ตอนที่ 195 ท่าจะไม่ดีแล้ว!
“ยังนิ่งอยู่ทำไมเล่า?”
ได้ยินน้ำเสียงนายท่านที่มีความไม่พอใจอยู่รางๆ ดังขึ้น เขาก็เร่งดึงสติกลับมา ชำเลืองมองหนุ่มน้อยที่กำลังกินอย่างมีความสุข รีบขานรับ
“ขอรับ”
เดินออกไป กำชับทหารอารักขาด้านนอกให้สั่งห้องครัวส่งเข้ามาเพิ่มอีกชุด
เห็นของว่างและอาหารร้อนกรุ่นสองสามจานที่วางบนโต๊ะ ดวงตาก็เป็นประกาย รีบกุลีกุจอช่วยนายท่านเหยียนคีบของกินพวกนั้น เอาอกเอาใจยิ่งนัก
“นายท่านเหยียน ท่านกินสิ กินนี่นะ” จากนั้นไม่ว่าเขากินหรือไม่ หลังจากช่วยเขาคีบอาหารด้วยตะเกียบ ก็เริ่มทานของตัวเอง
เห็นเขาช่วยนายท่านคีบอาหาร อิ่งอีที่คอยอยู่ข้างๆ ก็ถลึงดวงตา “เจ้ากินของตัวเองไปก็พอ จะช่วยนายท่านคีบอาหารอะไรอีก? นายท่านเขาไม่กิน…”
อาหารที่คนอื่นคีบ ประโยคนี้ยังไม่ทันพูดออกมา เห็นนายท่านผู้เป็นใหญ่และสูงศักดิ์จ้องอาหารในชามสักพัก ก็คีบขึ้นมากิน ทำให้เขากลั้นลมหายใจไว้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลำบากใจยิ่งนัก
ทว่าเฟิ่งจิ่วเห็นเขากิน ก็หรี่ดวงตาลงยิ้ม ยกตัวเองเป็นเจ้าบ้านโดยสมบูรณ์ ไม่ลืมว่าใครกินข้าวอยู่ในเรือนใคร หลังจากคีบอาหารเองอีกนิด ก็ช่วยเขาคีบอีกหน่อย
“นายท่านเหยียน ท่านลองชิมนี่สิ นี่ท่านยังไม่ได้กินเลยนะ!”
เธอคีบของว่างชิ้นสุดท้ายในจานเล็กให้เขา ของว่างในทุกจานเล็กล้วนมีอยู่สี่ชิ้น แต่กลับกลายเป็นว่า หลังกินเองสามชิ้น ถึงจะคีบชิ้นสุดท้ายนั้นให้ การเอาใจเช่นนี้นายท่านเหยียนมองเสียจนต้องเลิกคิ้วขึ้น
อิ่งอีข้างๆ มองเสียจนจะร้องไห้ อยากตะโกนออกไปมาก ‘นายท่าน ท่านสงวนท่าทีสักนิดไม่ได้รึ? ทำไมถึงไม่ปฏิเสธ? เด็กหนุ่มนั่นคีบอะไรก็อันนั้น? อีกฝ่ายเป็นผู้ชายนะ ศีลธรรมของท่านเล่า?’
อาหารเช้าหนึ่งมื้อ เฟิ่งจิ่วกินเสียจนหัวใจชื่นบานไปชั่วขณะ ลูบๆ ท้องเล็กที่บวมป่อง ลุกยืนขึ้นเรอออกมา “ข้าต้องกลับแล้ว ฮุ! อิ่มเหลือเกิน”
เห็นเด็กหนุ่มทานอาหารเช้าเสร็จก็สะบัดก้นจากไป นายท่านเหยียนกวาดมองจานบนโต๊ะที่ไม่เหลืออะไรเลยสักนิด ถามว่า “ปกติอาหารนางไม่พอรึ?”
อิ่งอีก้มหัวขานรับ “พอขอรับ แต่ของคนอื่นจะไม่ดีไปกว่าของนายท่าน” อาหารการกินของนายท่านพ่อครัวชั้นหนึ่งจะทำด้วยตัวเอง ทุกจานล้วนสวยงามเลิศรส จึงเทียบไม่ได้กับอาหารของคนอื่นๆ เป็นธรรมดา
ได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยียนก็พยักหน้าลุกยืนขึ้นเดินออกไป
อิ่งอีเห็นท่าทางจึงตามออกจากเรือน สั่งกับทหารอารักขาที่เฝ้าอยู่ด้านนอกว่า “ให้คนมาเก็บกวาดโต๊ะซะ” ก่อนจะรีบเร่งตามนายท่านด้านหน้าไป
หลังจากเฟิ่งจิ่วที่กลับถึงเรือนล้างยาทาที่แห้งกรังบนหน้าให้สะอาด เห็นแผลเป็นบนหน้าจางลงทุกวันๆ ก็ยิ้มเริงร่าอย่างอดไม่ได้ “ข้อดีที่สุดของการมาที่นี่ก็คือสิ่งนี้แหละ”
เธอผอกยาลงไปอีกหน่อย แบกหน้าที่ฉาบยาไว้เดินออกไป กะจะเดินเล่นย่อยอาหาร กลับไม่นึกว่าเมื่อมาถึงข้างภูเขาจำลองจะเห็นเงาร่างสีดำยืนมือไพล่หลังอยู่ริมสระน้ำ
เห็นเงาร่างสีดำยืนมือไพล่หลัง ใบหน้าด้านข้างที่หันอยู่เล็กน้อยทั้งหล่อเหลาและแข็งแกร่ง หน้ากากครึ่งหน้าสีเงินนั้นฉายแสงแพรวพราวอยู่ภายใต้แสงแดด เธอแอบส่ายหน้า ด่าทอว่า ‘เจ้าปีศาจร้าย’
เดิมคิดจะหมุนตัวเดินจากไป ไม่นึกถึงเมื่อเช้าที่ทานอาหารกับเขาที่นั่น คิดสักพักก็เดินเข้าไป
“นายท่านเหยียน ท่าน… อ๊ะ!”
คำเพิ่งเปล่งออกไป ตัวเธอก็โผเข้าไปด้านหน้าเพราะเท้าก้าวลื่น
อิ่งอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นเขาลื่นล้ม ร่างถลาไปเบื้องหน้าอย่างเสียจุดศูนย์ถ่วง ดวงตาเห็นว่าจะตกลงไปในสระน้ำ กำลังแอบยิ้มว่า ‘เจ้าเด็กนี้ สมน้ำหน้า!’
ทว่า เมื่อเห็นภาพถัดมา ตัวเขาก็ท่าไม่ดีเสียแล้ว
……………………………
ตอนที่ 196 ความรู้สึกหวั่นไหว!
หลังจากนายท่านเหยียนได้ยินเสียงนาง ก็หันกลับมามอง เมื่อเห็นนางก้าวเท้าลื่นก้อนหิน ตัวพุ่งไปข้างสระน้ำ จึงปรี่เข้าไปรับนางไว้ตามสัญชาตญาณแทบจะทันที
แต่พอคนเข้าสู่อ้อมกอด เขาก็ผงะไป
เรือนร่างสาวน้อยอ้อนแอ้นชนเข้ามาในอ้อมแขนเขา ร่างกายอ่อนนุ่มแนบไปกับแผงอกแกร่งกำยำ กลิ่นหอมยาจางๆ บนร่างนางที่มีเอกลักษณ์ลอยปนอยู่ในลมหายใจ ทำให้ความหวั่นไหวผุดขึ้นในหัวใจ…
สองมือขาวเนียนกำคอเสื้อบนตัวเขาไว้แน่นหนา ใบหน้าเล็กซุกอยู่กลางอก เห็นเพียงเส้นผมสีหมึกที่เงางามนุ่มสลวย คนในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สบเข้ากับดวงตาลึกล้ำที่หลุบมองลง ระยะใกล้เช่นนี้ ดวงตาสองคู่ประสานกัน ความรู้สึกที่ไม่รู้ชื่อก็แผ่นซ่านอยู่ในหัวใจอย่างเงียบเฉียบ
แต่เมื่อสถานการณ์ของพวกเขาสองคนตกสู่สายตาอิ่งอีที่อยู่ไม่ไกล กลับกลายเป็นทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรักใคร่เสน่หา มองเสียจนเขาคิดเตลิดเปิดเปิงอยู่ท่ามกลางสายลม
ไม่ใช่กระมัง? นั่นเป็นสองชายชาตรีนะ! ต่อให้หนุ่มน้อยนั่นอ้อนแอ้นไปหน่อย แต่ก็ยากละเลยความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ชาย ทว่าตอนนี้ นึกไม่ถึงว่านายท่าน นายท่านจะโอบเอวหนุ่มน้อยนั่นไม่วางมือ ซ้ำทั้งสองยังสบตากันอย่างแนบชิดใกล้เพียงนั้นอีก
ภาพตรงหน้านั้น ทำให้เขาแทบจะมองรอบๆ ไปตามสัญชาตญาณ คิดว่า จะให้คนอื่นเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้น ชื่อเสียงนายท่านได้พังทลายลงหมดแน่!
เฟิ่งจิ่วมองนายท่านเหยียนที่โอบเอวเธอไว้อย่างตื่นตระหนก ในห้วงทะเลแห่งความคิดไม่มีความรู้สึกไม่ทราบชื่อที่สับสนวุ่นวายพวกนั้น แค่คิดว่า ‘ตอนนี้เธอเป็นผู้ชาย เขาโอบกอดชายหนุ่มเช่นนี้จะเหมาะสมจริงๆ รึ?’
ถูกแววตาล้ำลึกจ้องมองเช่นนั้น เธอก็หนาวสั่นอย่างอดไม่ได้ ขนลุกชูชันขึ้นทั่วร่าง ก่อนจะรีบร้อนถอยออกไป
“ขอโทษด้วยๆ เท้ามันลื่นน่ะ”
เธอพูดพลางถอยห่าง ยิ้มหน้าเหยเก “ข้าแค่เข้ามาทักทาย ท่านก็ทำอะไรต่อไปเถอะๆ”
เห็นสาวน้อยวิ่งออกไปราวกับหนีเอาชีวิตรอด นายท่านเหยียนก้มหน้ามองมือตัวเอง คล้ายกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง มองเสียจนในที่สุดอิ่งอีข้างๆ ก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“นายท่าน ที่ หอนารีวิไลนั่นสองวันนี้มีหญิงรูปโฉมงดงามยิ่งมาอีกสองสามคน”
ได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยียนก็มองที่เขา “แล้วยังไงรึ?”
“แล้ว แล้วข้าน้อยคิดว่า นายท่านต้องการให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติคืนนี้หรือไม่ขอรับ?”
พูดประโยคนี้จบ อิ่งอีเพียงเห็นสายตาเย็นเยียบที่นายท่านกวาดมองมาทางเขา มองเสียจนหนักศีรษะเขาด้านชา แทบจะทรุดลงไปอย่างขืนไว้ไม่อยู่
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเดินไปพลางเช็ดถูแขน พูดพึมพำว่า “นายท่านเหยียนผู้นี้ คงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ กระมัง? ต่อให้ชอบผู้ชายก็คงไม่ชอบข้า? อีกอย่าง ถึงยังไงใบหน้าข้าก็เสียโฉม แบกหน้าที่ฉาบยาสีเขียวปนดำถึงเพียงนี้เขาจะชอบข้าได้รึ?”
“คงเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าต้องคิดมากไปเองแน่ๆ”
เธอถอนหายใจเบาๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ เห็นหอโอสถอยู่เบื้องหน้า จึงก้าวยาวเดินเข้าไป พลางทักทายหลินเหล่าที่ตรวจดูสมุนไพรอยู่ในสวน “หลินเหล่า นี่ภูตน้อยเอง!”
หลินเหล่าหันกลับไปมองเขา พลันมองซ้ายมองขวาสักพัก แล้วมายังข้างกายนาง ถามว่า “ได้ยินว่า เมื่อคืนนายท่านให้เจ้าอยู่เฝ้าค้างคืนรึ?”
“อืม” เธอพยักหน้า
“นายท่านให้เจ้าเฝ้าค้างคืนได้อย่างไรกัน? แล้วให้เจ้าทำอะไรบ้าง?” หลินเหล่าน้ำเสียงแปลกใจ สายตาที่มองเขามีความเคลือบแคลงใจ
ได้ยินคำพูดนี้ ค่อยมองท่าทางซุบซิบนินทาของหลินเหล่า มุมปากเฟิ่งจิ่วก็กระตุกน้อยๆ…
………………………………