ตอนที่ 495 จากไป
“นายท่าน พวกเราอยากออกไปฝึกวิชาด้วยกันกับท่านจริงๆ พาพวกเราไปด้วยเถอะ!”
คนอื่นๆ เห็นหลัวอวี่เอ่ยปากก็รีบร้อนบอก พวกเขาอยากตามนางออกไปจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากครั้งก่อน หลัวอวี่กลับมาเล่าเรื่องที่ออกไปพบเจอกับนายท่านให้ฟัง พวกเขาก็เฝ้ารอมาโดยตลอด
แม้การฝึกวิชาจะพบอันตราย แต่สำหรับคนที่ฝึกบำเพ็ญ นั่นเป็นเส้นทางการเติบโตที่ขาดไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อการติดตามข้างกายนายท่านยังทำให้เข้าใจนางได้มากขึ้น อยู่ข้างนอกนางจะได้ชี้แนะพวกเขาบ้าง ต้องเป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นอน
ทว่าเฟิ่งจิ่วไม่คิดจะพาพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้จึงบอกว่า “ยามนี้ราชวงศ์เฟิ่งหวงยังไม่สงบปลอดภัยมากนัก ตำแหน่งผู้ครองแคว้นของพ่อข้านี้ก็เพิ่งขึ้นครองไปไม่นาน ข้าไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้ตลอด แต่พวกเจ้าทำได้ พวกเจ้าต้องช่วยข้าอารักขาอย่างดี จากนี้จะขาดพวกเจ้าไปไม่ได้ รออนาคตมีโอกาส ข้าจะให้พวกเจ้าออกไปด้วยกัน แต่คงไม่ใช่ตอนนี้”
ฟังนางพูดถึงเพียงนี้ พวกเขารู้ว่าหมดหวังจึงไม่เอ่ยถึงอีก ถึงอย่างไรท่าทีนางเหมือนไม่ได้กำลังล้อเล่น คำสั่งนายท่านเป็นเช่นนี้ พวกเขาแค่ต้องทำตาม ดังนั้นทั้งแปดคนจึงมองหน้ากัน ต่างขานรับเสียงเข้มว่า “ขอรับ! นายท่านโปรดวางใจ พวกเราจะอารักขาผู้ครองแคว้น และพิทักษ์เมืองอวิ๋นเยวี่ยอย่างดี”
เฟิ่งจิ่วกำชับพวกเขา ซ้ำยังสั่งสอนเหล่าองครักษ์ จากนั้นถึงจะเดินไปทางตำหนักของเธอ ยามนี้เหลิ่งซวงกับเหลิ่งหวาเฝ้าอยู่ในตำหนักแล้ว ครั้นเห็นเธอกลับมาทั้งสองก็เข้ามาต้อนรับ
“นายท่าน”
“อืม” เธอขานรับ สายตาจับจ้องเหลิ่งหวาที่สีหน้าตื่นเต้นดีใจ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเตรียมตัวดีๆ ครั้งนี้จะพาเจ้าออกไปฝึกวิชา แม้เจ้าไม่มีวรยุทธ์แต่มีไทเก๊กติดตัวก็พอฝืนปกป้องตัวเองได้ หากมีวาสนาไม่แน่เจ้าอาจฝึกบำเพ็ญได้ด้วย”
ได้ยินคำพูดนี้ เหลิ่งหวาดวงตาเป็นประกายวาววับ ถามอย่างตื่นเต้นและเริงร่าว่า “นายท่านว่าข้าก็มีโอกาสฝึกบำเพ็ญหรือ แต่ข้าฝึกบำเพ็ญพลังเร้นลับไม่ได้ไม่ใช่หรือขอรับ?”
“เจ้ามีพลังเร้นลับไม่ได้ แต่ถึงเวลาออกไปข้างนอก ข้าหาโอกาสตรวจสักหน่อยว่าเจ้ามีรากฐานพลังวิญญาณหรือไม่ ก็ฝึกบำเพ็ญได้แล้วไม่ใช่หรือ?” เธอยิ้มๆ เมื่อสาวก้าวเดินหน้าเข้าไปในห้องนอน ก็เห็นบนโต๊ะมีถาดมากมายวางไว้ ด้านบนมีเสื้อผ้าสิบกว่าชุดทั้งแดงและขาววางอยู่
เหลิ่งหวาที่ตื่นเต้นเพราะคำพูดนางรีบตามเข้ามา เห็นนางกำลังมองเสื้อผ้าจึงเอ่ยปากบอก “หลายวันก่อนในวังมีช่างตัดเสื้อมาช่วยผู้ครองแคว้นตัดชุดคลุมตั้งมากมาย ตอนนั้นหานายท่านไม่พบ ท่านผู้ครองแคว้นจึงสั่งข้าหยิบเสื้อผ้านายท่านชุดหนึ่งให้ช่างตัดมายี่สิบแบบแตกต่างกัน ข้าให้พวกเขาตัดเป็นชุดผู้ชายสิบผู้หญิงสิบ วันนี้ทำเสร็จ เพิ่งส่งเข้ามาเลยขอรับ”
เฟิ่งจิ่วหยิบชุดหนึ่งขึ้นมาดูและทาบเทียบกับตัว ใบหน้าผุดรอยยิ้ม “อืม ไม่เลว สวยงามยิ่งนัก พอดีเลย ครั้งนี้ออกไปก็ไม่ต้องกังวลว่าเสื้อผ้าจะไม่พอแล้ว”
เธอหันกลับไปมองทั้งสองคน กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ! ไม่ต้องปรนนิบัติอยู่ที่นี่ กลับไปเตรียมตัวดีๆ จริงสิ สั่งคนพาเหล่าไป๋กับฉิวฉิวออกมา ถึงเวลาพวกเราจะออกเดินทางจากวังทันที”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งสองขานรับแล้วจึงถอยออกไป
สามวันต่อมา
ภายในตำหนักของเฟิ่งจิ่ว เมื่อเจ้าตำหนักยมราชเห็นม้าที่ชื่อเหล่าไป๋ก้าวเดินไปเดินมาในลานบ้านอย่างตื่นเต้น ไม่เห็นเฟิ่งจิ่ว มีเพียงเหลิ่งซวงกับเหลิ่งหวาสองคน จึงถามขึ้น “นายท่านพวกเจ้าจะพาม้าอ้วนตัวนี้ไปด้วยหรือ?” ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยากไปฝึกวิชา แต่อยากไปเที่ยวเล่นกระมัง?
………………………………………………….
ตอนที่ 496 ชุดขอทานดีกว่า
“ข้าจะพาเหล่าไป๋ไปด้วย! อสูรกลืนเมฆาตัวน้อยนั้นก็จะพาไป นี่ ท่านดูสิ” เฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาด้วยชุดผู้ชาย ก้าวเดินออกมาพร้อมเชิดคางน้อยๆ ส่งสัญญาณให้เจ้าตำหนักยมราชมองฉิวฉิวข้างๆ
ตั้งแต่เห็นฉิวฉิวคืนร่างเดิมยามกลืนกินวิญญาณต้น เธอก็เรียกมันว่าฉิวฉิวน้อยมาก เปลี่ยนไปเรียกอสูรกลืนเมฆาตัวน้อยทันที ถึงอย่างไรภาพที่มันกลืนวิญญาณต้นไปช่างทำให้เธอยากจะลืมจริงๆ มองอย่างไรก็รู้สึกว่าฉิวฉิวสองคำนี้ไม่เหมาะกับมัน
เห็นนางปรากฏตัวด้วยชุดผู้ชาย ชุดสีแดงแพรวพราวยังคงเปิดเผยชัดเจนเช่นนั้น ไม่ใช่ชุดกระโปรงผู้หญิงแต่เป็นชุดคลุมผู้ชาย เพราะนางแต่งตัวเป็นชาย ร่างกายจึงมีกลิ่นอายชั่วร้ายและรักอิสระกระจายออกมา คล้ายคลึงกับคุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ยิ่งนัก รูปโฉมงดงามโดดเด่นเป็นที่สุด แม้แต่งตัวเป็นผู้ชาย เขาเห็นแล้วแววตายังวูบไหวเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาคิดว่าชุดขอทานยังเหมาะกับนางมากกว่า อืม ดีที่สุดบนหน้าต้องทาโคลนหรือสมุนไพรอีกสักหน่อย นั่นถึงจะดีกว่า
เฟิ่งจิ่วที่เดินออกมาชำเลืองมองเขา ถามว่า “ท่านคงไม่คิดจะออกไปทั้งแบบนี้กระมัง?”
เจ้าตำหนักยมราชเลิกคิ้วขึ้น “ไม่อย่างนั้นเล่า?”
“ติดหนวดเคราท่านอา แล้วเปลี่ยนใส่ชุดคลุมที่ไม่โดนเด่นสิ!” เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สีหน้าหลงตัวเองอยู่บ้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขใจเจือยิ้มหัว “คนงามมีแค่ข้าก็พอ ไม่อย่างนั้นเดินไปด้วยกันจะดึงดูดสายตาคนเกินไป เฮ้อ ภาพเช่นนั้นคิดๆ แล้วข้าว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
ได้ยินนางนางแล้ว หน้าผากเจ้าตำหนักยมราชมีเส้นเลือดสีดำปูดขึ้นมา เหลือบมองนางด้วยสีหน้าแปลกๆ “ข้าคิดว่าเจ้าเปลี่ยนเป็นชุดขอทานและทาขี้เถ้าบนหน้าจะดีกว่า เจ้าจะไปเปลี่ยนหรือไม่?”
“ได้ยังไงกันเล่า!”
เฟิ่งจิ่วถลึงตาที่เปล่งประกาย “ข้าว่าจะออกไปยั่วยวนสาวงามสักสองสามคน!” พูดออกไป แม้แต่ตนเองยังยิ้มขึ้นมา “หนำซ้ำข้าคิดว่าด้วยรูปโฉมงดงาม บุคลิกงามสง่า ออกไปครั้งนี้จะต้องทำให้เหล่าแม่นางผู้เพริศพริ้งหัวใจเต้นรัวเป็นแน่ ดังนั้นท่านอย่าทำข้าเสียเรื่อง รีบๆ เปลี่ยนชุดนั้นเถอะ ติดหนวดเคราหนาๆ เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ท่านอาจะดีมาก”
เหลิ่งซวงข้างๆ มองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาฉายแววอ่อนโยน ตรงริมฝีปากมีรอยยิ้มบางๆ ส่วนเหลิ่งหวาข้างกันก็ผุดยิ้มทันใด มองนายท่านในชุดสีแดงแวววับแสบตาหาเรื่องเจ้าตำหนักยมราชด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
ฮุยหลางกับอิ่งอีที่ตามอยู่ด้านหลังเจ้าตำหนักต่างมองหน้ากัน สองคนถอยไปด้านนอกโดยไม่ส่งเสียงดัง เสียแรงที่ก่อนนายท่านออกมายังพลิกหาเสื้อผ้า ทั้งเลือกเข็มขัดหยกและสีชุดคลุม ไม่เคยคิดว่ามาถึงที่นี่ ภูตหมอกลับคิดว่าเขาหล่อเหลาสะดุดตาเกินไป กลัวเขาแย่งแสงนาง จึงให้นายท่านเปลี่ยนเป็นชุดอย่างท่านอา
อืม แม้ตัวตนของหลิงโม่หานยามอยู่ข้างนอกจะเดินไปไหนมาไหนสะดวกหน่อย แต่นายท่านคิดจะแสดงเสน่ห์ความเป็นชายอันไร้ที่ติของตนระหว่างทาง ซ้ำยังคิดจะใช้เสน่ห์ชายยั่วยวนภูตหมอ ตอนนี้หากเปลี่ยนเป็นชุดท่านอา ความตั้งใจนี้จะได้ผลได้อย่างไร?
สองคนเหลือบมองนายท่านอย่างเงียบเชียบ อดไม่ได้ที่จะอาลัยให้เขา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าสุดท้ายนายท่านจะยอมตามคำพูดภูตหมอ เปลี่ยนสวมชุดท่านอาออกไป
เป็นไปตามคาด สองคนทางนี้เพิ่งกำลังคิดในใจ ทางนั้นก็ได้ยินเสียงนายท่านลอยมา
“เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนที่นี่ เจ้าเข้ามาช่วยข้าด้วย” พูดจบก็เดินไปยังเรือนของเฟิ่งจิ่ว
ฮุยหลางกับอิ่งอีได้ยินคำพูดนี้ก็ส่ายหน้าทันควัน ในหัวคิดว่า ‘กลัวเมียชัดๆ!’