ตอนที่ 139 จวนตระกูลเฟิ่งตามหาคน!
มือผอมแห้งยื่นออกไปอย่างสั่นเทาน้อยๆ อยากจะลูบเบาๆ บนแผลเป็นเหล่านั้นที่ใบหน้านาง กลับนึกไม่ถึง ยังไม่ทันแตะโดน ก็ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว
เฟิ่งจิ่วพลันตกใจตื่น ไหวตัวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าที่ตื่นขึ้นและกำลังจะยื่นมืออันสั่นเทาเล็กน้อยมา ถึงจะผ่อนคลายลง เห็นท่านผู้เฒ่ากำลังร้องไห้ไร้เสียง ก็ตะลึงไปบ้างอย่างอดไม่ได้
“ท่านปู่ ท่านร้องไห้ทำไมรึเจ้าคะ?”
เธอยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาเขา เอ่ยถาม “ไม่สบายตัวใช่หรือไม่? มา ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้นนั่งนะเจ้าคะ”
ท่าทางตื่นตัวนั้นช่างบีบรัดหัวใจท่านผู้เฒ่า นางต้องประสบพบทุกขเวทนามานานเพียงใด ถึงจะโต้ตอบอย่างระแวดระวังเช่นนี้? นางกลัวว่าจะมีอันตรายจึงไม่กล้าหลับสนิทใข่หรือไม่?
“แม่หนูเฟิ่ง… ปู่ ปู่ขอโทษด้วยนะ!”
น้ำตานองเต็มหน้า ทั้งเสียใจและเจ็บใจ หากรู้ว่าเก็บตัวแค่ไม่กี่เดินแล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่เก็บตัวฝึกวิชาเด็ดขาด
ได้ยินเช่นนี้ เธอก็ผุดรอยยิ้มออกมา ประคองเขาขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เอ่ยเสียงอ่อน “ท่านปู่ ท่านอย่าเป็นเช่นนี้เลย ตอนนี้ข้าดีมากแล้ว ดีมากจริงๆ”
เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้เขาโทษตัวเองต่อไปอีก เธอจึงถามว่า “ท่านปู่ หลังจากท่านกลับไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ? ท่านสูดยาที่มีฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวเข้าไป ซ้ำร่างกายยังถูกวางยาอีก”
“ฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวรึ?”
ท่านผู้เฒ่าเช็ดน้ำตาออกไปคิดๆ ดู กล่าวด้วยคำพูดเกลียดชัง “เป็นผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นปู่ไปในเรือนเพื่อจะจับนางมา แต่นางอาศัยที่ปู่ไม่ทันสังเกตประโคมพวกผงยาทำให้ปู่เผลอเลินเล่อสูดเข้าไป ซ้ำยังบอกว่า…”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาชะงักลง ลังเลอยู่พักหนึ่ง
“บอกว่าใบหน้าหลานถูกนางกรีดทำลายรึเจ้าคะ? ท่านปู่จึงเคืองแค้นเรื่องที่ถูกนางทรมาน?” การคาดเดาที่เธอคิดได้ก็คือเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าคงไม่หลงกลอย่างง่ายดาย
ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งพยักหน้า “ไม่ผิด ตอนนั้นปู่ได้ยินก็โกรธมาก เพียงรู้สึกมีไฟปะทุซู่ขึ้นมาในหัว ควบคุมสติไม่ได้นิดหน่อย”
ขณะที่พูด คล้ายจะนึกอะไรออก จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย “จริงด้วย ปู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าถูกขังไว้หรอกรึ?”
แม้ตอนนั้นสติจะเสียการควบคุม แต่การรับรู้ยังชัดเจนอยู่บางส่วน ทว่าเขามาถึงที่นี่ได้เช่นไร กลับไม่รู้เรื่องเลย
ฟังคำพูดนี้ เธอก็ยิ้มอ่อนโยน ในดวงตาอันหลักแหลมฉายแววท่าทางเจ้าเล่ห์ “แน่นอนว่าหลานพาท่านปู่ออกมาเองเจ้าค่ะ!”
“แต่ว่า…”
เห็นเขายังคิดจะถาม เธอจึงตัดบทคำพูด เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะท่านปู่ ท่านออกมาก็คิดมากถึงเพียงนี้ ร่างกายยังมีพิษตกค้างที่ยังไม่ล้าง รักษาตัวอยู่ที่นี่ให้ดีก่อนค่อยว่ากัน ข้าจะไปยกข้าวต้มมาให้ท่านปู่ทานนะเจ้าคะ”
เห็นนางหันตัสเดินออกไป ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งก็ผงะเล็กน้อย พาเขาออกมาจากจวนตระกูลเฟิ่งรึ? นี่คงเป็นไปไม่ค่อยได้กระมัง? ในจวนคุ้มกันกันเช่นไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
เหลิ่งซวงในลานบ้านเห็นนางออกมา จึงออกไปรับหน้า “นายท่าน”
“เหลิ่งซวง เจ้าไปห้องครัวดูว่าชิงเหนียงต้มข้าวเรียบร้อยหรือยัง? ยกเข้ามาหน่อย”
“เจ้าค่ะ” นางขานรับ ไปยังห้องครัว
หลังจากเหลิ่งซวงเดินออกไป กวนสิหลิ่นก็เดินเข้ามา พลางพูดว่า “เสี่ยวจิ่ว ข้าซื้อยากลับมาแล้ว กำชับชิงเหนียงให้ต้มอยู่ จริงด้วย เมื่อเช้านี้ข้าออกไปซื้อยา เห็นคนของจวนตระกูลเฟิ่งตามหาคนอยู่ทุกหนแห่ง! เจ้าว่าพวกเขาจะตามมาถึงที่นี่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ ต่อให้มาถึงที่นี่ก็ไม่มีปัญหา แต่ช่วงนี้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาให้มากเสียหน่อยก็พอ”
“อืม เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้ารู้ดี” เขาพยักหน้า มองไปที่ห้อง เอ่ยถาม “ท่านปู่เจ้าฟื้นหรือยัง?”
…………………………………
ตอนที่ 140 ถูกจับตามอง!
“ฟื้นแล้ว”
ระหว่างที่นางพูด ก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง กล่าวว่า “เขารู้สึกผิดโทษตัวเองอยู่ตลอด บอกว่าปกป้องข้าไม่ดี” ถอนหายใจเบาๆ พูดอีกว่า “ไปเถอะ! ลองเข้าไปหาเขาสิ ข้าแนะนำตัวท่านไปคร่าวๆ บ้างแล้ว”
“ได้สิ” กวนสีหลิ่นพยักหน้า ตามนางเดินเข้าไปในห้อง
พอเข้าห้อง ก็เห็นท่านผู้เฒ่านั่งพิงหัวเตียงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เห็นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วจึงขานเรียก “ท่านปู่”
ท่านผู้เฒ่าได้สติกลับมา มองทั้งสองที่เดินเข้ามา สายตาจับจ้องบนร่างกวนสีหลิ่นอย่างเป็นธรรมชาติ แอบพินิจมอง “แม่หนูเฟิ่ง เขาคือ…”
“ข้าน้อยกวนสีหลิ่น คารวะท่านปู่เฟิ่ง” กวนสีหลิ่นคำนับไปด้านหน้า เผยรอยยิ้มขึงขังจริงใจ
“ท่านปู่ เขาเป็นพี่ชายต่างแซ่ที่หลานรู้จัก ปกติหลานเรียกเขาว่าพี่ชายเจ้าค่ะ” เธอออกหน้าดึงแขนท่านปู่ กล่าวว่า “เขาช่วยหลานไว้ไม่น้อย เป็นคนดีมากเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าพยักหน้า เอ่ยกับกวนสีหลิ่นว่า “ขอบคุณน้องชายที่ดูแลแม่หนูเฟิ่งนะ”
“ท่านปู่เฟิ่งจริงจังไปแล้วขอรับ” กวนสีหลิ่นเกรงใจอยู่บ้าง เขาเคยช่วยเสี่ยวจิ่วเสียที่ไหนกัน? ล้วนเป็นเฟิ่งจิ่วที่ช่วยเหลือเขามากกว่า
“นายท่าน” เหลิ่งซวงด้านนอกเอ่ยเรียก
“เข้ามา” เฟิ่งจิ่วในห้องขานบอก
ท่านผู้เฒ่ามองไปตามเสียง เห็นสาวน้อยชุดดำยกของในมือเดินเข้ามา จึงพินิจมองรอบหนึ่ง ไม่รอให้คิดถี่ถ้วน ก็ได้ยินแม่หนูเฟิ่งข้างกายบอกว่า
“ท่านปู่ นางชื่อเหลิ่งซวง เป็นผู้ติดตามของหลานเจ้าค่ะ”
ในใจท่านผู้เฒ่าตะลึงน้อยๆ ผู้ติดตามรึ? กลิ่นอายทั่วร่างสาวน้อยชุดดำนี้ช่างนิ่งสงบมาก อายุไม่มากแต่วรยุทธ์กลับนับว่าโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ยังมีกวนสีหลิ่นนั่นอีก แม่หนูเฟิ่งไปรู้จักสองคนนี้จากไหนกัน?
แม้ในใจคิดเคลือบแคลง กลับไม่รีบออกปากถาม แต่สังเกตพวกเขาอยู่
เฟิ่งจิ่วยกข้าวต้มเดินไปด้านหน้า เอ่ยว่า “ท่านปู่ ร่างกายท่านถูกวางยากำลังอ่อนแอ ไม่อาจกินของดีๆ นักได้ ดังนั้น จึงให้คนต้มข้าวต้มเปล่ามา ท่านทานเสียหน่อยเถิด!”
“ได้สิ” ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งพยักหน้า ยกรับชามมา “ให้ปู่ทานเองก็พอ”
เห็นท่าทาง กวนสีหลิ่นกล่าวว่า “เสี่ยวจิ่ว พวกเราออกไปก่อนเถอะ ข้าจะไปดูที่ห้องครัวว่าชิงเหนียงต้มยาเสร็จหรือยัง จะได้ยกมาให้ท่านปู่เฟิ่ง” สิ้นสุดคำพูด ก็เดินออกไปพร้อมกับเหลิ่งซวง ก่อนจะปิดประตูห้อง
รอพวกเขาออกไป ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งถึงจะเอ่ยถาม “แม่หนูเฟิ่ง หลานรู้จักพวกเขาได้อย่างไรเล่า?”
“เรื่องมันยาวนัก หลานจะเลือกประเด็นสำคัญมาเล่าให้ท่านปู่ฟังนะเจ้าคะ!” เธอยิ้มๆ มองเขาทานข้าวต้ม พลางเล่าเรื่องราวที่ได้รู้จักกับพวกเขาให้ฟังเสียหน่อย แต่ว่า ที่แตกต่างคือเธอนำเรื่องที่ต่อกรกับฝูงหมาป่าตัวคนเดียวเพื่อช่วยกวนสีหลิ่นมากลับกันซะ
พอเล่าเรื่องจบ ก็เห็นเขาพยักหน้า บอกว่ารอร่างกายฟื้นตัวจะต้องไปขอบคุณเขาดีๆ อย่างแน่นอน เธอจึงยิ้มบอกว่าเป็นคนกันเองไม่ต้องขอบคุณถึงจะยอมเลิกรา
สุดท้าย ก็ให้เขานอนหลับสักพักหลังดื่มยา แต่ เพราะสารพิษตกค้างในร่างกายที่ล้างไม่หมด ประกอบกับยาที่มีฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวยังปะปนในเลือดอยู่บ้าง หลังจากนอนลงไปจึงไม่ค่อยสงบใจเท่าไหร่นัก เธอจำต้องใช้เข็มเงินแทงตรงเส้นประสาทที่ทำให้หลับ เขาถึงจะนอนหลับลงดีๆ ได้
ช่วงเย็น กวนสีหลิ่นมาในลานบ้าน
“เสี่ยวจิ่ว ท่านปู่เจ้าตื่นหรือยัง?”
“หลังดื่มยาก็หลับไปแล้ว ทำไมรึ?” เธอมองกวนสีหลิ่นที่มีความเคร่งขรึมอยู่บนใบหน้าบางส่วน สงสัยเล็กน้อย
“มีคนจับตามองพวกเรา” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ “แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
“หืม? ว่ายังไงนะ?”
เธอเลิกคิ้ว แปลกใจอยู่บ้าง เหมือนว่าช่วงนี้พวกเขาก็ไม่ได้ไปยุแหย่ใครเข้านะ!
…………………………………