ตอนที่ 179 ความเข้าขาที่แปลกประหลาด!
และตอนนี้ เฟิ่งจิ่วกลับตกใจน้อยๆ ถลึงมองชายหนุ่มตรงหน้า แอบคิดในใจว่า ‘น้ำเสียงนี้ทำไมฟังแล้วคุ้นหูนิดหน่อย? หรือว่าเธอเคยพบคนผู้นี้ที่ไหนมาก่อน?’
เป็นไปไม่ได้น่า! ผู้ชายคนนี้ท่าทางโดดเด่นเช่นนั้น หากเธอเคยเห็น คงจะไม่ลืมแน่นอน
ขณะกำลังคิด พลันเห็นชายหนุ่มตรงหน้าปล่อยกระแสลมออกมา ตัวเธอรู้สึกว่าทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง ทรุดนั่งลงไปบนพื้น
“เอาคนไปขังไว้ หากปล่อยให้เขาหนีไป ข้าจะสอบสวนพวกเจ้า!” นายท่านเหยียนกำชับเสียงเข้ม สะบัดแขนเสื้อ หันตัวจากไป
“ขอรับ!” ผู้ฝึกตนชุดดำสิบหกนายขานรับด้วยความเคารพ ดึงหนุ่มน้อยที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นขึ้นมา
หลังจากร่างกายหมดเรี่ยวแรง เพียงรู้สึกว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างถูกเขาปิดผนึกไว้
เฟิ่งจิ่วหวั่นใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “พลังเร้นลับข้าถูกนายท่านพวกเจ้าปิดผนึกไว้ ไม่ต้องลากข้าแล้ว ข้าเดินเองก็ได้ อีกอย่าง มีพวกเจ้าเฝ้าอยู่ ข้าจะหนีพ้นได้รึ?”
“เหอะ ข้าแนะนำเจ้าทางที่ดีอย่าคิดหนี หากหนีอีก ระวังขาเจ้าจะถูกตัด!” ผู้ฝึกตนนายหนึ่งในนั้นพูดข่มขู่ ปล่อยมือที่จับนางไว้ออก บอกว่า “ไปเถอะ!”
เฟิ่งจิ่วที่โดนขังอยู่ในห้องอีกครั้งรู้ว่าหนีไม่พ้นแล้ว จึงไม่นึกถึงมันอีก แต่มีเพียงตัวเองที่รู้ ว่าชายหนุ่มปิดผนึกแค่พลังเร้นลับ กลับไม่รู้ว่าในร่างยังมีกลิ่นอายพลังวิญญาณอยู่ เป็นเช่นนี้ ขอแค่หาโอกาส ก็ยังหนีออกไปได้
แต่ว่าก่อนหน้านั้น เธอยังอยากเข้าใจ ว่าคนพวกนี้จับเธอมาทำไมกันแน่?
ตำหนักยมราชรึ? เธอจำไม่เห็นได้เลยว่าตัวเองไประรานกองกำลังเช่นนี้ด้วย!
เช้าวันต่อมา เฟิ่งจิ่วถูกพวกเขาพาขึ้นเรือบินลำหนึ่ง เมื่อเรือบินลอยห่างพื้นขึ้นไปบนท้องฟ้า เฟิ่งจิ่วที่เดิมนั่งอยู่ด้านในก็เดินออกมา เห็นชายหนุ่มนั่งดื่มเหล้าอยู่หัวเรือ สาวก้าวย่างจะเดินเข้าไป กลับโดนขวางไว้
“ปล่อยเขาเข้ามา” นายท่านเหยียนสั่งโดยไม่หันหน้าไป
หลังเฟิ่งจิ่วเดินเข้าไปก็นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ ยกเหยือกเหล้าขึ้นรินเหล้าเอง จิบไปคำหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “พวกท่านจับข้ามาจะให้ช่วยชีวิตใครรึ? หรือว่า ต้องการทักษะการปรุงยาของข้า?”
คนพวกนี้แม้บนร่างจะมีไอสังหารกระหายเลือดรุนแรงนัก แต่กลับไม่มีความคิดจะฆ่าเธอ ไม่เช่นนั้น คงไม่มีชีวิตมาถึงตอนนี้ แต่คาดว่าสิ่งเดียวที่สามารถทำให้คนต้องตาได้ มีเพียงทักษะการรักษาและการปรุงยา
เห็นท่าทีลอยชายตามใจชอบ และท่าทางไม่ตกใจตื่นกลัว กลับทำให้ในดวงตานายท่านเหยียนเผยแววชื่นชม “ไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้ารึ?”
“อยากฆ่าคงฆ่าไปนานแล้ว ไยต้องรอถึงตอนนี้”
เธอลูบๆ ท้อง หันไปถามทหารอารักขาข้างๆ “เฮ้ ไม่มีของกินรึ? เอามาให้ข้าหน่อยสิ ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอนนี้ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”
ทหารอารักขาผู้นั้นมองนายท่านเหยียนแวบหนึ่ง หลังได้รับสัญญาณ ถึงจะเดินเข้าไปในเรือบิน ไม่นานนัก ก็หยิบขนมอบออกมาวางลงบนโต๊ะเล็กสองสามจาน
มองหน้ากากบนหน้าเขาก็ไม่สวม เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกทำลาย เวลานี้ยิ่งกินอย่างไม่รักษาภาพพจน์แม้แต่น้อย ดวงตานายท่านเหยียนฉายแววเล็กน้อย ปริปากบอกว่า “กินช้าๆ หน่อย ไม่พอยังมีอีก”
“แค่กๆๆๆ”
เขายังพูดไม่จบดี พอเอ่ยไป ทันใดนั้นก็ทำให้เฟิ่งจิ่วตกใจสำลัก ขนมอบสำลักอยู่ตรงคอขึ้นมาไม่ไหว ลงไปก็ไม่ได้ ใบหน้าเสียโฉมขึ้นสีแดงก่ำเพราะเหตุนี้
เห็นเช่นนี้ นายท่านเหยียนก็ขมวดคิ้ว มองเฟิ่งจิ่วตบกลางอกพลางรินน้ำดื่มไปแก้วหนึ่ง หลังถอนหายใจอย่างโล่งออกก็ถลึงมองมาทางเขา
“ทำอะไรน่ะ?” เด็กคนนี้ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
……………………………
ตอนที่ 180 เขาจะถอดเสื้อผ้าข้า!
นัยน์ตาดำหันไปเห็นลูกน้องผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังมองมาอย่างตื่นตะลึง เขาขมวดคิ้ว กวาดสายตามองพวกเขา “นิ่งอยู่ตรงนั้นทำไมเล่า? ไม่มีอะไรทำกันรึไง? ถอยไปซะ!”
“ขอรับ!”
ผู้ฝึกตนหลอมแก่นพลังเหล่านั้นรีบร้อนขานรับ ขณะที่ถอยไป ก็มองเด็กหนุ่มชุดแดงผู้นั้นอีกครั้ง ดูไม่ออกจริงๆ ว่าหนุ่มน้อยนี่มีอะไรพิเศษกันแน่? ถึงสามารถทำให้นายท่านใช้ท่าทางคำพูดอ่อนโยนได้เช่นนี้?
หลังจากเฟิ่งจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง ก็ดูแลตัวเองทานขนมอบโดยไม่สนใจเขา รอบนี้ทานค่อนข้างช้า หนำซ้ำ ในดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งฉายแววเคลือบแคลง ‘ทำไมน้ำเสียงนั้นยิ่งฟังแล้วยิ่งคุ้นเคยนักนะ?’
เธอเคยได้ยินเสียงคนคนนี้ที่ไหนกันแน่นะ?
ถึงเวลาตอนเย็น เรือบินหยุดลงบนพื้นราบ หลังจากนายท่านเหยียนเดินลงมา เธอก็เร่งเดินตามลงไป แต่ไม่ทันไร ดวงตาก็ถูกคนใช้ผ้าสีดำอะไรบางอย่างปิดเอาไว้
พวกเขาพาเดินมาตลอดทาง รู้เพียงว่าหลังจากเดินไปบนช่วงหาทางแสนยาวไกลอย่างเลี้ยวลดคดเคี้ยว ข้างหูก็ได้ยินหลายคนขานต้อนรับนายท่านเหยียนกลับหอด้วยความเคารพ
“พาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วส่งเขาไปหอโอสถ”
หลังน้ำเสียงนายท่านเหยียนลอยมาข้างหู เธอก็ถูกคนพาไป มาถึงห้องห้องหนึ่ง ผู้ฝึกตนท่านหนึ่งแก้ผ้าสีดำที่ปิดตาไว้ออก ขณะเดียวกันก็โยนชุดคลุมสีเทาชุดหนึ่งเข้ามา
“รีบๆ เปลี่ยนแล้วตามข้ามา!”
เห็นผู้ฝึกตนยืนจ้องเธออยู่ในห้องเช่นนั้น ก็ถลึงดวงตา “เจ้าออกไปสิ! มัวจ้องอยู่ข้าจะเปลี่ยนชุดได้เช่นไร?”
“เป็นผู้ชายกันทั้งนั้นมีอะไรที่ดูไม่ได้เล่า? เร็วเข้า พิรี้พิไรให้มันน้อยๆ หน่อย!” นั่นคือผู้ฝึกตนวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลัง เป็นชายอายุยี่สิบกว่า และเป็นหนึ่งในสิบหกคนที่ตามกลับมาด้วยกันครั้งนี้ นามว่า ฮุยหลาง
“ข้าไม่ชินกับการถูกคนจ้อง” เธอขมวดคิ้วบอก
“เจ้าเด็กนี่ปัญหาเยอะเสียจริง! หากไม่เปลี่ยนอีกข้าจะช่วยเจ้าเปลี่ยน?” ขณะพูด เขาก็ก้าวยาวเดินเข้าไปใกล้จริงๆ ก่อนทำท่าทางจะถอดเสื้อผ้าเฟิ่งจิ่ว
ทว่า ไม่รอให้เขาเข้าใกล้ เฟิ่งจิ่วก็ยืดคอขึ้นตะโกนลั่น “อ๊า! อนาจาร!”
ประตูห้องพลันถูกผลักเปิด ผู้ฝึกตนสองสามนายด้านนอกล้วนเคลื่อนกายเข้ามา เห็นสถานการณ์ในห้อง ก็เบิกดวงตาอย่างอดไม่ได้ “ใครอนาจารใครรึ?”
หลังจากหนึ่งคนในพวกนั้นจ้องมองทั้งสองคนในห้อง ก็ยิ้มแปลกๆ จ้องผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังผู้นั้นพลางเอ่ยว่า “ฮุยหลาง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีรสนิยมเช่นนี้อยู่อีกนะ!”
“ไสหัวออกไปซะ!”
สีหน้าผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังหมองมืดลง ถลึงมองเฟิ่งจิ่ว สั่งว่า “เจ้าสองคนมานี่! ถอดเสื้อผ้าเจ้าเด็กนี่ให้ข้าที!”
ฟังคำพูดนี้ แววตาเฟิ่งจิ่วก็หรี่ลง ในดวงตาฉายประกายเย็นเยียบ ริมฝีปากคลี่ออกยิ้ม “ถอดเสื้อผ้าข้ารึ? เจ้าก็ลองเข้ามาสิ”
“เจ้าเด็กนี่คิดว่าข้าไม่กล้ารึ?” ฮุยหลางก้าวย่างออกหน้า ยื่นมือจะไปดึงเสื้อผ้าเฟิ่งจิ่ว
เธอไม่เกรงใจ เห็นเขาก้าวเข้ามา ลงมือทำเขาล้มออกไปด้วยการอาศัยแรงอีกฝ่ายโต้ตอบ ขณะเดียวกันนิ้วมือก็ขยับ เข็มเงินประกายเยือกเย็นจึงแทงเข้าจุดชีพจรตรงระหว่างเอวกับหน้าท้อง
“ซี๊ด!”
โดนเฟิ่งจิ่วทำให้ล้มลงบนพื้นอย่างกะทันหัน ฮุยหลางจึงเดือดดาลขึ้นมา มือหนึ่งกำหมัดกำลังจะใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณ ก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบดังลอยมา
“หยุดนะ!”
“นายท่าน!”
ทุกคนเห็นว่าเป็นนายท่านเหยียน จึงต่างพากันก้มหัวคำนับ
นายท่านเหยียนขมวดคิ้วเดินเข้ามา สายตาเย็นชากวาดมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงทุ้ม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่เขาไม่ออกไป ต้องคอยจ้องมองข้า ซ้ำยังจะถอดเสื้อผ้าข้าอีก!”
นางพูดถึงเพียงนี้ ทุกคนจึงคิดเอนเอียงตามเป็นปกติ แต่ละคนต่างจ้องฮุยหลางที่สีหน้าแดงก่ำ เผยท่าทางว่า ‘ที่แท้ก็แบบนี้เอง’
……………………………