ตอนที่ 169 ตลาดมืดแคว้นเหินเวหา!
หลิงโม่หานหันกลับไปทั้งใบหน้าดำมืด พอมองก็เห็นชายหนุ่มที่ใบหน้าเสียโฉมปล่อยผมสยายกำลังถลึงตาจ้องมองกางเกงชั้นในเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง ช่างคล้ายว่าได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง ปากอ้าออกกว้าง ในมือยังจับกางเกงที่ถูกเขาฉีกขาดไว้
เห็นเช่นนี้ เขาจึงยกเท้าขึ้นเตะไป “ปล่อย!”
“ตูม!”
เธอที่นิ่งอึ้งอยู่ถูกเตะลงในบ่อน้ำพุร้อน ดื่มน้ำในบ่อไปสองสามอึก พอพุ่งโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ กลับเห็นว่าบุรุษที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อครู่หายไปเสียแล้ว
“ซี๊ด! เตะข้าอีกแล้ว! รอข้าก่อนเถอะ!”
เธอตีน้ำด้วยความโมโห เดินขึ้นมาจากน้ำ หลังจากได้ยินการเคลื่อนไหวด้านนอก ก็เปลี่ยนสวมเสื้อคลุมตัวแห้งใหม่อย่างรวดเร็ว ลูบๆ หัวไหล่ที่ถูกเตะเสียจนเจ็บ แล้วสวมหน้ากากไว้บนหน้า ถึงจะเดินไปด้านนอก
“เอะอะอะไรกัน!”
น้ำเสียงเธอเย็นเยียบเล็กน้อย ตะโกนไปอย่างหัวเสีย
“นายท่าน”
เหลิ่งซวงมายังข้างกายนาง เอ่ยว่า “พวกเขาบอกว่ามีคนเข้าหอสมบัติตลาดมืดไปขโมยยาทิพย์จิตวิญญาณสองสามอย่าง ไล่ตามคนผู้นั้นมาถึงที่นี่ จึงยืนกรานจะลองเข้าไปดูในบ่อน้ำพุร้อนขอรับ”
เฟิ่งจิ่วใช้แววตาเยือกเย็นถลึงมองเหล่าทหารอารักขาตลาดมืดตรงหน้า สายตาจับจ้องบนร่างชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้า แล้วยกขาขึ้นถีบไป
“ผัวะ!”
ชายวัยกลางคนไม่ทันไหวตัวจึงถูกเตะเข้าที่ท้อง ร่างกลิ้งออกไปไกลหลายก้าว สูดหายใจเข้า ตะคอกอย่างโกรธเคือง “เจ้าทำอะไรเนี่ย!”
เฟิ่งจิ่วสาวก้าวเดินออกหน้า แววตาเย็นชาเดือดดาลที่มีแรงกดดันน่าสะพรึงมองตรงไปที่เขา “ใครให้เจ้าหาญกล้ามาเหิมเกริมต่อหน้าข้า? หรือผู้ติดตามข้าไม่ได้บอกเจ้ารึ ว่าข้ากำลังอาบน้ำอยู่ด้านใน?”
“เจ้า!” ชายวัยกลางคนมองอย่างขุ่นเคือง กลับไม่กล้าทำอะไรเขา
“ยังจ้องข้าอีก? เจ้าไม่ต้องการดวงตาคู่นี้แล้วสินะ?”
น้ำเสียงเธอเย็นเยียบ สายตาเยือกเย็นน่ากลัว และคำพูดนั้น ยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนตื่นตระหนก จึงก้มหน้าลงทันทีไม่กล้าจ้องเธออีก
“หึ!”
เธอแค่นเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อ ถึงจะสาวก้าวเดินไปยังด้านในเรือน
รอทั้งสองคนออกไป ชายวัยกลางคนถึงจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว กำหมัดขึ้นแน่นในแขนเสื้อ กล่าวด้วยคำพูดดูถูกดูแคลน “แค่คนที่มาจากแคว้นเล็กระดับเก้า คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญจริงๆ รึ? หากพรุ่งนี้ทำขายหน้า ดูสิว่าเจ้าจะยังทำท่าบ้าบิ่นอะไรอีก!”
กลับมาในห้อง เหลิ่งซวงเห็นนางยังโกรธปึงปัง นึกถึงการเคลื่อนไหวที่ได้ยินก่อนหน้านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงอย่างโทษตัวเอง “ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ ขอนายท่านลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”
เฟิ่งจิ่วนั่งลงข้างโต๊ะ รินน้ำใส่แก้วแล้วดื่มลงไป โบกมือให้สัญญาณบอกว่า “ลุกขึ้นเถอะ! เรื่องไม่เกี่ยวกับเจ้า”
นางก้มหน้าลง กล่าวว่า “ไม่เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่เฝ้าให้ดี ถึงมีคนแอบเข้าไปรบกวนนายท่าน”
“คนผู้นั้นต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ไม่ต้องพูดถึงเจ้าหรอก”
เธอเอ่ยอย่างไม่ถือสา “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไร ตรงกันข้าม แหะ ข้าดึงกางเกงเขาไปแล้วด้วย”
ฟังถึงตรงนี้ บนใบหน้าเธอก็เผยท่าทางแปลกประหลาดใจนิดหน่อย นึกถึงกางเกงชั้นในสีแดงตัวนั้น มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
พอเหลิ่งซวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง
“เอาล่ะ คืนนี้พักผ่อนดีๆ เถอะ!” เธอส่งสัญญาณให้นางกลับไปพักผ่อน ส่วนตัวเองก็รินน้ำดื่มอีกสองสามแก้ว พลางคิดเรื่องไป
เห็นเช่นนี้ เหลิ่งซวงก็ขานรับ ถึงจะถอยออกไป
วันต่อมา
ชายวัยกลางคนที่ไปรับตัวเฟิ่งจิ่วที่แคว้นแสงสุริยันมาถึงในเรือน เห็นเงาร่างสีแดงกำลังทานอาหารเช้า จึงยิ้มเดินเข้าไปคารวะ กล่าวว่า “ใต้เท้าภูตหมอ นายท่านข้าอยากพบท่านหน่อยขอรับ”
………………………….
ตอนที่ 170 โปรดถอดหน้ากาก!
เฟิ่งจิ่วตอบรับ เห็นว่าอิ่มพอสมควรแล้ว จึงวางตะเกียบลงเช็ดมุมปาก ถึงจะเดินไปหาเขา “ไปกันเถอะ!”
“เชิญขอรับ” ชายวัยกลางคนท่าทางมีสัมมาคารวะ เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน จึงไม่อาจละลาบละล้วงได้เป็นปกติ
หากบอกว่าเขาเป็นคนจากแคว้นเล็กระดับเก้า แต่ ครั้งแรกที่เห็นเรือบิน กลับไม่มีแม้แต่ความสงสัยและแปลกใจเลยสักนิด เหมือนเคยเห็นพาหนะบินเช่นนี้มาก่อน จึงไม่อาจทำให้เขาประหลาดใจมาแต่ไหนแต่ไร
หนำซ้ำ หลังจากมาถึงแคว้นเหินเวหานี้ ท่าทางสง่างามสงบนิ่งที่เขาแสดงออก ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่นและละเลยโดยสิ้นเชิง
ชายวัยกลางคนพาเฟิ่งจิ่วมาถึงห้องรับรองด้านหน้า หลังจากไปรายงานด้านใน ก็บอกกับเฟิ่งจิ่วว่า “ใต้เท้าภูตหมอ เชิญขอรับ”
เฟิ่งจิ่วสาวก้าวเดินเข้าไป แต่เหลิ่งซวงกลับถูกขวางอยู่ด้านนอก
ทุกคนในห้องรับรองใช้สายตาพินิจมองจับจ้องบนเรือนร่างสีแดงชั่วร้ายที่เดินเข้ามาอย่างไม่ปิดบัง นัยน์ตาพวกเขามีทั้งความดูถูกเหยียดหยาม และการสำรวจตรวจสอบ
ขณะที่พวกเขาพินิจมองมา สายตาเฟิ่งจิ่วก็มองผ่านทุกคนในห้องรับรอง สายมองตรงไปบนร่างคนผู้นั้นบนตำแหน่งที่นั่งอาวุโส
นั่นเป็นชายวัยกลางคนท่านหนึ่ง สวมชุดผ้าแพรสีดำนั่งตัวตรงตั้งสองขามั่นคง ทั่วร่างมีกลิ่นอายของผู้เหนือกว่ากระจายอยู่ และเวลานี้ สายตาที่เฉียบแหลมคู่นั้นก็กำลังพินิจมองจ้องเธอ
“ใต้เท้าเชิญนั่ง” ชายวัยกลางคนตรงตำแหน่งที่นั่งอาวุโสเอ่ยเสียงเข้ม ผายมือเป็นสัญญาณ ชี้ไปยังที่นั่งแรกที่ว่างอยู่ทางด้านซ้าย
เฟิ่งจิ่วยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม เดินไปด้านหน้าอย่างไม่เกรงใจ มาถึงที่นั่งแรกด้านซ้ายมือนั้น หมุนตัวกำลังจะนั่งลง ก็มีแรงหนึ่งผลักเก้าอี้ออก
เห็นเช่นนี้ เธอเหลือบมองชายวัยกลางคนที่ด้านซ้ายล่างแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายเผยแววตายียวน ก็อดไม่ได้ที่จะผุดเผยรอยยิ้ม ฝ่ามือปล่อยพลังเร้นลับออกมา เก้าอี้ที่เดิมถูกผลักไปด้านหลัง จึงกลับมาตรงตำแหน่งเดิมในเวลาต่อมา และเธอก็นั่งลงอย่างใจเย็น
“พรึบ!”
เสียงเก้าอี้เสียดสีพื้นดังขึ้น ก็เห็นเก้าอี้ชายวัยกลางคนด้านซ้ายล่างเคลื่อนตามมา ตัวเขาทรุดนั่งลงบนพื้น พร้อมทั้งร้องอุทาน
“อ๊ะ!”
คนอื่นๆ เห็นท่าทาง ก็หลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ และไม่ลืมตาน้อยๆ
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้น สีหน้าแดงก่ำ พอลุกขึ้นมาก็ปรี่ไปหาเรื่องเฟิ่งจิ่วด้วยความอับอายเสียจนโกรธเคือง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ช่างอาจหาญนัก! ถึงกล้ามาล้อเล่นกับข้า!”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วที่นั่งเอนตัวอย่างเกียจคร้านก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “แม้ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ก็เดาว่าเป็นคนของตลาดมืด บอกว่าแขกเข้ามา แล้วต้องทำยังไง? หรือนี่คือกิริยาท่าทางที่พวกท่านใช้ปฏิบัติต่อแขก?”
“เจ้า!”
“นักปรุงยาหลิน ที่ใต้เท้าภูตหมอพูดก็ถูก แขกเข้ามา จะเสียมารยาทไม่ได้”
ชายวัยกลางคนตรงที่นั่งอาวุโสเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำช่างมีอำนาจ ทำให้นักปรุงยาหลินที่สีหน้าขุ่นข้องใจไม่กล้าปริปากอีก
เวลานี้ คนที่เหลือกลับเอ่ยปากว่า “ท่านประมุข เห็นเขายังสวมหน้ากากอยู่ ท่าทางไม่กล้าให้ใครเห็น ซ้ำก็ไม่รู้ที่มาอะไรเลย พวกเราจะเชื่อคนเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ?”
“จริงด้วยท่านประมุข ไม่ว่ายังไง ก็ไม่อาจฝากชื่อเสียงทั้งหมดของตลาดมืดแคว้นเหินเวหาปีนี้ไว้กับตัวคนผู้นี้ได้ ท่านดูท่าทางเฉื่อยชาของเขาสิขอรับ หนำซ้ำเดาว่าอายุคงยังไม่มาก คนเช่นนี้ จะรับผิดชอบงานใหญ่ได้เช่นไร?”
ชายวัยกลางคนตรงที่นั่งอาวุโสมองไปยังเฟิ่งจิ่ว สายตาจับจ้องบนหน้ากากที่มีดอกลำโพงเบ่งบานอยู่นั้น เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าภูตหมอจะถอดหน้ากากออกมาเพื่อเผยใบหน้าแท้จริงแก่ทุกคนได้หรือไม่?”
……………………………