ตอนที่ 79 ฉายาภูตหมอ!
“ข้ากลับมาแล้ว”
เฟิ่งจิ่วในลานบ้านเปรยตาขึ้นมองไป เห็นเขากลับมาอย่างหัวเสีย จึงยิ้มถามอย่างอดไม่ได้ “เป็นอย่างไร? ใครแกล้งท่านรึ?”
“ข้าไปบ้านตระกูลเคอมา” เขาเดินไปนั่งลงตรงโต๊ะ แล้วรินน้ำใส่แก้ว
“ไปบ้านตระกูลเคอ?” เธอมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “ข้านึกว่าท่านกลับไปบ้านตระกูลกวนเสียอีก!”
“ข้าไม่กลับไปบ้านตระกูลกวนหรอก รอสามเดือนให้หลังค่อยกลับไป! สามเดือนนี้ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนวิชา!”
ได้ยินเช่นนี้ เธอกะพริบตาอย่างตกใจน้อยๆ “ไฉนพอออกไปก็มีความกระตือรือร้นมากถึงเพียงนี้เล่า?”
เขานำคำพูดของคนตระกูลเคอมาบอกกล่าวกับนาง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้ว ในเมื่อพวกเขาอย่างแต่งงานนัก ก็ให้สมใจเสียให้พอ! ยังไงซะ รอถึงงานคัดเลือกของตระกูลในอีกสามเดือนให้หลัง ข้าจะโค่นล้มกวนสีหร่วนลงได้แน่! ให้พวกเขาได้รู้ ว่าข้ากวนสีหลิ่นไม่ใช่คนที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ!”
จะต้องทำให้พวกเขาเสียใจ ไม่เพียงแต่ตระกูลเคอ ยังมีพวกผู้ใหญ่แห่งบ้านตระกูลกวน พวกเขาแต่ละคนล้วนคิดว่าเขาไม่อาจทัดเทียมกวนสีหร่วน ทว่าเขาจะพิสูจน์ให้เห็นแน่นอน ว่ากวนสีหร่วนต่างหากที่สู้เขาไม่ได้!
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า “อืม ข้าเห็นด้วย ข้ากำลังจะให้เหลิ่งซวงไปตลาดมืด ในเวลาสามเดือน ข้าจะทำให้แขนท่านฟื้นคืนกลับมาดังเดิม”
เขาอบอุ่นขึ้นในใจ จึงพูดอย่างเผยรอยยิ้มออกมา “เสียวจิ่ว ขอบคุณนะ”
“ท่านเป็นพี่ชายข้า ยังต้องขอบคุณอะไรอีกเล่า? ดีล่ะ ท่านกลับห้องไปฝึกวิชาเถอะ! ในขณะที่แขนยังไม่หาย ฝึกวิชาพลังภายในให้ดีเสียก่อน พอถึงเวลาก็จะเสียแรงน้อยแต่ได้ผลมากยิ่ง”
“ได้สิ งั้นข้ากลับห้องก่อนนะ” เขาลุกยืนขึ้น ถึงจะเดินเข้าไปในห้อง
วันต่อมา ทั้งสงบเงียบและวุ่นวาย กวนสีหลิ่นยุ่งอยู่กับการฝึกฝนพลังภายใน ส่วนเฟิ่งจิ่วก็วุ่นอยู่กับการฝึกวิชา ปรับปรุงตัวยา เพราะวันคืนที่ยุ่งยาก เวลาจึงผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
ระหว่างที่ไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็อยู่เมืองอวิ๋นเยวี่ยมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว
หนำซ้ำ ด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนยาที่ต้องการก็รวบรวมมาครบ ใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนครึ่ง เธอจึงรักษาแขนพี่ชายจนหายดี
เวลาสองเดือนนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเธอในเมืองอวิ๋นเยวี่ยค่อยๆ แพร่สะพัดไป โดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด เพราะต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยไปตลาดมืดก็ยังรู้ ว่าในเมืองอวิ๋นเยวี่ยมีภูตหมออยู่ท่านหนึ่ง ไม่เพียงมีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยม ซ้ำยังชำนาญเรื่องการยา
เป็นดั่งเทพมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ได้ยินเพียงชื่อเสียงภูตหมอ แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตา
ทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ย หากจะมีคนที่รู้ว่าท่านภูตหมอคือใคร? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นผู้ดูแลตลาดมืด ทว่า ตลาดมืดก็มีอำนาจที่ไม่ธรรมดาอยู่ อิทธิพลของตลาดมืดแพร่กระจายไปหลายแว่นแคว้น ต่อให้เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นแสงสุริยันก็ไม่มีอาจง้างปากคนที่ตลาดมืดให้บอกตัวตนของภูตหมอได้
กองกำลังไม่น้อยต่างมาขอเข้าพบด้วยความเลื่อมใส น่าเสียดาย…ที่ถูกปฏิเสธ ขนาดเจ้าผู้ครองแคว้นแสงสุริยันมาด้วยตัวเอง ก็ยังไม่อาจได้พบหน้าภูตหมอ
เพราะแบบนี้เอง ตัวตนของภูตหมอจึงยิ่งลึกลับ และยิ่งทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น
เช้าตรู่ในลานบ้าน
เฟิ่งจิ่วกำลังสอนเหลิ่งหวาน้องชายเหลิ่งซวงรำไทเก๊ก ก็ได้ยินเสียงที่มีความระรื่นอยู่บางส่วนของกวนสีหลิ่นดังลอยมาแต่ไกล
“เสียวจิ่ว ดอกท้อในอารามสวนท้อบานแล้ว เจ้าบอกว่าอยากไปชมไม่ใช่หรือ? วันนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง!”
เฟิ่งจิ่วค่อยๆ ดึงหมัดกลับ ถอนหายใจออกเบาๆ แล้วบอกกับเหลิ่งหวาว่า “เจ้าฝึกต่อไปนะ”
ถึงจะหันมองกวนสีหลิ่น กล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าให้เหลิ่งซวงไปเตรียมตัว ประเดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่ว่า เหอะๆ ท่านไม่ต้องไปหรอก”
พอได้ยินว่าไม่ให้เขาไป ก็ร้อนรนเล็กน้อย “ทำไมข้าจะไปไม่ได้? จะให้เจ้ากับเหลิ่งซวงไปกันสองคนได้อย่างไร? หากเจอปัญหาอะไรเข้า จะทำเช่นไรเล่า?”
…………………………………………………….
ตอนที่ 80 ดอกท้อบานเดือนสาม!
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ บอกว่า “ทำไมล่ะ? ฝีมือเหลิ่งซวง ท่านก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ นอกจากนี้ อย่าลืมสิ ว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังท่านต้องโค่นกวนสีหร่วนต่อหน้าฝูงชนตระกูลกวน หากไม่ฝึกให้มากๆ จะทำได้เช่นไรเล่า?”
น้ำเสียงเธอชะงักน้อยๆ กล่าวอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่าทิวทัศน์ของอารามสวนท้อนั้นไม่เลวเลย ข้ากะจะพักอยู่ที่นั่นสักสองสามวันแล้วค่อยกลับมานะ!”
“พักอยู่สองสามวัน?”
เขานิ่งงันไป เอ่ยว่า “ทว่าที่อารามสวนท้อไม่ให้คนพักค้างแรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ให้คนพักค้างแรม แต่ว่า… ท่านดูสิว่านี่คืออะไร?” เธอหยิบของจากในห้วงมิติมาชูอยู่เบื้องหน้าเขา
พอกวนสีหลิ่นรับมาดู ก็อุทานพลางเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ “โฉนดที่ดิน? โฉนดที่ดินของอารามสวนท้อรึ? เจ้า เจ้าได้มาได้ยังไงกัน?”
“เมื่อเดือนก่อนมีคนมาขอพบข้าที่ตลาดมืด เดิมทีข้าไม่อยากสนใจ แต่พอเห็นว่าค่าตอบแทนคืออารามสวนท้อจึงรับมา ดังนั้น จากนี้ไปที่แห่งนี้ล้วนเป็นของพวกเราแล้ว”
เธอยิ้ม ก่อนจะเก็บโฉนดที่ดินไป กล่าวอีกว่า “อาศัยที่ช่วงนี้มีเวลาว่างพอดี ข้าเลยจะไปดูเสียหน่อย หนึ่งเพื่อชมดอกท้อ สองเพื่อลองดูสถานที่ หากรู้สึกว่ามันใช้ได้จริงๆ อีกหน่อยก็ค่อยใช้เป็นที่ปักหลักของภูตหมอ”
กวนสีหลิ่นดวงตาเป็นประกาย เอ่ยว่า “ดอกท้อของอารามสวนท้อเป็นผืนกว้างใหญ่ รอบนอกล้วนปลูกล้อมด้วยดอกท้อหลากสี แต่ชื่อของมัน ถึงจะเรียกว่าอารามสวนท้อ ทว่าที่จริงกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัดวาอารามเลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยมองจากที่ไกลๆ อยู่ครั้งหนึ่ง เห็นศาลาด้านในงดงามยิ่งนัก หนำซ้ำได้ยินมาว่า ส่วนด้านในที่ไม่ให้คนเข้าไปนั้นเป็นเหล่าดอกท้อที่ย้ายมาปลูกจากต่างถิ่น เบ่งบานตลอดทั้งปี สวยงามเกินบรรยาย”
ได้ฟังเช่นนี้ เฟิ่งจิ่งจึงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างหยอกล้อว่า “ท่านพี่ ท่านช่างรู้ดีเสียจริง!”
กวนสีหลิ่นเกาศีรษะ ยิ้มอย่างเขินอาย “เมื่อก่อนข้าเคยไปกับพวกเพื่อนฝูงมาครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้เรื่องอยู่บ้าง”
ขณะที่พูด ก็เห็นว่านางยังยิ้มจ้องเขาอยู่ จึงโบกมือรัวอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าไปเถอะ! ข้าไม่ตามไปแล้ว รอคราหน้าข้าค่อยไปด้วย”
“อืม รอจัดการด้านนั้นเรียบร้อย ท่านกับเหลิ่งหวาค่อยไปก็ยังไม่สาย” เธอพยักหน้า แล้วมองไปยังเหลิ่งหวาที่ฝึกรำไทเก๊กอยู่ด้านหลัง บอกว่า “เจ้ามานี่สิ”
หลังจากเหลิ่งหวาเก็บมือกลับ ก็ถอนหายใจออกเบาๆ ถึงจะเร่งฝีเท้าก้าวมาข้างกายนาง
“ขอรับ นายท่าน”
ตั้งแต่ฟื้นมา ร่างกายก็ดีขึ้นทุกวันๆ เขาที่เมื่อก่อนแค่เดินไม่กี่ก้าวยังรู้สึกลำบาก ตอนนี้ยังมาฝึกรำไทเก๊กกับนายท่านได้
ถึงแม้จะคิดว่าการรำไทเก๊กที่อ่อนพลิ้วนี้หาได้มีประโยชน์อะไร แต่ในเมื่อนายท่านบอกว่ามันเป็นผลดีต่อร่างกาย ดังนั้น จึงยอมฝึกฝนตาม
พอเห็นหนุ่มน้อยที่ชุบเลี้ยงมาสองเดือนอ้วนขึ้นบ้าง เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มๆ สั่งว่า “ข้าจะไปอารามสวนท้อกับพี่สาวเจ้า เจ้าอยู่ดูแลรักษาตัวให้ดีต่อไป ยังมีอีก จับตาดูพี่ชายข้าด้วย ดูว่าเขาจะเกียจคร้านหรือไม่”
เหลิ่งหวามองไปทางกวนสีหลิ่นที่ข้างกาย ก่อนจะพยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “ขอรับ ข้าจะจับตาดูคุณชายไว้”
“ไหนเลยต้องให้เขามาจับตาดูข้า? เจ้าเด็กคนนี้แค่ดูแลตัวเองได้ก็ไม่เลวแล้ว” กวนสีหลิ่นกระซิบเสียงเบา
เฟิ่งจิ่วไม่สนใจ เอ่ยต่อไปอีกว่า “อีกอย่างนะ รำไทเก๊กต้องฝึกทั้งเช้าเย็น”
“ได้ขอรับ” เขาขานรับอีกครั้ง
เวลานี้ เหลิ่งซวงในชุดแนบเนื้อสีดำเดินเข้ามา เห็นพวกเขาต่างอยู่ในลานบ้าน ก็มาที่ข้างกายเฟิ่งจิ่ว บอกว่า “นายท่าน เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยไป” เธอพูดพลางเดินไปที่ห้อง
เหลิ่งซวงถึงจะมองน้องชายด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่บ้าง กำชับด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าจะตามนายท่านออกไปข้างนอก เจ้าอยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
เหลิ่งหวาพยักหน้า กล่าวอย่างไม่วางใจนัก “ท่านพี่ ท่านก็ต้องอารักขานายท่านให้ดี อย่าให้คนอื่นมารังแกได้”
…………………………………………………….