ตอนที่ 57 มองยิ้มกลับ!
เมื่อเห็นมู่หรงอี้เซวียน เฟิ่งจิ่วก็นึกไม่ถึงเล็กน้อย ที่บังเอิญมาพบเขาที่นี่
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ที่มีคนตามหลังพวกเขามา เธอก็รู้สึกได้ เพียงแต่ไม่สัมผัสถึงจิตมุ่งร้าย ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ใส่ใจอะไร พอคิดดูแล้วคนที่สะกดรอยตามก็คือเขาสินะ
แต่ว่า เขาอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเกอตัวปลอมไม่ใช่รึ? ทำไมมาโผล่ที่นี่ได้?
ยังมีแววตาพินิจมองของเขาอีก มันหมายความว่าอะไร?
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า เธอผุดรอยยิ้มขี้เล่นออกมา แล้วดึงสายตากลับเบาๆ ก่อนจะขยับก้าวเดินไปด้านนอก ทว่าแค่เดินไม่กี่ก้าว เขาที่เดิมเคยนั่งอยู่ก็กลับลุกมาขวางอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอไม่พูดอะไร แค่ลองเปรยตามองเขา
มู่หรงอี้เซวียนเองก็ไม่ปริปาก เขายืนอยู่เบื้องหน้า และมองสองดวงตานางไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้น ราวกับอยากจะค้นหาซึ่งความคุ้นเคยเช่นวันวานจากดวงตาของนาง
แม้ดวงตาคู่นั้นจะคล้ายเธอมาก แต่แววตาดื้อดึงอย่างเปิดเผยกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอมี
ดวงตาคู่นี้งดงามเช่นนั้น เหมือนกับคนในดวงใจเขา แต่แววตาชิงเกอของเขามีความอ่อนโยน ทว่าดวงตาตรงหน้าคู่นี้กลับมีความดุร้ายแอบซ่อนไว้ เป็นสองกลิ่นอายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
“หมอนี่ เจ้าทำอะไรน่ะ?”
กวนสีหลิ่นเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยถูกต้องนัก จึงเหยียบก้าวเท้าออกไป ร่างกายล่ำสันขวางอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนทั้งแบบนั้น ขัดจังหวะการประจันหน้าของพวกเขา
มู่หรงอี้เซวียนได้สติกลับมา เขามองที่ชายหนุ่มผู้มีร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้า ก่อนจะผุดรอยยิ้มสง่างาม “พี่ชายท่านนี้ ข้าแค่เห็นว่าคุณหนูดูคล้ายๆ เพื่อนข้าคนหนึ่ง จึงอยากจะเอ่ยปากทักทาย”
อาจเพราะกลิ่นอายความมีชาติตระกูลบนร่างและความสุภาพของเขาทำให้กวนสีหลิ่นคิดว่าเขาไม่เหมือนคนไม่ดี ด้วยเหตุนี้ เขาที่สงสัยอยู่น้อยๆ จึงหันกลับไปมองคนด้านหลัง
“คุณหนู ดอกท้อในอารามสวนท้อจะบานในเดือนสาม”
เขามองเธออย่างนิ่งเงียบ สายตาเขาอ่อนละมุนน่าลุ่มหลงจนเหมือนจะจมอยู่ในน้ำได้ และคำพูดแปลกๆ ก็ทำให้กวนสีหลิ่นไม่ค่อยเข้าใจอยู่นิดหน่อย และไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
มีเพียงเฟิ่งจิ่วที่ใจสั่นน้อยๆ ในความทรงจำเธอมีภาพอันอบอุ่นเช่นนั้นอยู่…
‘พี่มู่หรง ได้ยินมาว่าดอกท้อในอารามสวนท้อนั้นสวยงามที่สุด สีแดงขาวสลับตัดสะท้อนกัน ดาษดาทั้งทั่วเนินเขาท้องทุ่ง จริงหรือไม่เจ้าคะ?’ ใต้ต้นดอกท้อ สาวน้อยรูปโฉมงดงามเงยศีรษะขึ้นน้อยๆ เธอมองชายหนุ่มชุดขาวข้างกายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง
ในดวงตาชายหนุ่มชุดขาวคือความอ่อนโยนที่ทำให้คนหลงใหล เขายกมือขึ้นโอบสาวน้อยข้างกาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อืม ดอกท้อในอารามสวนท้อมองไปไร้ที่สิ้นสุด เพียงลมพานพัด กลีบดอกชมพูล้วนปลิวว่อนทั่วท้องฟ้าดั่งสายฝนดอกไม้ รอเดือนสามปีนี้ ดอกท้อบาสะพรั่ง พี่จะพาเจ้าไปดู”
รอเดือนสามปีนี้ ดอกท้อบานสะพรั่ง พี่จะพาเจ้าไปดู…
ดวงตาเธอที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งฉายแววหวาดผวา พลันในใจทั้งเศร้าโศกและเจ็บปวด เธอรู้ ว่านั่นคือความรักใคร่คิดถึงของเฟิ่งชิงเกอคนเดิมที่มีต่อมู่หรงอี้เซวียน
คนก็อยู่ตรงหน้า คำพูดราวกับเพิ่งได้ยินเมื่อวาน แต่เธอคนนั้นกลับจางหายไปจากโลกนี้แล้ว…
มู่หรงอี้เซวียนกังวลใจเล็กน้อย สายตาอันลึกซึ้งจับจ้องดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งของเธอ อยากจะมองให้ออกถึงท่าทีที่แปลกไป
“ดอกท้อในอารามสวนท้อบานเดือนสาม ข้าจะพาน้องสาวข้าไปดูเอง ไหนเลยต้องให้เจ้ามาเตือน?”
กวนสีหลิ่นที่ไม่รู้ความหมายของคำพูดนั้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เขาจูงมือเฟิ่งจิ่วเดินก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก พลางเตือนสติว่า “น้องหญิง พวกเราอย่าไปสนใจเจ้าหน้าอ่อนนั่นเลย หมอนั่นแค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายนักรัก ยังมีดอกท้อบานเดือนสามอีก ข้าว่าเขาคิดจะเกี้ยวพาเจ้าแน่ๆ”
“ฮะๆ!”
พอได้ยินคำพูดเขา เฟิ่งจิ่วก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เธอชำเลืองมองกลับไปด้วยสายตาที่ยิ้มอยู่น้อยๆ…
…………………………………………………….
ตอนที่ 58 จวนภูตในห้วงมิติ!
มู่หรงอี้เซวียนเห็นเฟิ่งชิงเกอเป็นคนที่ผูกพันรักใคร่ ส่วนเฟิ่งจิ่วกลับเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง…
เรื่องที่เธอต้องทำพึ่งพาได้แค่ตัวเอง เกรงว่าเขาผู้นี้จะเป็นหนึ่งในคนที่เฟิ่งชิงเกอเชื่อใจมาก เธอก็คงไม่บอกกล่าวเขาถึงสถานการณ์ตอนนี้
ช่วยคนอื่น จนแล้วจนรอดก็ไม่สู้ช่วยตัวเอง
มู่หรงอี้เซวียนมองเงาร่างที่จากไปของทั้งสองอย่างตกตะลึกเล็กน้อย
น้องสาว?
ชายผู้นั้นบอกว่าเธอคือน้องสาวเขา? งั้นเธอก็ไม่ใช่ชิงเกอ?
พลันหัวใจเขาเหมือนจะว่างเปล่า หดหู่น้อยๆ และยินดีอยู่บ้าง ทั้งหมดนี้ อาจเป็นเพียงเพราะเขาคิดมากไป…
ถึงอย่างไร ความกังขาของเขาก็น่าเหลือเชื่อ ถ้าเรื่องที่สงสัยอยู่เป็นความจริง นั่นเท่ากับบอกว่าเฟิ่งชิงเกอที่กลับไปจวนตระกูลเฟิ่งตอนนี้เป็นตัวปลอมน่ะสิ? ต่อให้ในใจเขาจะเคลือบแคลงไปบ้าง รู้สึกว่าเธอไม่ใช่ แต่ท่านพ่อท่านปูของเธอ หรือว่าพวกเขาก็ยังจำผิดคนรึ?
อาจเป็นเพราะ ทั้งหมดนี้เขาแค่ระแวงไป
อีกด้านหนึ่ง กวนสีหลิ่นกับเฟิ่งจิ่วดูเรือนมาหลายที่ จนสุดท้ายก็ถูกตาต้องใจเรือนที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่งเข้า ทำเลออกจะห่างไกล แต่กินขาดเรื่องความสงบ และสภาพแวดล้อมก็ไม่เลว
วันนั้น พอจัดหาซื้อพวกสิ่งของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ทั้งสองจึงย้ายเข้าไปอยู่
หลังจากอธิบายความกับกวนสีหลิ่น เธอก็เข้าสู่การฝึกวิชาในรูปแบบการนั่งสมาธิ…
ตลอดสามวันติดต่อกัน ประตูที่ปิดแน่นล้วนไม่เคยได้เปิดออก
ส่วนกวนสีหลิ่นที่เฝ้ายามอยู่ในเรือนก็ฝึกฝนการใช้ดาบด้วยมือซ้ายมาตลอดในเวลาสามวันนี้
ความสามารถเดิมของเขาไม่เลวเลย พลังปะทุเขาก็แข็งแกร่ง จากมือซ้ายที่เดิมทีฝีมือตกไม่ได้เรื่องได้ราว จนตอนนี้ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แม้จะไม่กระฉับกระเฉงเท่ามือขวา แต่ความแข็งแรงก็ค่อยๆ ใช้ได้ขึ้นมาบ้าง
ส่วนในห้อง เฟิ่งจิ่วที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง สองมือเธอวางนิ่งอยู่บนเข่าสองข้าง รอบกายมีพลังเร้นลับสีแดงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายอยู่ พลังเร้นลับบนร่างเธอหมุนวนเร็วมากทีเดียว แทบพูดได้เลยว่าพลังเร้นลับกำลังเข้าสู่จุดรวมพลังตรงกลางหว่างคิ้วอย่างรวดเร็ว และมันก็ค่อยๆ รวมกลุ่มเข้าด้วยกัน
ผู้ฝึกวิชาขั้นต้น จะก้าวเข้าระดับนักรบ ต้องฝึกฝนกันหลายปีถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุไปถึงพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นของระดับนักรบ
สำหรับเฟิ่งชิงเกอคนเดิม พละกำลังเก่าก่อนก็แค่วรยุทธ์ระดับนักรบขั้นสอง แต่ตอนนี้เธอใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามวัน จุดรวมพลังก็บรรลุไปบ้างแล้ว ซ้ำยังเข้าถึงพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นได้อย่างมั่นคง พละกำลังเองก็พัฒนาขึ้น
ต้องรู้ไว้ ว่าพลังเร้นลับระดับนักรบ แม้จะเล็กน้อยก็มีความแข็งแกร่ง สำหรับคนเช่นชายวัยกลางคนระดับปรมาจารย์นักรบที่เธอเคยพบในป่าเก้าหมอบก่อนหน้านี้ พละกำลังเขานั้นเทียบเท่ากับเสาหลักประจำตระกูล
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็เป็นแค่ปรมาจารย์นักรบผู้มีพลังเร้นลับขั้นกลาง
วันนั้น เขาที่มีพลังเร้นลับขั้นกลางของระดับปรมาจารย์นักรบก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจุดรวมพลังของเธอที่ฝึกฝนออกมาในวันนี้ ซ้ำยังเข้าถึงระดับนักรบที่มีพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นที่สองแล้วซะด้วย
ขณะที่เธอถอนหายใจเบาๆ และลืมตาขึ้นช้าๆ ในหัวเธอก็มีเสียงประหลาดใจของหงส์ไฟน้อยดังลอยมา
“เจ้าผู้หญิงโง่ ข้าทำลายชั้นอาคมด้านในห้วงมิตินี้แล้ว เจ้าเข้ามาลองดูเร็ว!”
ในดวงตาฉายแววแปลกใจ เธอใช้ดวงจิตแวบตัวเข้าไปในห้วงมิติ พอเข้ามา เธอก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“นี่คือ…”
“เป็นอย่างไรล่ะ? ข้าเคยบอกไว้ไง ว่าพละกำลังของข้านั้นร้ายกาจมาก? เขตอาคมที่ตาแก่นั่นไม่ได้ทำลาย ข้าจัดการให้แล้ว”
หงส์ไฟน้อยมองเธออย่างได้ใจ ก่อนจะพูดอีกว่า “ก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีโชคดีอะไรนัก ถึงได้มาพบกับโลกในห้วงมิติที่หาเจอได้น้อยยิ่งเช่นนี้ มาฝึกวิชาในนี้สิ หนึ่งวันด้านนอกเทียบเท่ากับเวลาสามวันของด้านในนี้เลยนะ”
พอได้ยินเช่นนั้น เธอก็รู้สึกว่ามันช่างน่าเหลือเชื่อ เพราะตั้งแต่เข้ามาเธอก็สังเกตุเห็นแล้ว ว่าหลังจากชั้นอาคมที่เคยขวางกั้นไว้ถูกทำลาย พลังวิญญาณด้านในนี้ก็คละคลุ้งอย่างมาก
…………………………………………………….