ตอนที่ 485 หาตัวไม่พบ
ผู้ครองแคว้นเล็กทั้งหลายพากันส่งคนไปสอบถามความจริงจากข่าว หลังจากรู้แน่ชัดว่าไม่ใช่ข่าวลือ ซ้ำยังได้ยินว่าอีกสามวันให้หลังเป็นวันที่เฟิ่งเซียวจะขึ้นครองราชย์ ต่างก็สั่งให้คนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ ส่งไปให้ราชวงศ์เฟิ่งหวง
เพราะระยะทางห่างไกล อีกทั้งไม่มีเรือเหาะ จะส่งของขวัญภายในสามวันจึงเป็นไปไม่ได้ พวกเขาส่งคนไปก็เพื่อแสดงน้ำใจเท่านั้น ส่วนการเยี่ยมเยือนแสดงความยินดีแน่นอนว่าต้องเลือกไปวันอื่นแทน
สามวันต่อมาเฟิ่งเซียวขึ้นครองราชย์เป็นผู้ครองแคว้น แทบจะยินดีกันทั่วแคว้น ราษฎรร่วมเฉลิมฉลอง เพราะเดิมเฟิ่งเซียวเป็นทหารผู้ภักดี ซ้ำยังพิทักษ์แคว้นแห่งนี้มาหลายปี ยามนี้เขาขึ้นครองตำแหน่งผู้ครองแคว้น พวกชาวบ้านจึงแซ่ซ้องสรรเสริญเป็นธรรมดา
ภายในเมืองแห่งหนึ่ง มู่หรงอี้เซวียนผู้สวมชุดคลุมสีขาวจันทร์เห็นประกาศราชสำนักที่แปะบนป้ายประกาศ ก็ตกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
เขาจากไปแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา และไม่คิดจะไปถามว่าสุดท้ายท่านพ่อเขาเป็นเช่นไร แต่ตลอดทางที่เดินมาสองสามวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนๆ ภายใต้การป่าวประกาศจากราชสำนัก ข่าวก็แพร่ไปรวดเร็วยิ่ง แม้เขาไม่ตั้งใจถามยังรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้
สำหรับการกระทำของตระกูลเฟิ่ง เขาหาข้อผิดพลาดไม่ได้เลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าท่านพ่อ หนำซ้ำตายไปคนอื่นๆ ในตระกูลกลับไม่มีอันตราย ผลลัพธ์เช่นนี้ดีเกินความคาดหมายของเขาแล้ว เขาจะไม่เคียดแค้นที่ตระกูลเฟิ่งช่วงชิงแคว้นของตระกูลมู่หรงไป และบีบให้พ่อเขาต้องตาย
หากไม่ใช่เพราะสิ่งที่พ่อเขาทำในวันนั้น ตระกูลมู่หรงจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร? เรื่องแบบนี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องถอนรากถอนโคนตระกูลมู่หรงไม่เหลือแน่ แต่คนตระกูลเฟิ่งกลับไม่ทำ จุดนี้เขาซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
ราชวงศ์เฟิ่งหวง นี่คือแคว้นราชวงศ์ของตระกูลเฟิ่งแล้ว อันที่จริงเดิมทีควรเป็นของตระกูลพวกเขา หากไม่มีตระกูลเฟิ่งพิทักษ์มาหลายต่อหลายรุ่น แผ่นดินนี้คงถูกควบรวมกับแคว้นเล็กแคว้นอื่นไปนานแล้ว คนตระกูลเฟิ่งทุ่มเทมากมายเพียงนั้น พวกเขาควรค่าที่จะมีทุกอย่างในตอนนี้
“กลายเป็นองค์หญิงราชวงศ์เฟิ่งหวงแล้ว ไม่รู้ว่าจากนี้นางคิดจะทำเช่นไร?” เขาพึมพำเบาๆ ในใจยังคงปล่อยวางนางไม่ได้
อาจเพียงเพราะไม่ได้มา ดังนั้นใจจึงคิดถึงเสมอ
เวลาเดียวกันนี้ ภายในเมืองอวิ๋นเยวี่ย เฟิ่งเซียวย้ายเข้าพระราชวัง ทิ้งจวนตระกูลเฟิ่งเดิมไว้ให้เฟิ่งจิ่ว เปลี่ยนเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของนาง แน่นอนว่าภายในพระราชวังก็มีตำหนักสำหรับนางด้วย แต่เทียบกับพระราชวังแล้ว นางเหมือนจะชอบพำนักอยู่ในจวนมากกว่า
เพราะแบบนี้เอง เฟิ่งเซียวอยากจะพบหน้านางก็ยากอยู่บ้าง ถึงอย่างไรอยากพบลูกสาวหลังจัดการราชกิจเสร็จกลับได้รับแจ้งว่านางไม่อยู่ในวังแทน คิดๆ แล้วใจก็หดหู่
เฟิ่งเซียวแตกต่างจากผู้ครองแคว้นอื่นๆ แม้กลายเป็นผู้ครองแคว้นราชวงศ์เฟิ่งหวง แต่วังหลังยังคงว่างเปล่า คิดๆ แล้วก่อนหน้านี้ภายในจวนตระกูลเฟิ่งก็ไม่เคยพาผู้หญิงมาสักคน หลังจากกลายเป็นผู้ครองแคว้นจึงไม่น่าจะเลือกผู้หญิงสักกลุ่มเข้าวังหลังเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเขามีเพียงแม่ของลูกสาวมาแต่ไหนแต่ไร…
เจ้าตำหนักยมราชก็เหมือนกับเฟิ่งเซียว หลังจากเฟิ่งเซียวเข้าวัง ตลอดมาก็หาตัวเฟิ่งจิ่วไม่พบ ทุกครั้งที่ไปหานางที่จวนตระกูลเฟิ่ง คนในจวนจะบอกว่านายท่านไปที่วัง พอไปถึงวังเฟิ่งเซียวก็จะบอกว่าลูกสาวตนอยู่ที่จวน
ทำให้เขาที่วิ่งไปมาสองรอบหาคนไม่พบ ถึงขั้นไม่เคยเห็นนางปรากฏตัว หากไม่รู้ว่านางไม่มีทางออกไปในเวลาที่เฟิ่งเซียวยังนั่งบัลลังก์ราชวงศ์เฟิ่งหวงได้ไม่มั่นคง เขาต้องสงสัยจริงๆ แน่ว่านางแอบหนีไปแล้วหรือไม่?
ส่วนเฟิ่งจิ่ว ไม่มีใครรู้เลยว่าช่วงนี้นางหลบอยู่ในห้วงมิติ…
………………………………………………….
ตอนที่ 486 ไม่ซ่อนแล้วหรือ?
ช่วงนี้เฟิ่งจิ่วที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด พบว่าวรยุทธ์พลังเร้นลับถึงระดับยอดปรมาจารย์นักรบขั้นสูงสุดก็ข้ามระดับไม่ได้อีกเลย อยากบรรลุถึงระดับบรรพชนนักรบ แต่มักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เธอไม่ใช้ยาอายุวัฒนะกับตนเอง แต่หลังจากบรรลุขั้นไม่ได้จึงมาปรึกษากับหงส์ไฟน้อย
“ข้ารู้สึกว่าขาดจุดประสานไปหนึ่งอย่าง เจ้าว่าเราหาเวลาออกไปเดินเล่นดีหรือไม่?” แววตาเธอวาววับเล็กน้อย สีหน้ากระฉับกระเฉง คล้ายว่าตัดสินใจเรื่องนี้มานานมากแล้ว
ใช่ เธอไล่เจ้าตำหนักยมราชไปไม่ได้ พาตนเองไปคงได้กระมัง?
หนำซ้ำธุระในมือท่านพ่อก็จัดการไปได้มากแล้ว ขอแค่ไม่มีแคว้นอื่นมาระราน และมีองครักษ์ตระกูลเฟิ่งคอยปกป้อง ตำแหน่งผู้ครองแคว้นจะมั่นคงจนไม่อาจมั่นคงไปกว่านี้อีกแล้ว
“ชายคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าคิดว่าจะหลบพ้นหรือ?” หงส์ไฟน้อยที่บนร่างอ้วนท้วนขาวเนียนสวมเพียงผ้าเตี่ยวเหลือบมองนางอย่างดูแคลน ในปากเคี้ยวโสมที่เฟิ่งจิ่วเก็บมาให้เขา แน่นอนว่าอายุยังห่างไกลสู้โสมพันปีไม่ได้
เขาชอบกินโสม ยังมีของจำพวกผลไม้วิญญาณกับยาทิพย์ที่มีธาตุไฟด้วย แต่ที่นี่มีของพวกนั้นน้อยมาก มีเพียงโสมอายุไม่กี่ร้อยปีที่คลายความอยากของเขาได้
แม้เป็นเช่นนี้ ช่วงนี้ก็ยังเลี้ยงเขาเสียจนขาวอ้วนท้วน แขนขาที่เผยออกมาขาวเนียนราวรากบัว เห็นแล้วชวนให้อยากกัดสักคำ
โดนเด็กน้อยมองเหยียด เฟิ่งจิ่วจึงยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นค่อยเชิดคางขึ้นด้วยสีหน้าภูมิใจน้อยๆ “ใครใช้ให้ข้าเสน่ห์แรงจนแม้แต่เจ้าตำหนักยังไม่อาจต้านทานได้เล่า? เฮ้อ อันที่จริงข้าก็ไม่อยากหรอก”
เห็นท่าทางนางเสแสร้งแกล้งทำ หงส์ไฟน้อยกลอกตามอง กอดโสมที่กัดไปครึ่งหนึ่งพลางหันกายไปทันที ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังเจ้าเนื้อที่รัดสายผ้าเตี่ยวไว้กับบั้นท้ายเล็กๆ มีเนื้อจ้ำม่ำ
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วยื่นมือไปสะกิดบั้นท้ายเล็กนั้นอย่างชอบใจ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมว่า “ทำไมช่วงนี้เจ้าชอบสวมผ้าเตี่ยวตัวเล็ก? ดูสิ บั้นท้ายโผล่ออกมาแล้ว”
“หึ! นกน้อยของคุณชายน้อยไม่โผล่ออกมาก็พอ”
เขาพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา พลางโบกๆ มือไปทางนางอย่างรังเกียจ “เจ้าอย่าอยู่ในนี้ทั้งวันเป็นเต่าหดหัวในกระดองรบกวนข้าเลย รีบๆ ออกไปซะ ข้างนอกตามหาเจ้าแทบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแล้ว”
“เฮ้อ! หลบไม่พ้น งั้นก็ออกไปเถอะ!” เธอถอนใจเบาๆ ลุกยืนขึ้นปัดๆ ชุดกระโปรงบนตัว ก่อนจะแวบออกจากห้วงมิติ
“คนขี้ขลาด” หงส์ไฟน้อยกระซิบ กัดโสมนั้นหมดแล้วก็ไปพลิกหาตรงจุดที่วางยาทิพย์เรียงไว้
ด้านนอก กลางลานบ้าน เจ้าตำหนักยมราชที่หาตัวนางไม่พบนั่งเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายในเขตเรือนนางอยู่ตลอด เมื่อเฟิ่งจิ่วออกจากห้วงมิติ เขาที่ดื่มชาอยู่ในลานบ้านจึงชะงักท่ายกถ้วยช้าเล็กน้อย ดวงตาดำขลับลึกล้ำฉายประกาย มองไปทางเรือนหลังนั้น
เดิมทีไม่มีกลิ่นอายนาง ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ปรากฏขึ้นทันใด
ยังคิดอยู่ว่าทำไมถึงหาตัวนางไม่พบ ที่แท้นางมีสมบัติห้วงมิติติดตัว มิน่าล่ะ
เมื่อประตูเรือนเปิดออก ร่างนั้นปรากฏตัวตรงประตู ก็มองมาทางเขาพร้อมเผยรอยยิ้มเอาอกเอาใจ “เหอะๆ ท่านเจ้าตำหนัก ทำไมท่านดื่มชาอยู่ในเรือนนี้เล่า? ต้องให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือไม่?”
“ไม่ซ่อนแล้วหรือ?” เขาเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาดำล้ำลึกหยุดลงบนร่างนาง มองเสียจนหนังศีรษะนางด้านชา
เฟิ่งจิ่วยิ้มเหยเก ชัดเจนว่าคนอื่นเธออยากปฏิเสธก็ปฏิเสธได้ แม้แต่มู่หรงอี้เซวียนที่เจ้าของร่างเดิมรักมาตั้งหลายปีเพียงนั้น แค่สองสามประโยคนางยังตัดความหวังเขาได้ แต่ทำไมพอเป็นผู้ชายคนนี้เธอถึงไม่กล้าเสียแล้ว?