ตอนที่ 81 ชิงเกอแห่งจวนตระกูลเฟิ่ง!
กวนสีหลิ่นที่ได้ยินคำพูดนั้นก็พยักหน้า กล่าวย้ำอีกว่า “อืม ไม่เลว จำต้องดูแลให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่ให้พวกบ้ากามเข้าใกล้เสียวจิ่ว”
กล่าวอย่างยิ่งคิดก็ยิ่งไม่วางใจ “อันที่จริงข้าควรตามไปด้วยถึงจะถูก” น่าเสียดาย เสียวจิ่วไม่ให้ตามไป หนำซ้ำเขาต้องอยู่ฝึกวิชาที่บ้าน
เหลิ่งซวงเห็นท่าทางเขากังวลไม่มีสิ้นสุด จึงบอกว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าจะคอยอารักขานายท่านเองเจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูด ก็กำชับกับเหลิ่งหวาอีกไม่กี่ประโยค ถึงจะเดินไปรอเฟิ่งจิ่วออกมาที่ประตู
ไม่นานนัก เฟิ่งจิ่วที่เปลี่ยนสวมชุดแดงก็สาวก้าวเดินออกมา แล้วเดินไปด้านนอกกับเหลิ่งซวง หลังจากขึ้นนั่งบนรถม้า เธอก็เอ่ยกับทั้งสองคนที่มาส่งถึงประตู “เราจะไปกันแล้ว พวกเจ้ากลับไปเถอะ!”
“เดินทางระวังตัวด้วย”
กวนสีหลิ่นบอก จริงๆ แล้ว จากที่นี่ไปถึงอารามสวนท้อ นั่งรถม้าไปก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม เขากลับพูดเหมือนพวกนางจะไปกันไกลมาก ถึงได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นแม่เฒ่าแก่ๆ
เฟิ่งจิ่วปล่อยม่านรถลง เหลิ่งซวงที่นั่งอยู่ด้านนอกถึงจะสั่งให้คนควบม้าเคลื่อนรถออกไปยังอารามสวนท้อ
และในขณะเดียวกันนี้ ที่จวนตระกูลเฟิ่ง เรือนสาวจันทรา
“เกอเอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยหรือยัง? อี้เซวียนรอเจ้าอยู่ด้านนอกนานแล้ว”
ท่านแม่ทัพใหญ่เฟิ่งผู้มีร่างกายกำยำสวมชุดสีดำกำลังเดินกระทืบเท้าไปมาอยู่ด้านนอก หันมองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นประตูเปิดออก ขณะที่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเดินออกมา จึงรีบร้อนเดินเข้าไป
“จะให้พ่อพูดอย่างไรกับเจ้าดีเล่า? ตั้งแต่รั่วอวิ๋นจากไป ข้างกายเจ้าแม้แต่สาวใช้สักคนก็ไม่มี ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็ทำเองจนเหมือนอะไรไปเสียแล้ว? เจ้าเป็นลูกสาวข้าเฟิ่งเซียว จะต้องมีข้ารับใช้คอยปรนนิบัติเจ้าตามที่ถูกที่ควร โดยที่เจ้าไม่ต้องทำอะไร เจ้าฟังพ่อนะ วันหลังค่อยหาสาวใช้สักคนมาคอยติดตาม หากไม่ได้จริงๆ พ่อจะคัดจากในพวกองครักษ์ออกมาให้เจ้าสักคน”
แววตาเฟิ่งชิงเกอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าอันงามเลิศมีความตำหนิติเตียน ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือเขาไว้
“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้กังวลเลย นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าจัดการเองได้เจ้าค่ะ นอกจากนี้ ข้าเป็นถึงลูกสาวของท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกร หากจะให้คนข้างกายคอยลงแรงดูแลเสียทุกเรื่อง คนจะไม่พูดว่าข้าอ่อนแออ้อนแอ้นไม่เหมาะสมรึเจ้าคะ?”
พอเฟิ่งเซียวได้ยิน คิ้วดาบหนาก็เลิกขึ้นมาทันใด ดวงตาพยัคฆ์จับจ้อง เอ่ยว่า “ใครกล้าพูด? หากมีใครกล้าพูด พ่อจะต้องสั่งสอนมันเสียหน่อย!”
น้ำเสียงชะงักลง เขากล่าวอีกว่า “เดิมทีลูกสาวต้องได้รับการเอาอกเอาใจ ยิ่งไปกว่านั้น พ่อก็มีลูกสาวสุดที่รักเช่นเจ้าเพียงคนเดียว หากไม่รักไม่หลงเจ้า แล้วจะให้ไปรักไปหลงใครเล่า?”
“เอาล่ะๆ! เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ไปห้องรับรองกันเถอะเจ้าค่ะ อย่าให้พี่มู่หรงต้องรอนาน” นางดึงเขาเดินไปที่ห้องรับรอง
“เจ้ารู้นี่ว่าทำให้เขารอนาน? งั้นวันหลังก็รีบๆ หาสาวใช้ซะ เรื่องพวกนี้หากมีคนคอยช่วยเจ้าทำ จะประหยัดเวลาได้ไม่น้อยเลย”
เขาตักเตือนไปพลางๆ ถึงแม้คำพูดหยาบกระด้างและใบหน้าขึงขัง แต่แววตากลับตามใจไปเสียหมด
“ก็ได้ๆๆ ข้าจะเชื่อฟังท่าน วันหลังค่อยหา จะหามาแน่ๆ เจ้าค่ะ” นางตอบรับรัวๆ
เฟิ่งเซียวถึงจะพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วผุดรอยยิ้มออกมา “เช่นนี้ก็ยังดี”
ในห้องรับรอง มู่หรงอี้เซวียนที่ถือถ้วยชาอยู่กำลังมองน้ำชาในถ้วยอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ช่วงนี้ในหัวมักจะนึกถึงสาวน้อยชุดแดงที่พบกันในหมู่บ้านป่าหินครั้งนั้น
หาใช่เหตุอื่นใดไม่ เป็นเพียงเพราะความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้
พอเขาสงสัยว่าชิงเกอจะถูกคนสลับตัว กลับพบว่าบางเรื่องที่พวกเขารู้กันแค่สองคน นางก็ล้วนรู้เรื่องดี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าช่วงนี้เขาคิดมากไปเองรึ?
…………………………………………………….
ตอนที่ 82 ปิดเขาสามวัน!
ขณะที่กำลังคิด ก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังลอยมาจากด้านนอก เขาเปรยตามองไป จึงเห็นนางจูงเฟิ่งเซียวเดินมา
ความสนิทสนมระหว่างพ่อลูกคือเรื่องปกติ ทั้งท่าทางและความใกล้ชิดก็หาได้แปลกปลอม ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นตัวปลอมจริง เฟิ่งเซียวที่เป็นถึงพ่อ กับคนที่รักที่สุด จะมองไม่ออกได้อย่างไรเล่า?
อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ สำหรับเฟิ่งเซียว เฟิ่งชิงเกอคือลูกสาวของเขา เป็นคนที่เขารักมากที่สุด ต่อให้จะสงสัยใคร ก็คงไม่ไปสงสัยลูกสาวตัวเองแน่
แม้รู้สึกว่านางแตกต่างจากก่อนหน้านี้นิดหน่อย ก็คงคิดไม่ถึงว่าลูกสาวตัวเองจะถูกคนสวมรอยแทนที่ เพราะเรื่องเช่นนั้น มันเหลือเชื่อเกินไป
อีกอย่าง ลูกสาวเขา มองยังไงก็ดีไปเสียหมด ไม่ว่านางจะทำอะไร จะเปลี่ยนไปเช่นไร ในสายตาและหัวใจ ก็เป็นลูกสาวเขา ซ้ำยิ่งไม่ควรถูกเคลือบแคลง
“ท่านพี่มู่หรงเจ้าคะ!”
เฟิ่งชิงเกอผละมือที่จูงเฟิ่งเซียวไว้ออก วิ่งเบาๆ มาที่ข้างกายเขา แล้วมองด้วยแววตาอิ่มเอมที่มีความรักใคร่ “ท่านพี่รอนานไหมเจ้าคะ?”
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ วางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะลุกยืนขึ้น เผยรอยยิ้มจางๆ ที่สง่างามออกมา “ไม่หรอก พี่เพิ่งมาได้ไม่นาน”
เขามองเฟิ่งเซียวที่เดินเข้ามา จึงโค้งคารวะและเรียกท่าน “ท่านอาเซียว”
ในบ้านตระกูลเฟิ่ง เขาหาใช่ท่านอ๋องสามไม่ แต่เป็นว่าที่ลูกเขยในอนาคตของตระกูลเฟิ่ง เป็นมู่หรงอี้เซวียนที่พวกเขาเห็นกันมาแต่เล็กจนเติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ที่ถูกต้องคือผู้น้อยต้องให้การคารวะ
“ฮ่าๆ อี้เซวียนเอ้ย! ยากนักที่เจ้าจะมีเวลาพาแม่หนูนี่ออกไป มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อนนาง ข้าก็วางใจลงบ้าง”
เฟิ่งเซียวหัวเราะร่า เอ่ยว่า “อารามสวนท้อห่างจากที่นี่ต้องเดินทางสองชั่วยาม แม่หนูนี่เสียเวลาไปนานขนาดนี้ก็สายเสียแล้ว พวกเจ้ารีบออกเดินทางหน่อยเถอะ! อย่าไปถึงที่นั่นตอนเที่ยงเลย”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ไปด้วยกันจริงๆ รึเจ้าคะ? ยังไงซะท่านก็อยู่บ้านว่างๆ ออกไปด้วยกันดีกว่านะเจ้าคะ! ข้าจะได้ชมดอกท้อและทิวทัศน์ของอารามสวนท้อกับท่านด้วยพอดี!” นางกอดแขนเฟิ่งเซียวเขย่าเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งเซียวก็หัวเราะลั่น “ฮะๆๆ ไม่ได้ๆ มีอี้เซวียนไปกับเจ้า พ่อไปก็เกะกะเปล่าๆ พวกเจ้าสองคนไปเที่ยวเล่นกันดีๆ ไม่ต้องรีบกลับมาล่ะ”
เขามองที่มู่หรงอี้เซวียน กล่าวว่า “อี้เซวียน แม่หนูคนนี้ รบกวนเจ้าดูแลให้ดีๆ นะ”
กับว่าที่ลูกเขยคนนี้ เขายิ่งมองก็ยิ่งพอใจ สองคนนี้รู้จักกันมาแต่เด็ก ต่างรักใคร่ใจตรงกัน ตอนนี้แค่รอเลือกฤกษ์งามยามดีเพื่อจัดการเรื่องแต่งงานเสีย
“ท่านอาเซียวโปรดวางใจ ข้าจะดูแลชิงเกออย่างดีขอรับ”
เขามองเฟิ่งชิงเกอที่ใบหน้าเหนียมอาย บนริมฝีปากผุดรอยยิ้มออกมา และเก็บซ่อนความแปลกประหลาดในใจไป
เฟิ่งเซียวส่งทั้งสองขึ้นรถม้า หลังจากเห็นรถม้าเคลื่อนออกไปไกล ถึงจะเดินเข้าไปด้านในจวนตระกูลเฟิ่ง
อีกด้านหนึ่ง ที่อารามสวนท้อ
เฟิ่งจิ่วที่เดินตามถนนเส้นเล็กมาถึงด้านในอารามสวนท้อ ยิ่งมองทัศนียภาพด้านในนี้ก็ยิ่งพอใจนัก หากใช้สถานที่เช่นนี้มาเป็นที่พำนัก ถือว่าดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงเหมาะกับการฝึกฝนวิชา ซ้ำยังเหมาะกับการขัดเกลาจิตใจ
อารามสวนท้อตั้งอยู่ในป่าเขาทางทิศใต้ของเมืองอวิ๋นเยวี่ย ทั่วผืนป่าเขาล้วนเต็มไปด้วยดอกท้อหลากสี ที่ไม่อาจมองเห็นปลายทาง
ซ้ำอารามสวนท้อก็อยู่ในส่วนลึกของป่าต้นท้อ เป็นสถานที่งดงามราวสรวงสวรรค์ แต่ไม่อนุญาตให้คนนอกเหยียบย่างเข้ามา
ถึงอย่างงั้น เวลาเดือนสามของทุกปีที่ดอกท้อเบ่งบาน ก็ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวมาชมดอกไม้ที่ภูเขาท้อได้ไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังอยากลักลอบเข้ามาที่อารามสวนท้อในส่วนลึกของป่าต้นท้ออีก และตอนนี้ อารามสวนท้อก็ตกอยู่ในมือเธอแล้ว
หลังจากเดินชมรอบๆ เธอก็หยุดฝีเท้าลง “เหลิ่งซวง เหยียนเหล่าที่ตลาดมือไม่ได้คัดกององครักษ์ตลาดมืดมารึ? เจ้าออกคำสั่งไป ให้พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงตีนเขา แล้วปิดเขาไว้สามวัน”
…………………………………………………….