ตอนที่ 85 ใจเต้นโครมคราม!
“เหลิ่งซวง”
“เจ้าคะ นายท่าน” เหลิ่งซวงที่ด้านหลังเดินเข้ามา
“เจ้ากลับไป บอกพี่ชายข้า รอเมื่อเขากลับไปงานคัดเลือกที่ตระกูลกวน ข้าค่อยกลับไป ให้เขาอย่าได้ฟุ้งซ่าน ตั้งใจฝึกฝนวิชา เหลิ่งหวาก็อยู่เป็นเพื่อนเขาที่นั่นก่อน ถึงเวลาค่อยมาพร้อมๆ กัน!”
“เจ้าค่ะ”
นางขานรับแล้ว แต่กลับยังไม่ก้าวไป ลังเลอยู่สักพัก จึงเอ่ยถาม “นายท่าน หากข้ากลับไป ข้างกายท่านก็ไม่มีคนคอยอารักขาสิเจ้าคะ?”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มเบาๆ อย่างอดไม่ได้ เลิกคิ้วมองนางอย่างหยอกล้อ “นี่เจ้าเห็นนายเจ้าเป็นคนอ่อนแอผอมบางเสียจนต้องมีคนคอยอารักขาอย่างใกล้ชิดเลยรึ?”
ไม่รอให้นางตอบ เธอก็โบกมือ พร้อมพูดเป็นสัญญาณว่า “ไปเถอะ! ที่นี่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
อยู่ที่นี่มาสามวัน เธอเข้าไปฝึกวิชาในห้วงมิติทุกคืน พละกำลังจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เก็บซ่อนวรยุทธ์ในตัวไว้ ทำให้ผู้คนไม่อาจสัมผัสถึง
อันที่จริง ตัวตนนักปรุงยาภูตหมอก็ช่างดีเด่นยิ่งนัก หากมีคนรู้ว่าพลังเธอก้าวหน้ารวดเร็วชั่วข้ามคืน จำต้องทำให้คนพวกนั้นรู้สึกโดนคุกคาม ยิ่งไปกว่านั้น ในห้วงมิติยังมีสัตว์เทวะในตำนาน แม้ตอนนี้ยังเป็นแค่วัยเด็กน้อย ก็ให้ใครเห็นไม่ได้
พอเหลิ่งซวงออกไป เฟิ่งจิ่วก็ร่างกายเหนื่อยหน่ายขึ้นนิดหน่อย เหยียบย่างฝีเท้าเบาหวิวเดินออกจากเรือนเล็กในสวนท้อ
เธอที่สวมชุดแดงไม่ได้แต่งกายชุดชายชาตรี เส้นผมที่ปล่อยสยายใช้ริบบิ้นแดงผูกไว้หลวมๆ ไม่สวมรองเท้า กระโปรงแดงพลิ้วไหวจึงไม่อาจบดบังเท้าเล็กขาวราวหิมะเนียนประณีตคู่นั้นได้
เธอเหยียบไปเบาๆ บนเส้นทางหินเรียบราบที่คดเคี้ยวทีละก้าวๆ นิ้วเท้าละเอียดอ่อนที่ทาน้ำมันทาเล็บสีแดงน่าเย้ายวนโผล่พ้นออกมาจากกระโปรงแดงทีละน้อย ขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เดินมาไกลแล้ว ได้ยินเสียงพิณหวานหูที่ดังลอยมาจากด้านนอกอยู่แว่วๆ
“หืม?”
สายตาเธอหันไปน้อยๆ ในดวงตาฉายแววแปลกใจ จากนั้นจึงหยิบผ้าคลุมหน้าในแขนเสื้อออกมาปิดใบหน้าไว้ ปลายเท้าแตะเบาๆ ก่อนจะพุ่งตัวไปอยู่กลางเหล่าดอกท้อราวกับภูตพรายท่ามกลางดอกไม้ ไม่ทันไรก็ออกจากค่ายวงกตไป
เงาร่างสีแดงกระโดดขึ้นนั่งอยู่บนกิ่งต้นท้อที่กำลังผลิบานงดงาม สองขาขาวเนียนประณีตลู่ห้อยลงกลางอากาศพลางกวัดแกว่งไปมา ท่าทางสบายตัวมากอย่างเห็นได้ชัด
เธอเอนพิงกิ่งท้อด้านหลังอย่างเกียจคร้าน แล้วยื่นมือไปหักกิ่งต้นท้อลงมาเล่น ฟังเสียงพิณเอื้อยแอ้วที่ดังลอยมาไม่ไกล มุมปากใต้ผ้าคลุมก็ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
หนึ่งเพลงทำนองธิดาลั่วเฉิน เงียบสงบสง่างาม ราวไข่มุกร่วงลงจานหยก เอื้อยแอ้วใสแจ๋ว ซ้ำคล้ายสายธารกลางภูเขา ยามรีบยามช้า ต่างค่อยไหลยาวไป…
เพลงกู่เจิงเลื่องชื่อเช่นนี้ เธอไม่คิดเลยว่าโลกเทพเซียนที่น่าอัศจรรย์นี้จะมีด้วย
“ซูรั่วอวิ๋นเอ๋ย ซูรั่วอวิ๋น เจ้าว่าข้ายังไม่ทันไปหาเจ้า แล้วไฉนจึงวิ่งแจ้นมาเบื้องหน้าข้าหลายครั้งหลายครานักเล่า?”
เธอพึมพำเสียงเบา ดวงตางดงามที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งเป็นประกาย ภายในฉายแววยิ้มเยาะแปลกๆ ขณะที่กำลังคิดจะผุดลุกลอยตัวไปเบื้องหน้า พลันรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่ไม่อาจเพิกเฉยจับจ้องมาบนร่าง
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วเสมองออกไปยังดอกท้อ เมื่อเห็นเช่นนี้ ในแววตาจึงมีแววยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ขณะที่แสงแวววาวไหลเวียน รอยยิ้มลอยชายออกไปน้อยๆ ราวกับดวงดาวอันแพรวพราว ทำให้คนหลงมองไปโดยไม่รู้ตัว…
เป็นนาง!
มู่หรงอี้เซวียนมองนางอย่างนิ่งงัน ในดวงตามีประกายความประหม่าและประหลาดใจที่ตัวเองต่างไม่เคยรู้สึก
เขามองเงาร่างสีแดงนั้นที่นั่งอยู่กลางหมู่มวลดอกท้อราวกับภูตพราย เห็นขาเล็กขาวเนียนละเอียดอ่อนกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศอย่างซุกซน และศีรษะที่โผล่พ้นจากหลังต้นท้อ รวมถึงรอยยิ้มน้อยๆ น่าดึงดูดที่แฝงอยู่ในดวงตาที่ดูเหมือนพูดได้คู่นั้น…
เขาเพียงรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงตึกตัก ความรู้สึกแปลกประหลาดใจพร้อมทั้งใจเต้นโครมครามเอ่อล้นอยู่กลางอก มันค่อยๆ ล่องลอยออกไป หลงใหลมันเสียจนไม่อาจหักห้ามได้…
…………………………………………………….
ตอนที่ 86 ยั่วผึ้งหยอกผีเสื้อ!
“พี่มู่หรง? ท่านมาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงด้านหลัง เขาก็ได้สติกลับมา และหันมองไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ “ชิงเกอ? เจ้ามาได้ยังไงกัน?”
สิ้นสุดเสียง ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันมองไปที่ต้นดอกท้อต้นนั้น
ไม่เห็นสาวน้อยภูตพรายผู้นั้นเสียแล้ว ราวกับก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เห็นกลีบดอกไม้โดนสายลมอ่อนพัดร่วงโรยราเช่นฝนดอกไม้ชวนมอง ทว่าในใจกลับมีความอ้างว้างที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่เลือนราง…
“ท่านยังมีหน้ามาพูดอีก! เดิมข้าอยากดีดพิณให้ท่านฟัง ใครจะรู้ว่าท่านกลับวิ่งมาชมดอกไม้ตรงนี้เสียแล้ว” นางมองตามสายตาเขาไป ก็เห็นเพียงกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นตามสายลมโปรยปรายลงพื้น
“ดอกท้อตรงนี้แดงขาวตัดสลับกันน่ามองยิ่งนัก ไม่ทันรู้ตัวก็มองจนเคลิ้มเสียแล้ว” เขากล่าวอย่างอบอุ่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ ดูใจลอยเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เฟิ่งชิงเกอที่กำลังจะพูดว่าดอกท้อโดยรอบนี้ล้วนเหมือนๆ กัน พลันขยับทำท่าทาง เอ่ยถาม “ท่านพี่มู่หรง ท่านได้กลิ่นหอมอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”
“กลิ่นหอมรึ? ในอากาศล้วนมีแต่กลิ่นหอมดอกท้อ”
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ” นางส่ายหัว “เหมือนยังมีอีกกลิ่นหนึ่งเจ้าค่ะ”
ขณะกำลังพูด พลันได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังลอยมา นางหันมองไปตามเสียง เห็นเพียงฝูงผึ้งผืนใหญ่ดำตะคุ่มๆ อยู่ไม่ไกลกำลังบินมาด้านนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด จึงส่งเสียงอุทานอย่างอดไว้ไม่ได้
“ผึ้ง!”
ขณะที่มู่หรงอี้เซวียนเห็นผึ้งฝูงใหญ่นั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปน้อยๆ ไม่นานนักจึงดึงมือนางวิ่งหนี ผึ้งนับพันนับหมื่นตัวพุ่งเข้ามา และไม่ใช่ว่าแขนสองคู่ของพวกเขาจะไล่พวกมันออกไปได้
ทว่า ถึงแม้ที่นี่จะมีผึ้งมารวมกันเก็บน้ำหวาน เพียงครู่เดียวก็ไม่ควรมีผึ้งโผล่พุ่งมาหาพวกเขาตั้งมากมายขนาดนี้!
“กรี๊ด!”
เฟิ่งชิงเกอกรีดร้องเจ็บปวด เพียงรู้สึกว่ามือถูกต่อยไปทีหนึ่ง ต่อจากนั้น ผึ้งสิบกว่าตัวก็ถาโถมเข้าหาร่าง นางตกใจเสียจนต้องตบลงบนร่างตัวเองในทันที
“ไปให้พ้นนะ! รีบไปให้พ้นๆ!”
คาดไม่ถึงว่าจะเห็นพวกผึ้งที่ล้อมเข้ามารุมต่อยนางเพียงคนเดียว มู่หรงอี้เซวียนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเร่งรีบถอดเสื้อคลุมมาห่อตัวนาง แต่ไม่ทันได้แตะตัว ก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พลันนางตบลงบนร่างตัวเอง แล้ววิ่งออกไปหลายก้าวเพื่อหลบหนีผึ้งพวกนั้นที่ไล่ตามมา
“พี่มู่หรง! ท่านพี่มู่หรงมีผึ้งหลายตัวต่อยข้าเจ้าค่ะ กรี๊ด!”
นางตะโกนพลางวิ่ง ส่วนผึ้งพวกนั้นก็ตามหลังไปติดๆ โดยเฉพาะเมื่อวิ่งพรวดผ่านตรงด้านหน้าที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ นักท่องเที่ยวต่างตื่นตกใจ กุมหัวลงหมอบส่งเสียงกรีดร้อง กลับพบว่าผึ้งพวกนั้นไล่ตามแค่เฟิ่งชิงเกอคนเดียว
“นางไปโดนของอะไรเข้าหรือไม่? ไยจึงดึงดูดผึ้งมามากมายขนาดนี้ได้?”
“เมื่อครู่ที่นางวิ่งผ่านมาตรงนี้ บนตัวมีกลิ่นหอม อาจจะประโคมผงหอมมากเกินไปกระมัง”
“ถูกผึ้งตอมมากมายขนาดนั้น เดาว่าใบหน้าคงได้บวมเหมือนหัวหมูแน่”
นักท่องเที่ยวรอบๆ ไม่ว่าชายหรือหญิงต่างนิ่งดูดายมองเฟิ่งชิงเกอวิ่งไปทั่วป่าต้นท้อ ผู้หญิงบางพวกยังมองนางด้วยสายตาที่ขำขันในความโชคร้ายนี้
ผู้คนมองฝูงผึ้งด้านหลังที่ไล่ตามอยู่ไม่ลดละ พวกมันบินไปต่อยหน้าอย่างรวดเร็วในชั่วขณะ นำมาซึ่งเสียงกรีดร้องของนาง เมื่อนึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดบนร่างตัวเอง ร่างกายก็ตึงเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“กรี๊ด! พี่มู่หรง…พี่มู่หรงช่วยข้าด้วย…”
ทว่ามู่หรงอี้เซวียนในตอนนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ในตอนแรกจึงยังทำอะไรไม่ถูก
พอนึกขึ้นได้ว่าผึ้งกลัวไฟ ระหว่างที่เร่งรีบหยิบกระบอกจุดไฟออกมากะจะใช้ไฟไล่ กลับเห็นนางกรีดร้องพลางวิ่งออกไปไกลร้อยเมตร ก่อนจะโดดตู้มลงในสระน้ำที่ไว้สาดรดต้นท้อ…
…………………………………………………….