ตอนที่ 55 ชุดหญิงสาวที่งดงาม!
“อืม ได้สิ แต่ยังไงก็ตาม ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน” สำหรับเธอในตอนนี้ จะไปที่ไหนก็เหมือนๆ กัน
ดังนั้น เมื่อบอกว่าจะไปก็ไป พอทั้งสองคนออกจากป่า ก็มุ่งไปยังทิศทางของหมู่บ้านป่าหิน
สองวันต่อมา ที่หมู่บ้านป่าหิน
เสื้อผ้ารุ่งริ่งบนตัวกวนสีหลิ่นยังมีรอยเลือด ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาดูกระด่างกระดำ และยังกล้ามเนื้อแขนที่กำยำอีก ดูแล้วช่างคล้ายคลึงกับพวกอันธพาลจริงๆ
ส่วนเสื้อสีขาวบนตัวเฟิ่งจิ่วก็กลายเป็นเสื้อสีเทา ใบหน้าเธอพอกยาไว้ ดูแล้วเนื้อตัวมอมแมม ช่างไม่ต่างอะไรกับขอทานเลย
พวกเขาสองคนเข้ามาในหมู่บ้านป่าหินทั้งแบบนี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดสายตารังเกียจเดียดฉันท์มาได้ไม่น้อย แม้แต่พวกคนที่เดินกระทบไหล่ผ่านไป พอโดนพวกเขาชนเข้า ก็ล้วนพยายามหลบเลี่ยงกันอยู่บ้าง
“บรรยากาศในหมู่บ้านช่างแตกต่างเสียจริง!” เฟิ่งจิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็ได้กลิ่นหอมหวนของพวกขนมต่างๆ กระจายอยู่ในอากาศ
“เสียวจิ่ว พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยว่ากันเถอะ ไม่งั้นพวกโรงเตี๊ยมก็คงไม่ให้พวกเราเข้าไปหรอก” กวนสีหลิ่นพูดพลางก็ดึงๆ เสื้อตัวรุ่งริ่งบนร่าง
“อืม งั้นลองหาร้านขายเสื้อผ้าระแวกนี้ดู” เธอพูดพลางมองไปรอบๆ พลันสายตาก็สะดุดกับที่ที่หนึ่ง เธอจึงลากกวนสีหลิ่นเดินไปด้านนั้น “อยู่ด้านนั้น ตรงนั้นมีอยู่ร้านหนึ่ง”
“เดี๋ยวๆๆๆ” เขาเร่งรีบดึงเธอไว้ แล้วถามเสียงเบา “เสียวจิ่ว พวกเรามีเงินรึ? หากไม่มีเงินจะซื้อเสื้อผ้าเช่นไร?”
ได้ยินเช่นนั้น บนหน้าผากเธอก็มีเส้นเลือดสีดำปรากฏ “จะไม่มีเงินได้ยังไงเล่า? วางใจเถอะ ข้ามีอยู่” ขณะที่พูด เธอก็ยกถุงตรงเอวขึ้น “ไปเถอะน่า! ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งชุดหรอก ซื้อเป็นสิบชุดก็ไม่มีปัญหา”
หลังจากได้ยินเธอพูดว่ามีเงิน กวนสีหลิ่นก็ฉีกยิ้มขึ้นมา ทั้งสองถึงจะพากันเดินไปยังร้านขายเสื้อผ้า
“ท่านพี่ ท่านสวมตัวนี้สิ! ตัวนี้เหมาะกับท่านนะ” เธอหยิบเสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งขึ้นมา เนื้อผ้าไม่เลว จึงจะให้เขาไปลองดู
“ได้สิ งั้นก็ตัวนี้ล่ะ”
เขาไร้ซึ่งความเห็นโดยสิ้นเชิง เขารับชุดเดินไปด้านใน ไม่นานนัก ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเรียบร้อย พอเห็นเธอกำลังเลือกเสื้อผ้าผู้ชาย จึงกล่าวว่า “เสียวจิ่ว เจ้าจะเลือกเสื้อผ้าผู้ชายไปทำไม? ตอนนี้พวกเรากลับมาหมู่บ้านแล้ว เจ้าอย่าได้สวมเสื้อผ้าผู้ชายเลย สวมกระโปรงสิ เด็กผู้หญิงควรสวมกระโปรงถึงจะสวย”
เพราะตอนที่เขาอยู่ในตระกูล พวกเด็กผู้หญิงล้วนชอบสวมกระโปรง หนำซ้ำซื้อกันทีหนึ่งก็หลายสิบชุด ดังนั้นเขาจึงคิดว่าน้องสาวเขาก็ควรสวมกระโปรงด้วย ไม่ควรทำตัวเหมือนขอทานตัวน้อยๆ
“ก็เสื้อผ้าผู้ชายมันสะดวก”
ขณะที่กล่าว เธอกำลังคิดจะเลือกเสื้อผ้าผู้ชายยื่นให้เจ้าของร้าน ก็เห็นเขาลากเธอไปด้านเสื้อผ้าผู้หญิง หลังจากนั้นจึงเรียกเจ้าของร้านมา “เจ้ามานี่สิ ช่วยข้าหยิบตัวนี้ ตัวนี้ และก็ตัวนั้นลงมาให้น้องสาวข้าที”
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพียงลองคิดๆ ไปโดยไม่ทำอะไร ตอนนี้อยู่ในหมู่บ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าขอทาน งั้นเธอก็เปลี่ยนกลับเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงซะ จะเป็นไรไปเล่า?
“หยิบชุดสีแดงชุดนั้นลงมาให้ข้าที!” เธอพูดกับเจ้าของร้านที่อยู่ข้างๆ กัน
“ได้ขอรับๆๆ” เจ้าของร้านทั้งมองไม่ออกและนึกไม่ถึงเลยว่าขอทานน้อยเช่นนี้จะเป็นคุณหนูสาว แต่เขาก็ยังรีบหยิบชุดกระโปรงสีแดงนั้นลงมา
“ท่านมีผ้าคลุมหน้าหรือไม่? หาผ้าคลุมหน้าสีแดงมาให้ข้าอีกสักสองสามผืนนะ” เธอพูดพลางก็ยังเลือกให้กวนสีหลิ่นอีกหลายชุด ถึงจะหยิบเงินออกมา “คิดเงิน”
“เสียวจิ่ว เจ้าไม่เปลี่ยนชุดรึ?”
เธอยิ้มๆ แล้วพูดว่า “ท่านได้เปลี่ยนชุดใหม่ก็พอ เสื้อข้าตัวนี้ไม่ฉีกไม่ขาด แค่สกปรกนิดหน่อย รอหาโรงเตี๊ยมสักที่อาบน้ำค่อยเปลี่ยน ไม่งั้นพอสวมชุดใหม่คงไม่สบายตัวนัก”
“อืม นั่นก็ถูก” เขาพยักหน้า ถึงจะออกไปหาห้องโรงเตี๊ยมที่ใกล้ๆ นี้กับเธอ
“เสียวจิ่ว เจ้าเข้าไปอาบน้ำก่อนเลย พี่เฝ้าประตูแทนเจ้าเอง” ที่นอกห้องพัก กวนสีหลิ่นก้าวเท้าไป เขากะจะอยู่ที่ด้านนอกอย่างเช่นเทพเฝ้าประตู
พอเห็นท่าทางนั้นของเขา เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ไม่ต้องหรอก ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมนะ แค่ปิดประตูห้องไว้ก็พอ ไหนเลยจะต้องให้ท่านมาช่วยข้าเฝ้าประตูด้วย ท่านเองก็ไปอาบน้ำเถอะ! ท้องข้ากำลังหิว! เดี๋ยวพวกเราออกไปหาอะไรกินนะ” ขณะที่พูด เธอก็ผลักเขาไปที่ห้องข้างๆ
ได้ยินเธอบอกหิว กวนสีหลิ่นจึงยอมความอย่างจำใจ “งั้นก็ดี เจ้าอย่าลืมปิดประตูดีๆ ข้าอาบน้ำเสร็จแล้ว จะมารอเจ้าตรงนี้นะ”
“อืม” เธอขานรับ ถึงจะหันตัวเข้าไปห้องข้างๆ เธอปิดประตูลง และเดินเข้าไปในห้องที่มีน้ำเตรียมไว้แล้วอย่างดี
อาจเพราะได้เป็นพี่คนครั้งแรก กวนสีหลิ่นถึงดูแลปกป้องเฟิ่งจิ่วอย่างใกล้ชิดนัก โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง เขาก็ยิ่งเป็นแบบนี้ หลังจากอาบน้ำอย่างเร่งรีบ สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เขาก็ออกจากห้องมาเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องข้างๆ มันช่างดึงดูดสายตาพินิจมองแปลกๆ จากแขกผู้เข้าพักที่สัญจรไปมาได้ไม่น้อยเลย
เฟิ่งจิ่วใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานโข เวลาประมาณครึ่งชั่วยามเต็มๆ ประตูห้องถึงจะเปิดออกจากด้านใน
ขณะที่กวนสีหลิ่นได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านหลังจึงหันไปมอง สองตาเขาเบิกกว้างโตอย่างอดไม่ได้ ในดวงตาเขามีความตกตะลึง และมีความเหลือเชื่อฉายชัดอยู่บนใบหน้า
“เสียว เสี่ยวจิ่ว?”
“อืม” เฟิ่งจิ่วขานรับ มุมปากเธอยกขึ้นน้อยๆ ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดง จนเป็นรอยยิ้มที่ผลิบานอยู่บนริมฝีปาก
ถึงแม้ใบหน้าจะเสียโฉม แต่เธอมีรูปร่างดีมาก สัดส่วนโค้งมนปราดเปรียวอ่อนช้อยกับชุดกระโปรงสีแดงแพรวพราวแพร่งพราย ราวกับแสงอาทิตย์สุดระยับจับตา งดงามเสียจนไม่อาจมองได้ตรงๆ
และใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง ช่างเป็นผ้าคลุมหน้าที่ยิ่งเสริมเติมชั้นความลึกลับให้แก่เธอ ทำให้ทั้งร่างเธอมีความรู้สึกน่าพิศวงกระจายอยู่ ดึงดูดให้ผู้คนต่างคันหัวจิตหัวใจ จนอยากจะเชยชมใบหน้างดงาม แต่กลับไม่อาจเหลือบมองใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้นได้
ชุดสีแดงสวมอยู่บนร่างเธอ ช่างทรงเสน่ห์น่ามอง และเป็นการโพนทะนาถึงความเอาแต่ใจ โดยเฉพาะกลิ่นอายแสนเย่อหยิ่งราวกับเหมยแดงกลางหิมะที่กระจายอยู่บนร่างเธอ ไม่บอบบางเหมือนหญิงสาวชาววัง แต่กลับเป็นกลิ่นอายอันทรงเกียรติที่มักจะเกิดมาพร้อมผู้เหนือกว่า
เมื่อเห็นสาวงามชุดแดงตรงหน้า กวนสีหลิ่นก็พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน รู้สึกแค่ว่าน้องสาวตัวน้อยของเขางดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ…
พอเห็นเส้นผมอ่อนนุ่มสีหมึกที่สยายไปด้านหลัง ใช้เพียงสายริบบิ้นสีแดงผูกไว้หลวมๆ บริเวณข้างแก้มมีเส้นผมสองเส้นลู่ลงมา ยิ่งเสริมให้เธอสวยงามชวนมอง ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นที่ปรากฏอยู่เบื้องนอกผ้าคลุมหน้าสีแดงกำลังหรี่ลงยิ้มครึ่งหนึ่ง หว่างคิ้วเธอมีความมั่นใจและเปิดเผยกระจายออกมา…
ตัวเธอแบบนี้ ทำให้เขายากที่จะคิดจริงๆ ว่าเธอกับขอทานน้อยเนื้อตัวสกปรกคนก่อนหน้าเป็นคนคนเดียวกัน
“เสี่ยวจิ่ว เจ้างดงามมาก เทพธิดายังงามไม่เท่าเจ้าเลย เหอะๆๆ…”
ปากเขาฉีกยิ้มซื่อ พอคิดว่าสาวน้อยที่หน้าตางดงามเช่นนี้เป็นน้องสาวเขา ทันใดนั้นในใจเขาก็มีความรู้สึกภูมิใจอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ผุดขึ้นมา
“ไปกันเถอะ!” เธอยิ้มอยู่เบาๆ พอเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าผู้หญิง เธอก็อารมณ์ดีไม่เลวเลย ก่อนจะขยับก้าวเดินลงไปด้านล่างตึก
“อ้อ ได้ๆ”
เขารีบตามไป เหมือนคิดอะไรขึ้นได้จึงมองไปรอบๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นเหล่าผู้ชายทั้งบนตึกล่างตึกต่างจ้องมองน้องสาวเขาอย่างตะลึงในความงาม
เห็นเช่นนี้ ขณะที่ในใจกำลังภาคภูมิ เขาก็แอบตั้งมั่น ว่าต้องช่วยเสียวจิ่วกำจัดรอยแผลบนใบหน้าให้จงได้
จนกระทั่งทั้งสองออกจากโรงเตี๊ยม คนในโรงเตี๊ยมถึงจะได้สติกลับมา
“งามมาก… คุณหนูผู้นั้นเป็นใครกัน? ในหมู่บ้านพวกเรามีสาวงามเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
และในร้านอาหารตรงข้ามโรงเตี๊ยม พอมู่หรงอี้เซวียนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเห็นเงาร่างสีแดงนั้น ในตาเขาก็มีแววของความกังขา
ทำไมแผ่นหลังนั้นช่างคุ้นตาเช่นนี้?
…………………………………………………….
ตอนที่ 56 นางผู้นั้นคือใคร?
เพราะความสงสัยในใจ เขาจึงก้าวลงจากตึก และมองหาตามเงาร่างสีแดงนั้นไป…
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่น ทั้งสองคนออกหาร้านอาหาร จองห้องอาหารส่วนตัวไว้หนึ่งห้อง พวกเขาสั่งอาหารมาหลายสิบอย่างกับเหล้าอีกสองไห หลังจากประตูปิด พวกเขาก็เริ่มกิน
เฟิ่งจิ่วที่วางผ้าคลุมหน้าไว้อีกด้าน เธอรินเหล้าไป พลางก็พูดว่า “ท่านพี่ พวกเราพักอยู่ที่นี่สักระยะเถอะ! รอหาเช่าเรือนที่สงบเงียบสักหน่อย ต้องสะดวกดีกว่าพักโรงเตี๊ยมแน่”
“ดี เดี๋ยวพวกเราไปหากัน” เกี่ยวกับเรื่องนี้ กวนสีหลิ่นไร้ซึ่งความแปลกใจโดยสิ้นเชิง
“เสียวจิ่ว เจ้าอย่าเพิ่งดื่มเหล้าจนหมด ดื่มน้ำซุปตุ๋นก่อนสิ” เขาตักซุปให้เธอชามหนึ่ง แล้วยังช่วยเธอใช้ช้อนตักเนื้อผัดไข่ให้ “ลองชิมสิว่าอร่อยหรือไม่”
“ท่านกินเถอะ! ข้าจัดการเองก็พอแล้ว”
ขณะที่พูด ก็เห็นเขาลองใช้มือขวาได้ไม่ค่อยชินนัก ตะเกียบก็จับไม่ถนัด เธอจึงคีบอาหารแต่ละจานลงในชามเขาไปบ้าง พลางพูดว่า “รอให้ผ่านไปสักพัก จนข้าพัฒนาวรยุทธ์สูงขึ้น ค่อยรวบรวมยามาช่วยท่านรักษาแขนขวานะ”
พอได้ยินเช่นนี้ เขาก็นิ่งไปเล็กน้อย “ยังรักษาได้รึ?”
“อืม แค่ของที่ต้องการไม่ได้หาเจอง่ายนัก” เธอซดน้ำซุปในชาม แล้วคีบอาหารขึ้นมากินบ้าง “แต่ไม่มีปัญหาหรอก ข้ามีความมั่นใจเต็มร้อย ว่าจะสามารถทำให้แขนเจ้าฟื้นคืนเหมือนเดิมได้”
ด้วยฝีมือการรักษาของเธอ ขอแค่รวบรวมยาครบหมด ก็ไม่มีโรคใดที่รักษาไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงแค่เส้นเอ็นหัวไหล่ที่โดนกัดขาด ทั่วทั้งแขนที่โดนกัด เธอก็ทำให้กลับมาอีกครั้งได้
แม้เขาจะไม่เศร้าใจที่เสียแขน แต่พอได้ยินเธอบอกว่ารักษาได้ ในใจเขาก็ยังคงระรื่นอยู่บ้าง “เสียวจิ่ว หากรักษาแขนข้าให้หายดีได้ อีกหน่อยข้าจะขยันฝึกฝนวิชาไว้ปกป้องเจ้า”
“ก็ดี”
เธอพยักหน้ายิ้มๆ รู้ดีว่าพละกำลังเขาไม่ได้ด้อยเลย เขาสามารถต่อกรกับหมาป่าทั้งฝูงกับเสือด้วยกำลังตัวเองคนเดียว แต่พอคิดดูถึงรู้ ว่าภายใต้สถานการณ์จนตรอกเช่นนี้ พลังปะทุของเขาจะแข็งแกร่งมาก
และเธอก็เชื่อว่าอนาคตเขาจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่!
พอลงจากตึก มู่หรงอี้เซวียนก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะชั้นหนึ่ง ดวงตาที่หลับลงมีความครุ่นคิด
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงตามเข้ามาได้ และยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวเองมองสาวน้อยชุดแดงผู้นั้นเป็นชิงเกอไปได้อย่างไร? แต่ก่อนหน้านี้ที่เหลือบมองอยู่ชั้นหนึ่ง แผ่นหลังนางช่างคล้ายคลึงมากจริงๆ
แต่เขาที่ตามนางมาตลอดทาง ตอนนี้กลับไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก เพราะนิสัยท่าทางของทั้งสองไม่เหมือนกัน
ชิงเกอสุภาพอ่อนโยน ทว่าสาวน้อยชุดแดงเปิดเผยเอาแต่ใจ เรือนร่างของนางที่สวมชุดสีแดงแวววาวเช่นนั้น แม้ชิงเกอของเขาจะโดดเด่นมากเช่นกัน แต่เดิมทีนางไม่ใช่คนแบบนั้น หนำซ้ำไม่เคยสวมชุดแดงด้วย
เขาสงสัยว่าชิงเกอผู้นั้นที่กลับไปแล้วเป็นคนอื่นปลอมแปลงมาได้อย่างไรกัน? ในทุกการเคลื่อนไหวและทุกรอยยิ้มที่คุ้นเคย เห็นชัดๆ เลยว่าเป็นนาง!
ทว่าในใจเขากลับมีเสียงหนึ่งกำลังตั้งคำถาม ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
เนิ่นนานนัก ขณะที่ประตูห้องอาหารชั้นบนเปิดออก เงาร่างสีแดงนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง สายตาแต่ละคู่ของเหล่าลูกค้าทั่วทั้งร้านที่ต่างตกตะลึงในความงามก็จับจ้องที่นางอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ผ้าคลุมหน้าที่พลิ้วไหวไปตามย่างก้าวของนาง ทำให้พวกเขาอดใจรอพายุลมแรงให้พัดพาผ้าคลุมหน้าเปิดออกแทบไม่ไหว
มู่หรงอี้เซวียนเปรยตามองไป เพียงเห็นสาวน้อยชุดแดงผู้มีท่าทางโดดเด่นเป็นที่สุดเดินก้าวนวยนาดลงมา ทุกย่างก้าวของนางล้วนเนิบนาบและสง่างาม ชุดแดงดั่งเปลวเพลิง ราวกับแสงแดดร้อนแรง แต่กลายเป็นว่าบนร่างนางกลับมีกลิ่นอายเย็นชาที่ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้กระจายอยู่ ระหว่างที่นางยกมือขยับเท้า กลิ่นอายสูงศักดิ์ของผู้เหนือกว่าก็กระจายออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังสำรวจมองเธออยู่ เฟิ่งจิ่วก็ชายตามองไปตามสัญชาตญาณ ขณะที่ดวงตาสองคู่ประสานกัน ประกายแสงในดวงตานั้นไม่อาจมีผู้ใดเข้าใจได้เลย…
…………………………………………………….