ตอนที่ 83 ความกังวลในใจ!
“เจ้าค่ะ”
ไม่มีคำถาม และไม่คิดสงสัย หลังจากเหลิ่งซวงขานรับอย่างนอบน้อม ถึงจะเดินกลับไป เพื่อนำข่าวคราวไปส่งให้กององครักษ์ตลาดมืด
หลังจากกององครักษ์ได้รับคำสั่ง ก็ดำเนินการในทันที เพราะเป็นคำสั่งของเหยียนเหล่า ว่าต้องเชื่อฟังคำสั่งของคนผู้นั้นโดยไม่มีข้อแม้ จะไม่เคารพก็ไม่ได้
เมื่อออกคำสั่งปิดภูเขาไป พวกนักท่องเที่ยวบนเขาที่มาชมดอกไม้ก็ต้องถูกขับไล่กันออกไปเป็นปกติ อันที่จริงอารามสวนท้อเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ผู้เป็นเจ้าของต้องยินยอมให้พวกเขาเข้าไปชมดอกไม้ในป่าต้นท้อเท่านั้น หากไม่ยอม พวกเขาก็ทำได้เพียงจากไป
เพราะเวลายังเช้าอยู่ ในป่าต้นท้อมีคนไม่มาก ดังนั้น จึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ไล่พวกนักท่องเที่ยวออกจากอาณาเขตอารามสวนท้อได้หมด
และเวลานี้เอง เฟิ่งจิ่วที่อยู่ในอารามสวนท้อก็เดินมาถึงศาลา เห็นชายชราชุดเทากำลังกวาดพื้นอยู่ในลานบ้าน เธอหยุดฝีเท้าลง ถามว่า “ข้ารับใช้ที่นี่ต่างไปกันหมดแล้ว ทำไมท่านยังอยู่อีกเล่า?”
ชายชราชุดเทาจับไม้กวาดหันตัวกลับมา มองเงาร่างสีแดงที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นดอกท้อในสวน กล่าวว่า “กวาดพื้นอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปี จึงไม่อยากตัดใจจากไปเสียแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็ผุดรอยยิ้มออกมา สายตาจับจ้องบนร่างชายชราชุดเทา ดวงตาเป็นประกายที่มีความนัยไม่ชัดเจน “ในเมื่อไม่อาจตัดใจลาจาก งั้นก็อยู่ต่อไปเถอะ!”
ชายชราชุดเทานิ่งงัน มองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะกวาดพื้นต่อไป โดยไม่ปริปากอีก
เฟิ่งจิ่วหันตัวจากไปอย่างไม่สนใจนัก และหลังจากนางจากไป ชายชราชุดเทาก็หยุดมือลง หันมองตามทิศทางที่นางจากไปแวบหนึ่ง แล้วดึงสายตากลับมากวาดพื้นต่อ
ขณะที่มู่หรงอี้เซวียนมาถึงอารามสวนท้อพร้อมกับเฟิ่งชิงเกอ ถึงรู้ว่าเจ้าของใหม่ของอารามสวนท้อได้สั่งปิดภูเขาไว้สามวัน
เห็นเช่นนี้ เขาจึงมองที่เฟิ่งชิงเกอข้างกาย เอ่ยว่า “พวกเรามาไม่ถูกเวลา ภูเขาถูกปิดสามวัน ทำได้เพียงมาอีกครั้งในอีกสามวันให้หลัง”
เพราะภูเขาปิด นางจึงไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ “อีกสามวันให้หลังท่านพี่ยังจะมากับข้าหรือไม่เจ้าคะ? หากถึงเวลานั้นแล้วท่านบอกว่าไม่ว่างจะทำเช่นไร?”
ได้ฟังนางพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่หรอก ในเมื่อพี่รับปากเจ้า ก็ต้องทำให้ได้”
“ไม่ได้นะ ไหนๆ มาแล้ว แม้จะเข้าไปที่ภูเขาไม่ได้ งั้นพวกเราก็เดินวนรอบๆ ดีไหมเจ้าคะ?” ระหว่างพูด นางก็กอดแขนเขาไว้ กล่าวว่า “ท่านพี่มู่หรง ท่านลองไปเดินกับข้าเถอะเจ้าค่ะ!”
“ก็ได้” เขาพยักหน้า ถึงจะตอบรับไป
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งชิงเกอช่างเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก จึงพูดอย่างชอบใจว่า “ท่านพี่มู่หรง ท่านช่างดีเสียจริง!”
มู่หรงอี้เซวียนยิ้มๆ ไม่พูดอะไรมาก เพียงเดินก้าวช้าๆ ไปกับนาง เพื่อเชยชมทิวทัศน์ภูเขา
อาจเพราะรู้สึกถึงความเย็นชาของเขา เฟิ่งชิงเกอจึงกังวลใจน้อยๆ ฝีเท้าพลันหยุดลง แล้วมองคนข้างกาย กัดริมฝีปากลงเบาๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ท่านพี่มู่หรง ท่านพี่ไม่ชอบข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
มู่หรงอี้เซวียนประหลาดใจเล็กน้อย “ไยจึงพูดเช่นนี้เล่า?”
“ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าท่านคล้ายจะเมินเฉยข้า และไม่ชอบอยู่ด้วยกันกับข้านัก” นางมองเขาแวบหนึ่ง ก็หลุบตาลงน้อยๆ “เมื่อก่อน ท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้ ท่านไม่ชอบข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าเด็กโง่ จะเป็นไปได้อย่างไร” เขายิ้มพลางลูบศีรษะนาง “ข้าแค่กังวลใจเท่านั้นเอง”
“หา?” นางเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย
มู่หรงอี้เซวียนยิ้ม กล่าวว่า “สัตว์เทวะในตำนานปรากฏตัว ทว่าถึงเวลานี้ก็ยังไม่ได้ข่าวว่าใครเป็นผู้ครอบครอง ตอนนั้นยังนำพาผู้แกร่งกล้าจากต่างแคว้นมา เรื่องนี้ สำหรับเชื้อพระวงศ์ถือเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงนี้ข้าจึงกังวลใจนัก อารมณ์ก็ตึงเครียดไปบ้าง ถึงได้ทำเจ้าคิดฟุ้งซ่าน”
…………………………………………………….
ตอนที่ 84 เวิ้งสวนท้อ!
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งชิงเกอถึงจะวางใจลงได้ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ท่านก็อย่าคิดเรื่องอื่นเลยเจ้าค่ะ ทิวทัศน์ภูเขาท้อสวยงามขนาดนี้ จะได้ผ่อนคลายกันพอดี”
“อืม” เขายิ้มขานรับ แล้วเดินไปตามทางเส้นเล็กในภูเขากับนาง
เวลาสามวัน ก็เพียงพอให้เฟิ่งจิ่วปรับปรุงอารามสวนท้อไปได้บ้าง
เธอเปลี่ยนจาก ‘อารามสวนท้อ’ มาเป็น ‘เวิ้งสวนท้อ’ ส่วนด้านในเวิ้งสวนท้อก็วางค่ายกลกระบี่ที่ร่ำเรียนมาไว้ เพื่อแยกด้านในกับด้านนอกออกจากกัน เช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนนอกจะหลงเข้ามาในเวิ้งสวนท้อ และมารบกวนความสงบ
ป่าต้นท้อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมกันได้ แต่เธอกำหนดไว้ข้อหนึ่ง ว่าถ้าจะเข้าป่าต้นท้อต้องเสียเงิน
ด้านในเวิ้งสวนท้อไม่มีใครอื่น นอกจากเฟิ่งจิ่วกับเหลิ่งซวง ก็มีแค่ชายชราที่กวาดพื้นท่านนั้น บริเวณรอบๆ ภูเขาท้อถูกล้อมเข้ามา เหลือเพียงทางเข้าออกเดียว ที่คอยเฝ้าเก็บเงินอยู่ตรงปากภูเขาก็เป็นองครักษ์ที่คัดมาจากตลาดมืด
สามวันให้หลัง ขณะที่นักท่องเที่ยวไม่น้อยมาเยือนภูเขาท้อกันอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าเข้าไปป่าต้นท้อต้องเสียเงิน คนมากมายจึงมีสีหน้าตกตะลึง
“เข้าภูเขาไปชมดอกไม้ยังต้องเสียเงินรึ? นี่มันกฎอะไรกัน?”
“จริงด้วย แต่ก่อนพวกเรามาก็ไม่ต้องเสีย ป่าต้นท้อผืนใหญ่โตขนาดนี้ไม่ได้เปิดไว้หรอกรึ? ไยต้องเสียเงินด้วยเล่า?”
บางคนก็จ้ององครักษ์สองสามนายที่เฝ้าอยู่ทางเข้าออกกันตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ คิดว่าที่พวกเขาเรียกเก็บเงินช่างเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลสิ้นดี และไม่อาจจะรับได้
บางคนก็แสดงท่าทีเข้าใจ ที่จริงป่าต้นท้อเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล พวกเขาจะเข้าไปเที่ยวเล่นในพื้นที่ส่วนบุคคล ต้องจ่ายเงินก็สมเหตุสมผลดี ใช้ใจแลกใจ หากที่นี่เป็นบ้านของพวกเขา คงไม่ให้คนที่อยากเข้ามาเที่ยวหรือชมทิวทัศน์ เข้ามาได้โดยไม่มีเหตุผลหรอก
องครักษ์ก็คงไม่ใจดีอธิบายเหตุผลให้ทุกคนฟัง หนึ่งในองครักษ์กวาดตามองผู้คนที่กำลังโห่ร้อง กล่าวด้วยเสียงทุ้มเข้มว่า “อยากเข้าไปต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่ยอมจ่ายก็ไปอยู่ข้างๆ ซะ!”
คนพวกนั้นถูกพูดเสียขนาดนี้ จะไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่ยอมเสียเงินเป็นธรรมดา เช่นนั้น จึงล้วงเงินออกมาทั้งใบหน้าแดงก่ำ ถึงจะเข้าป่าต้นท้อไปอย่างขุ่นเคือง
เฟิ่งชิงเกอที่อยู่ไม่ไกลจูงมือมู่หรงอี้เซวียนไว้ พอเห็นภาพตรงหน้านั้น ก็พูดด้วยความสงสัยเล็กน้อย “อารามสวนท้อเปลี่ยนเจ้าของเสียแล้วรึ? ไหนบอกว่าที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล จึงไม่ขายไม่ใช่หรือ? ผู้ใดมีความสามารถขนาดนั้น ถึงสามารถซื้อที่นี่ได้?”
ทว่าสายตามู่หรงอี้เซวียนกลับจับจ้องไปบนอักษรที่ดูโอหังเอาแต่ใจ เขียนไว้ว่า ‘เวิ้งสวนท้อ’ ดวงตาเป็นประกายน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยชมอย่างอดไม่ได้ “เขียนได้ดี!”
ตัวอักษรปราดเปรียวเรียบง่าย มีพลังที่ช่างรุนแรงเอาแต่ใจ ลำพังเห็นแค่ตัวอักษร ก็รู้ได้ว่าคนผู้นั้นต้องเป็นคนที่เอาแต่ใจและรักอิสระ พอคิดดู คนที่เขียนคำเวิ้งสวนท้อนี้ คือเจ้าของคนใหม่ของเวิ้งสวนท้อนี้เป็นแน่
หนำซ้ำ ตามข่าวเหมือนจะบอกว่า เจ้าของคนใหม่ของเวิ้งสวนท้อเป็นภูตหมอผู้ลึกลับที่ช่วงนี้ได้ยินกันเพียงชื่อเสียงแต่กลับไม่มีใครเคยเห็น
ได้ฟังคำชมที่จริงใจ เฟิ่งชิงเกอก็มองตามสายตาเขาไป จึงเห็นว่าอักษรเวิ้งสวนท้อนั้นช่างมีชีวิตชีวา โอหัง และเอาแต่ใจเสียจริง แม้นางจะไม่ชำนาญด้านอักษรก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าอักษรเหล่านั้นเขียนได้ดีมาก
“พวกเราไปกันเถอะ!”
มู่หรงอี้เซวียนยิ้มน้อยๆ พลางพูดกับเฟิ่งชิงเกอข้างกาย เดิมทีในใจไม่ได้รู้สึกอะไรกับการชมดอกไม้ แต่เวลานี้กลับยิ่งเพิ่มความสนใจขึ้นมาบ้าง
“อืม” เฟิ่งชิงเกอขานรับ แล้วเดินหน้าตามไปข้างกาย
ที่เรือนเล็กๆ ด้านในเวิ้งสวนท้อ เฟิ่งจิ่วกำลังนั่งชงชาชมดอกไม้อยู่ใต้ต้นดอกท้อต้นหนึ่ง ส่วนเหลิ่งซวงก็ยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล
เมื่อสายลมแผ่วพัดมา กลีบดอกไม้สีแดงขาวก็ร่วงโรย…
…………………………………………………….