ตอนที่ 189 ไฟโกรธไร้เหตุ!
แววตาดุดันเยือกเย็นของนายท่านเหยียนจับจ้องบนมือฮุยหลางที่ผูกผ้าคาดเอวอยู่ สายตานั้น ราวกับคมมีดเย็นเยียบน่ากลัวแต่ละเล่มๆ ทำให้ใจคนเหน็บหนาวเสียดื้อๆ
“เจ้าช่วยรักษาเขาแล้วรึ?” นัยน์ตาดำล้ำลึกมองบนร่างเฟิ่งจิ่วข้างๆ อย่างมองอารมณ์ไม่ออก น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำและมั่นคง ทำให้คนเดาความคิดในใจไม่ออก
เฟิ่งจิ่วกะพริบตาปริบๆ พยักหน้า “รักษาแล้ว” มองเขาอย่างแปลกใจอยู่บ้าง คิดว่าสองคนนี้… เหมือนจะประสาทกันนิดหน่อย
“ถอดเสื้อผ้าแล้ว?”
สายตาเขากลับมาหยุดลงบนร่างฮุยหลางที่แข็งทื่อไปทั้งตัว น้ำเสียงนั้น มีกลิ่นอันตรายอยู่บ้างเลือนลาง
“อืม ถอดแล้ว”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้าอีกครั้งอย่างสัตย์จริงนัก ไม่ถอดเสื้อผ้าจะฝังเข็มยังไงเล่า? แน่นอนว่าต้องถอดน่ะสิ!
“พูดถึงเพียงนี้ เห็นแล้วรึ?”
น้ำเสียงราวกับโรงน้ำแข็ง เย็นเฉียบเสียจนทำให้ฮุยหลางเหงื่อออกซก แอบคิดว่า ‘เขาทำเรื่องอะไรที่ยุแหย่ให้นายท่านไม่พอใจรึ? หรือฝ่าฝืนข้อห้ามอะไรเข้า?’
“แน่นอนสิ ไม่เห็นจะฝังเข็มยังไงเล่า?”
เธอรู้สึกประหลาดยากจะเข้าใจนิดหน่อย โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วห้องเย็นลงมา ข้างกายคล้ายจะมีลมหนาวโหยหวน ช่างน่าแปลกยิ่งนัก
เห็นนางทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ในใจนายท่านเหยียนจึงมีไฟโกรธไร้สาเหตุลุกโชนขึ้น มองลึกที่นาง สะบัดเสื้อคลุม แล้วหันตัวก้าวยาวเดินไปด้านนอก ขณะเดียวกันน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีกลิ่นอายอันตรายเย็นเยียบก็เปล่งออกมาอย่างมีน้ำโห
“อิ่งอี พาฮุยหลางไปทิ้งไว้หอสายลมหนาวซะ!”
เมื่ออิ่งอีที่ไล่ตามเข้ามาได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายก็นิ่งงัน ‘หอ หอสายลมหนาวรึ?’
สายตามองไปด้านใน เห็นฮุยหลางที่ชะงักไปเหมือนกันยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เฟิ่งจิ่วอึ้งอยู่สักพัก มองพวกเขา เห็นบนหน้าทั้งสองล้วนมีท่าทียากจะเชื่อ จึงกะพริบตาปริบๆ อย่างอดไม่ได้ ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หอสายลมหนาวคือที่ใดรึ?”
ใครจะรู้ นางไม่ถามซะยังดีกว่า พอนางถามเช่นนี้ ตัวฮุยหลางก็พุ่งออกไปทั้งใจสลาย
“นายท่าน! นายท่านข้าน้อยไม่อยากไปหอสายลมหนาวนะขอรับ… นายท่าน…”
เห็นฮุยหลางพุ่งออกไป อิ่งอีก็ได้สติกลับมา รีบเร่งตามออกไป หากไม่ทำตามคำสั่งนายท่าน เกรงว่าไม่เพียงฮุยหลางจะถูกโยนไปหอสายลมหนาว เขาก็อาจจะโดนเหมารวมไปด้วย
ดังนั้น ตายหนึ่งดีกว่าสอง เขาทำได้เพียงขอโทษต่อฮุยหลาง
เฟิ่งจิ่วยืนอยู่ตรงประตู ได้ยินเสียงฮุยหลางร้องโหยหวนดั่งผีร่ำไห้หมาป่าหอนดังลอยมา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แอบคิดว่า ‘หอสายลมหนาวเป็นที่ใดกัน? ถึงทำให้ฮุยหลางได้แล้วหน้าเปลี่ยนสี’
“แต่ว่า นายท่านเหยียนนั่นมาทำอะไรกันแน่? แล้วทำไมถึงโกรธปึงปังไปเสียแล้วเล่า?”
เธอพึมพำเสียงเบา คิดไม่ออก ก็ไม่ต้องคิดซะเลย กลับมาในห้องปิดล็อคประตู แล้วทำธุระที่ยังไม่เสร็จต่อไป
วันต่อมา เมื่อเธอนำยาขั้นสี่ที่ปรุงออกมาส่งให้หลินเหล่า เห็นท่าทางเขาตื่นเต้นประหลาดใจ พูดทั้งยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ “หลินเหล่า ข้ามีเรื่องจะถามท่านขอรับ!”
“เหอะๆๆ เรื่องอะไรรึ? พูดมาเถอะๆ!” หลินเหล่าเก็บยานั้นขึ้นมาราวกับสมบัติล้ำค่า กะว่าเดี๋ยวจะหยิบไปให้นายท่านดู
“หอสายลมหนาวเป็นสถานที่แบบไหนรึ?” เธอถือวิสาสะหยิบขนมอบชิ้นหนึ่งบนโต๊ะเขามาทาน
“หอสายลมหนาวเป็นโรงค้าเด็กหนุ่ม เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมรึ?” เมื่อวานเขาอยู่ในหอโอสถทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่รู้ว่าฮุยหลางถูกนายท่านเหยียนสั่งโยนไปหอสายลมหนาวแล้ว
เธอเบิกดวงตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้น ก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ฮ่าๆๆๆ! ที่แท้เป็นโรงค้าเด็กหนุ่มนี่เอง!”
………………………………
ตอนที่ 190 ม้าคึกยากล้ม!
เห็นเฟิ่งจิ่วหัวเราะระรื่นอยู่ตรงนั้น หลินเหล่าก็ส่ายหัว บอกว่า “เจ้าต้องการยาอะไรก็ขึ้นหอไปหยิบเองเถอะ ข้าต้องนำยาไปให้นายท่านก่อน” พูดจบ ก็สาวก้าวเดินไปด้านนอก ทิ้งให้เฟิ่งจิ่วหน้าชื่นตาบานอยู่ตรงนั้นคนเดียว
หลินเหล่ามายังเรือนหลัก ไม่เห็นเงาฮุยหลางที่มักจะติดตามอยู่ข้างกายนายท่านเสมอ กลับเป็นอิ่งอีที่คอยเฝ้าในเรือนนายท่าน จึงถามว่า “อิ่งอี ทำไมวันนี้ไม่เห็นฮุยหลางเล่า?”
ได้ยินคำพูดนี้ อิ่งอีกระตุกมุมปาก มองไปด้านในแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงกดเบาลง “ฮุยหลางไปรับแขกในหอสายลมหนาวขอรับ!”
“อะไรนะ?” หลินเหล่าตะลึง ร้องอย่างแปลกใจ “รับ รับแขกที่หอสายลมหนาวรึ?” เขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง?
อิ่งอีทำท่าทางเงียบๆ ไว้ ชี้ตรงด้านใน ไม่ให้เขาเสียงดังเกินไปนัก
หลินเหล่าปาดเหงื่อ กล่าวว่า “ข้ามีธุระกับนายท่าน เข้าไปก่อนนะ”
หน้าโต๊ะหนังสือ นายท่านเหยียนนั่งตรวจดูข่าวคราวที่แต่ละถิ่นเสนอเข้ามา เวลานี้ ประตูมีเสียงดังก๊อกๆ ขึ้นสองครั้ง น้ำเสียงหลินเหล่าลอยมาจากด้านนอก
“นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องมารายงานขอรับ”
“เข้ามา”
หลินเหล่าหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะเดินเข้าไป เห็นเงาร่างสีดำกำลังวุ่นอยู่หน้าโต๊ะหนักสือ จึงเดินไปด้านหน้า คำนับด้วยความเคารพ แล้วนำยาเสนอให้
“นายท่าน นี่เป็นยาที่ภูตน้อยปรุงออกมาใหม่ ข้าน้อยดูแล้ว เป็นยาขั้นสี่ขอรับ”
ฟังคำพูดนี้ นายท่านเหยียนก็วางเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมา “นางปรุงยาขั้นสี่ออกมารึ?”
“ขอรับ หนำซ้ำยังเป็นยาขั้นสี่ชั้นดี ในหมู่ยาของหอโอสถเรา ยังไม่เคยเห็นยาขั้นสี่ชั้นดีเลยนะขอรับ” พูดตรงนี้ หลินเหล่าปลาบปลื้มนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเกลียดอย่างภูตน้อยจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ไม่แปลกใจที่นายท่านจะคอยประคบประหงมเขา
นายท่านเหยียนครุ่นคิดสักพัก ก็เอ่ยว่า “กลับไปเจ้าให้นางประทับตราสัญลักษณ์ของตัวเองลงบนตัวขวด จากนั้นค่อยนำยาส่งไปกองประมูล ให้พวกเขาประมูลยาออกไปในชื่อภูตหมอ”
ฟังเช่นนี้ หลินเหล่าตกใจเล็กน้อย “นายท่านจะให้เปิดตัวด้วยชื่อภูตหมอรึขอรับ?” หากให้คนของตำหนักยมราชพวกเขาจัดการ ไม่ต้องใช้เวลาถึงสามเดือน ชื่อภูตหมอจำต้องกระฉ่อนไปทั่วแคว้นเหินเวหาแน่!
“ไปจัดการเถอะ!” เขาไม่พูดอะไรมาก แค่โบกมือให้สัญญาณเขาถอยไป
“ขอรับ” หลินเหล่าถอยออกไปหลังคำนับลา
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในหอสายลมหนาว
ฮุยหลางหลบอยู่ในห้องเหลือบมองร่างกายตัวเอง ด่าทอทั้งกัดฟันกรอด “เจ้าเด็กนี่! ก็รู้อยู่ว่าเขาคงไม่ช่วยรักษาข้าง่ายดายเพียงนั้น กะแล้วเชียวว่าต้องมีเจตนาไม่ดี!”
เวลานี้ ประตูห้องถูกผลักออก บุรุษรูปโฉมขาวเนียนบอบบางเดินเข้ามา ชำเลืองบริเวณนั้นที่ตั้งตรงขึ้นของฮุยหลาง ก่อนจะเผยรอยยิ้มซุกซนอย่างอดไม่ได้
“ฮุยหลาง ข้าว่าเจ้าไปทำเรื่องวุ่นวายอะไรเข้าเนี่ย? คนอื่นอยากคึกเป็นม้ายากล้มช่างยากเย็น เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ดูสิ นานแค่ไหนแล้วนะ? ยังแข็งแรงถึงเพียงนี้ ความทรหดช่างห่างไกลจากระดับข้าเสียจริง!”
ได้ยินเช่นนี้ ฮุยหลางก็ถลึงมองเขา บอกว่า “เจ้ายังมาหัวเราะอีก? ไม่ช่วยข้าลองคิดหาทางแก้เล่า เป็นพี่น้องกันไม่ใช่รึ!”
“ทางแก้ไม่ใช่ว่าไม่มี”
บุรุษผู้นั้นเดินเข้ามา เอ่ยว่า “ที่นี่เป็นสถานที่เช่นไรเจ้าก็รู้ สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเด็กหนุ่ม ถ้างั้น ข้าจะหาใครสักสองคนมาให้เจ้าระบาย?”
“เจ้าอย่าสร้างปัญหานักเลย ข้าร้อนใจแทบตายแล้วนะ!” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“งั้นก็เอาเถอะ!” บุรุษผู้นั้นตบมือ ต่อจากนั้น เด็กรับใช้สองสามคนก็ยกผ้าไหมสีแดงที่แทบบางโปร่งใสกับแป้งปัดแก้มแดงเข้ามา
เห็นภาพเช่นนี้ ฮุยหลางก็กระโดดขึ้นมาอย่างไหวตัวทัน “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
………………………………