ตอนที่ 99 คิดไม่ซื่อ!
“พี่สาม!”
ผู้อาวุโสสองอุทานเสียงสั่น เห็นผู้อาวุโสสามที่สนิทกันเช่นพี่น้องถูกปาดคอในมีดเดียว เลือดสดที่พวยพุ่งช่างทิ่มแทงหัวใจ และแผดเผาดวงตา
สองมือกำหมัดขึ้นแน่น ส่งเสียงข้อต่อดังกรอบแกรบ ความขุ่นข้องในหัวใจเดือดสุมอยู่กลางอก ราวกับลาวาร้อนระอุคล้ายจะทะลักออกมา
ผู้นำตระกูลสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสี่เหลือเพียงเขาผู้เดียว บ้านตระกูลสวี่ก็ลุกไหม้อยู่ในกองไฟ สุดท้ายคงกลายเป็นเพียงซากปรักหักพักอย่างไม่ต้องแปลกใจ ตระกูลสวี่ สูญสิ้นแล้ว…
และทั้งหมด ล้วนเกิดจากคนตรงหน้านี้!
เขาต้องฆ่านางซะ! เพียงแค่ฆ่านาง ก็จะสามารถระบายไฟโทสะอันล้นเหลือนี้! แค่ฆ่านาง ก็จะเป็นอนุสรณ์แก่คนในจวนตระกูลสวี่ทั้งหนึ่งร้อยสามสิบสี่คนนี้ได้!
“ชิ้ง!”
ลำแสงเยือกเย็นแวบผ่าน กระบี่ยาวประกายออกมาจากในแขนเสื้อ ปลายกระบี่แหลมคมเฉียงชี้ลงผิวพื้น แววตาหม่นหมองที่แฝงด้วยจิตสังหารจับจ้องถลึงมองเงาร่างสีแดงนั้น กลิ่นอายพลังเร้นลับทั่วร่างกระจายออกมาบรรจบกับไอสังหาร นั่นคือการปลุกระดมพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา เพียงเพื่อยืนหยัดสู้จนตัวตาย!
ในขณะนั้นที่เห็นผู้อาวุโสสามถูกฆ่า หัวหน้ากองพลระดับปรมาจารย์นักรบทั้งสี่ต่างเกร็งไปทั้งตัว คิดหนีตามสัญชาตญาณ ทว่า เมื่อเพิ่งจะถลาตัวออกวิ่ง เข็มเงินมากมายก็พุ่งโจมตีเข้าที่ต้นคอ ทั้งสี่เพียงส่งเสียงร้องในลำคอ ร่างกายแข็งทื่อ แล้วร่างคนก็ร่วงลงด้านล่างอย่างไร้เรี่ยวแรง และกลิ้งหล่นเข้ากองไฟ
“ซี๊ดอ๊าก! อ๊า…”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากเปลวไฟ สี่คนนั้นเกลือกกลิ้งอยู่ในเพลิงไหม้ ดิ้นรนอยากจะลุกขึ้นหนีจาก แต่สุดท้าย กลับยังคงถูกกองเพลิงกลืนกินอย่างไม่ปราณี…
“ข้าขอสาบานด้วยนามของผู้อาวุโสตระกูลสวี่! ต่อให้ตาย ก็จะลากเจ้าตามไปด้วย!”
น้ำเสียงดุร้ายเยือกเย็นของผู้อาวุโสสองดังลอยมา พลังเร้นลับพรั่งพรู ปลายกระบี่มีพลังกระบี่น่าสะพรึงกระจายออก พลังกระบี่ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าราวกับงูพิษ โจมตีมาหานางด้วยท่วงท่ารวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ความเร็วว่องไว กระบวนดาบโหดเหี้ยม มาพร้อมกับใจแน่วแน่บ้าคลั่งที่หมายมั่นให้นางตาย!
เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วไม่อาจเลินเล่อ ปล่อยพลังเร้นลับลงมีดสั้นในมือเพื่อหักล้าง ขณะที่มีดกับกระบี่ต้องกระทบกัน เสียงแกร๊งก็ดังไม่หยุดหย่อน กระแสพลังอันรุนแรงกระจายออกมาระหว่างทั้งสองคนดังอยู่ฮึมๆ
ส่วนด้านล่าง เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าที่ผู้อาวุโสสองใช้โจมตีคนผู้นั้นทั้งบ้าคลั่งและหมายเอาชีวิต แววตาชายชราชุดเทาก็มืดลงอย่างอดไม่ได้ พลางจ้องมองสองคนด้านบนด้วยใบหน้าไม่ยินดีนัก
สำหรับเขา สาวน้อยผู้นั้นยังมีประโยชน์มากนัก จะให้ถูกฆ่าตายไม่ได้
แต่ว่า หลังจากเห็นสาวน้อยสามารถผ่านกระบวนท่ามากมายภายใต้เงื้องมือผู้อาวุโสสองได้โดยไม่มีบาดแผลสักนิด แววตาที่มองก็คาดไม่ถึงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ อันที่จริง ในสายตาเขา ในเมื่อนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งค่ายกลกระบี่และวิชาการยา ในด้านวรยุทธ์การต่อสู้จำต้องไม่อาจใส่ใจ กลับไม่คิดเลย ว่าจะทำให้เขาแปลกใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่เลว ช่างน่าประหลาดนัก
เขาหลงนึกว่านางไม่มีทางตีฝ่าค่ายกลกระบี่ที่วางไว้ได้ ขอแค่เข้ามาในค่ายกล จำจะต้องติดกับดัก แต่นางกลับเดินลอยชายออกมาได้ ซ้ำยังไม่ทำให้เขาที่วางค่ายกลได้ไหวตัว แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าวรยุทธ์ค่ายกลกระบี่ยังลึกซึ้งกว่าที่จินตนาการไว้
หนำซ้ำ ก็ยิ่งแน่ใจว่าบนตัวนางต้องมีพวกตำราค่ายกลกระบี่โบราณที่เขาไม่เคยร่ำเคยเรียนอยู่แน่ๆ!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด ตำราค่ายกลกระบี่โบราณ!
นึกไม่ถึงว่าจะพบของดีๆ เช่นนั้นที่แคว้นเล็กกระจ้อยร่อยระดับเก้านี้ ในเมื่อเจอแล้ว เขาจะไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน!
รวมถึงสาวน้อยผู้นี้ เขาก็ต้องการด้วย!
แววตาบอกเป็นนัยถึงความตื่นเต้นจับจ้องอยู่บนเรือนร่างที่น่าหลงใหลยิ่ง เดาว่าภายใต้หน้ากากนั้นคงเป็นใบหน้าที่งามเพริศพริ้ง ในใจแอบวางแผนไว้ ว่าหลังจากได้ตำราค่ายกลกระบี่โบราณมา สาวน้อยที่ทั้งซุกซนและแพรวพราวผู้นี้ ต้องตกเป็นเครื่องมือฝึกฝนวิชาของเขาแน่!
…………………………………………………….
ตอนที่ 100 ปั่นป่วนทั่วสารทิศ!
“อ๊าก!”
เสียงร้องเจ็บปวดคร่ำครวญดังลอยมา เห็นเพียงกระบี่ยาวในมือผู้อาวุโสสองบนหลังคาถูกเตะกระเด็นตัดผ่านกลางอากาศร่วงหล่นลงสู่กองเพลิงเบื้องล่าง
เพราะถูกเตะไปทีหนึ่ง ง่ามระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้จึงเจ็บปวดด้านชา เหมือนว่ากระดูกข้อมือก็ถูกถีบหัก เจ็บเสียจนไม่อาจยกขึ้น ทำได้เพียงห้อยลู่ลงอย่างหมดเรี่ยวแรง สั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะมองเงาร่างสีแดงตรงหน้าด้วยใบหน้าขาวซีด
เงาร่างนั้นยิ่งดูแวววับจับตาอยู่ภายใต้เปลวไฟด้านล่างที่ช่วยเสริมให้โดดเด่น เส้นผมสีหมึกดำถูกสายลมกลางคืนพัดสยายขึ้น ราวกับมีมือคู่หนึ่งกำลังยกเส้นผมขึ้นพลิ้วไหวเบาๆ อยู่กลางค่ำคืน หน้ากากสีทองมีดอกลำโพงพราวเสน่ห์ผลิบานอยู่ ทำให้นางดูช่างลึกลับแปลกตา
บนร่างนางมีกลิ่นอายสังหารกระหายเลือดกระจายอยู่เข้มข้นนัก ถึงขั้นทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
เช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายเป็นคนอื่นทั่วไป พวกเขาเหล่าผู้อาวุโสคงไม่… แพ้พ่ายอยู่ในเงื้อมมือนาง แม้แต่ท่านผู้นำตระกูลต้องชดใช้ด้วยทั้งบ้านตระกูลสวี่ก็เพราะนาง…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ก็กัดฟันกรอด เขาดึงพลังเร้นลับในร่างปะทุขึ้นมาถึงจุดเลือดลมใต้สะดือ เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างก็คล้ายลูกหนังอัดลมที่โป่งพองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้แต่ชุดคลุมบนร่างก็ปริแตกเพราะเหตุนี้ จึงเผยให้เห็นร่างกายที่ผองแห้งมาแต่ดั้งเดิม
ทว่าเรือนร่างที่ซูบผอมตอนนี้กลับพองขยายด้วยความรวดเร็ว การโป่งพองของกระแสลม ทำให้เส้นเอ็นทั้งหมดใต้ผิวหนังปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน กลับดูเหมือนจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้
“ข้าบอกแล้วไง ต่อให้ตาย ก็จะลากเจ้าตามไปด้วย!”
ผู้อาวุโสสองแผดเสียงตะโกนด้วยความบ้าคลั่ง เส้นผมสีเทาขาวลอยขึ้นยุ่งเหยิงท่ามกลางกระแสลมที่หมุนเวียนอยู่ทั่วร่าง สองแขนอ้ากางออก ก่อนจะพุ่งไปทางเฟิ่งจิ่วตรงหน้าอย่างบ้าระห่ำ ความเร็วนั้นไวกว่าตอนที่ประมือกันก่อนหน้านี้สองเท่า
ขณะที่ชายชราชุดเทาด้านล่างเห็นว่าผู้อาวุโสสองคิดจะระเบิดตัวเองตายไปพร้อมกับหญิงสาวผู้นั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ ตะโกนอย่างลนลานว่า “เจ้าบ้าเอ๊ย! ข้าบอกแล้วไงว่าต้องการแบบมีชีวิต! แบบเป็นๆ น่ะ!”
พอก้าวเท้าไปบนพื้น เงาร่างสีเทาก็พลันยกขึ้น ความเร็วนั้นไวกว่าผู้อาวุโสสองที่ปล่อยพลังเร้นลับทั้งหมดเพื่อจะระเบิดตัวเองอยู่หลายเท่านัก
เฟิ่งจิ่วเริ่มตั้งท่าป้องกันตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสสองเผยสีหน้าอันบ้าคลั่ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นเขากะจะระเบิดพลังเร้นลับเพื่อตายไปพร้อมกับเธอ แววตาก็เผยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะทำถึงขั้นนี้เพียงเพื่อตระกูลสวี่
ทันใดนั้น เธอถอยหลังอย่างว่องไว แต่ละก้าวที่โยกย้ายเพื่อจะหลบหลีกโดยเร็วที่สุด อันที่จริง การระเบิดตัวของระดับปรมาจารย์นักรบขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย จึงไม่คิดประมาทเสียจนต้องชดใช้ด้วยชีวิตตัวเอง
แต่ว่า ในระหว่างที่ถอยหลัง เงาร่างสีเทากลับพุ่งมารวดเร็วปานภูตผี เธอถึงกับมองเงาร่างเขาได้ไม่ชัดเจนนัก ก่อนจะเห็นผู้อาวุโสสองที่กระโจนมาถูกเงาร่างชุดเทาถีบกระเด็นลอยไปบนท้องฟ้า
“อ๊าก! ข้าไม่ยอมแพ้หรอก…”
“ปัง! ครืน!”
เสียงขับข้องใจด้วยความไม่ยอมของผู้อาวุโสสองดังกึกก้องอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามวิกาล ยังไม่ทันสิ้นสุดน้ำเสียง ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังปัง ร่างกายระเบิดออกกลางอากาศ ส่งเสียงครืนดังลั่น แสงไฟที่พุ่งทะยานไปบนฟากฟ้า รวมถึงเสียงที่ดังกระหึ่ม ทำลายซึ่งความสงบกลางดึก แทบจะทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ยล้วนแตกตื่นขึ้นมาในทันใด
ในยามที่ผู้ฝึกฝนวิชาจากแต่ละที่ในเมืองอวิ๋นเยวี่ยต่างพากันพุ่งมายังสถานที่แห่งนี้ บนหลังคานั้น ชายชราชุดเทาเผชิญหน้ากับเฟิ่งจิ่ว เผยรอยยิ้มที่จริงใจ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจ้องนางราวกับมองเหยื่อด้วยประกายตื่นเต้นแปลกตาที่โลดแล่นอยู่
…………………………………………………….