมือนพวกมือใหม่ไม่มีผิดเพี้ยน ขมวดคิ้วบอกว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะเดินหาช้าๆ อยู่ในนี้หรอกนะ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้น เฟิ่งจิ่วนิ่งไป “ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะ?”
หงส์ไฟน้อยแสดงสีหน้าเหมือนเป็นไปตามคาด มองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลน “เจ้าโง่มากอย่างที่ข้าคิดไว้เลย”
พอโดนดูถูกเอาเสียดื้อๆ เฟิ่งจิ่วก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ใครใช้ให้เธอไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ ล่ะ!
“คนผู้นั้นไม่ได้ทิ้งพลังเลือดลมไว้ให้เจ้าหรือ? เจ้าหลับตาลงสัมผัสสักหน่อย ลองดูว่ารอบๆ นี้มีกลิ่นอายของกระบี่คมพยับอยู่หรือไม่!”
“แบบนี้ก็ได้รึ?”
เด็กน้อยเชิดคางขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “กระบี่คมพยับไม่ใช่กระบี่ธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บนร่างเจ้ามีพลังเลือดลมของนายคนก่อนอยู่เลย เจ้าจะรู้สึกถึงที่อยู่ของมันได้อย่างแน่นอน”
“งั้นข้าจะลองดู”
พูดว่าจะทำก็ทำ ตอนนี้เฟิ่งจิ่วหลับตาลงโดยไม่คิดอะไร แค่สัมผัสถึงพลังกระบี่ในสุสานนี้ไปเงียบๆ เวลาประมาณครึ่งก้านธูป[1] เธอพลันลืมตาขึ้น ในดวงตาตื่นเต้นยินดี
“หาเจอแล้ว! อยู่ด้านนั้น!” พอรู้สึกถึงกลิ่นอายของกระบี่คมพยับได้จริงๆ ในใจเธอปลื้มปริ่มอย่างมาก
…………………………………………………….
[1] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง