บทที่ 93 เรื่องซุบซิบในโรงพยาบาล
เช้าวันเสาร์ หยางเหวินป๋อซึ่งอาศัยอยู่ในหอพักของคณะอาจารย์กำลังจะขับรถออกไปซื้อของกิน
แต่ปรากฏว่าเมื่อจอดรถในเขตชุมชน ผู้เป็นคณบดีก็พบว่าลมยางที่เติมไปเมื่อคืนนี้กลับถูกปล่อยออกมาอีกแล้ว
“อีกแล้วเหรอ!”
สีหน้าของหยางเหวินป๋อเปลี่ยนแปลงไปเมื่อวิ่งไปดูล้อยางทั้งสองฝั่งของรถยนต์
เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย
ลมยางล้อรถของเขาถูกปล่อยออกไปหมดทั้งสี่ข้าง
“คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วสินะ”
“ฉันจะต้องตามหาตัวคนทำให้ได้!”
หยางเหวินป๋อคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
นี่คือครั้งแรกที่เขาถูกท้าทายโดยไม่เกรงกลัวอำนาจความเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ารถยนต์ถูกปล่อยลมยางเมื่อคืน หยางเหวินป๋อก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะกล้องวงจรปิดที่อยู่ในลานจอดรถถึงสองตัวนั้น ต่างก็ใช้งานไม่ได้อย่างกะทันหัน
หยางเหวินป๋อคิดว่าเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ตนเองจะไม่คิดอะไรมากอีก แต่ที่ไหนได้ ความโกรธแค้นที่สะสมมาตลอดทั้งคืน กลับถูกระบายออกในเช้าวันนี้หมดสิ้น
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครเป็นคนทำ!”
หยางเหวินป๋อยืนตะโกนอยู่ในลานจอดรถ
“ปล่อยลมยางที่มหาลัยยังพอทน แต่นี่กล้ามาปล่อยถึงที่พักของฉัน มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง?”
“อย่าเที่ยวข่มเหงคนอื่นให้มากเกินไปนะโว้ยย!”
เสียงคำรามของหยางเหวินป๋อดังกึกก้องเขตชุมชน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความแปลกใจ
…
ขณะนี้เป็นเวลา 7:30 น.
ห้องตรวจคนไข้ของแผนกแพทย์แผนจีนอยู่บนชั้นสามของโรงพยาบาลจี้หยาง
หลี่เคอหมิงกับซูเย่มาถึงที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า
นี่คือครั้งแรกที่ซูเย่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในฐานะผู้ช่วยแพทย์แผนจีน
แต่มันยังเช้าเกินไป
ในโถงทางเดินที่ชั้นแรก มีคนไข้มาลงทะเบียนรอรับการรักษาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ถ้าวันนี้มีคนไข้อยากฝังเข็ม เดี๋ยวฉันจะสอนการฝังเข็มขั้นพื้นฐานให้เธอได้รู้เอง”
หลี่เคอหมิงหันมาพูดกับซูเย่ระหว่างโดยสารลิฟต์ขึ้นไปสู่ชั้นบน
“เธอได้อ่านตำราเกี่ยวกับการฝังเข็ม และการรมยามาบ้างหรือยัง?”
เขาไม่รู้ว่าซูเย่อ่านหนังสือมามากมายขนาดไหน และจดจำข้อมูลในตำราเล่มไหนได้บ้าง แต่เท่าที่รู้ก็คือ ซูเย่เคยบอกว่าตนเองอ่านตำราพื้นฐานทางการแพทย์แผนจีนครบถ้วนทั้ง 50 เล่มแล้ว
“ผมอ่านมาแล้วครับ” ซูเย่พยักหน้าหนักแน่น “และก็จำทุกอย่างได้ขึ้นใจแล้ว”
ศาสตร์แห่งการฝังเข็ม และการรมยาคือสิ่งที่ชายหนุ่มอยากศึกษามาตลอด
“หืม?” หลี่เคอหมิงมีดวงตาเป็นประกายแวววาว
ตำราการฝังเข็ม และการรมยาไม่นับว่าเป็นหนังสือที่มีความหนามากเท่าไหร่
แต่การลงมือปฏิบัติจริงต่างหากที่มีความยากลำบากมากกว่ากันหลายเท่า
“ถือว่าไม่เลวเลยนะ”
เด็กคนนี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเสมอ
แต่ด้วยความที่หลี่เคอหมิงมีสถานะเป็นอาจารย์ และเป็นคุณหมอในโรงพยาบาล เขาจึงแสดงออกทางสีหน้าด้วยความชื่นชมมากเกินไปไม่ได้
หลี่เคอหมิงกับซูเย่มาถึงห้องตรวจคนไข้ในที่สุด
ชายหนุ่มพบว่าห้องตรวจคนไข้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง นอกจากมีโต๊ะตรวจสำหรับแพทย์แล้ว ยังมีเตียงให้คนไข้นอนสำหรับตรวจอย่างละเอียดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่พร้อมสำหรับการตรวจวินิจฉัยอีกเป็นจำนวนมาก
ก่อนที่คนไข้จะมาถึง หลี่เคอหมิงได้เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อกาวน์ และหันมาพูดกับซูเย่ว่า “ก่อนอื่น ฉันจะบอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการฝังเข็ม และการรมยาให้เธอรู้”
ซูเย่พยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ
“วิธีการรักษาด้วยการฝังเข็ม และการรมยานั้น โดยทั่วไปจะถูกเรียกสั้น ๆ ว่าการฝังเข็ม”
“การฝังเข็มเป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และเกิดผลข้างเคียงต่อคนไข้น้อยที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นวิธีการรักษาในเหตุการณ์ฉุกเฉิน เข็มจะถูกปักลงไปเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และสร้างความสมดุลของร่างกาย แม้การฝังเข็มจะเป็นวิธีการรักษาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด แม้แต่คนไข้ที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอ ก็ยังรับการรักษาด้วยวิธีการนี้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นการรักษาที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่กลัวเข็มอยู่ดี”
“ส่วนการรมยานั้น เป็นการนำสมุนไพรมารมความร้อนลงไปบนด้ามจับเข็ม เพื่อให้ฤทธิ์ของสมุนไพรเหล่านั้นไหลเวียนลงไปตามตัวเข็ม ผ่านลงไปที่เส้นลมปราณในร่างกายของคนไข้ สามารถช่วยรักษาอาการเจ็บปวดตามร่างกาย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีมากขึ้น ร่างกายจะกลับมามีความสมดุลมากขึ้น และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษา ที่เกิดผลข้างเคียงต่อคนไข้น้อยที่สุดเช่นกัน”
ซูเย่รับฟังอย่างตั้งใจในขณะที่นำเสื้อกาวน์ออกมาสวมใส่
“ศาสตร์แห่งแผนจีนนั้นมีวิธีการรักษาอยู่หลายรูปแบบ ว่ากันว่าคนไข้ที่เคยเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์แผนตะวันตกแทบทุกคน จะต้องหันหน้ามาพึ่งพาการรักษาแบบแพทย์แผนจีนกันทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังและต้องได้รับการรักษาระยะยาว ผู้ป่วยเหล่านี้มีความเหมาะสมต่อการรักษาด้วยศาสตร์แห่งชาติแผนจีนมากที่สุด”
“ใจความสำคัญของการฝังเข็ม และการรมยานั้น คือการนำศาสตร์การรักษาคนไข้สองแขนงมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว การรักษาชนิดนี้จะให้ความสำคัญอยู่ที่ความสมดุลของธาตุหยินหยางในร่างกาย เช่นเดียวกับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ สามารถปรับใช้ในการรักษาโรคได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว อาการกล้ามเนื้อบาดเจ็บ ไปจนถึงอาการเวียนหัว ปวดหัวในระดับรุนแรง”
“ร่างกายของคนเราจะประกอบไปด้วยจุดฝังเข็มจำนวนมาก และจุดฝังเข็มเหล่านี้ก็ให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่แตกต่างกันไปเฉพาะโรค เมื่อรวมเข้ากับการรมยาสมุนไพรที่เหมาะสม การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น”
ซูเย่ยังคงรับฟังต่อไปด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง
ในราชวังแห่งความทรงจำของเขา ตำราแพทย์โบราณจำนวนนับไม่ถ้วนได้ลอยออกมาจากชั้นวางหนังสือ และรวมเป็นข้อมูลเชิงเปรียบเทียบกับสิ่งที่หลี่เคอหมิงกำลังพูดอยู่ขณะนี้
“สิ่งสำคัญสำหรับศาสตร์แห่งการฝังเข็มก็คือ แพทย์ผู้รักษาจะต้องกำหนดจุดฝังเข็มให้แม่นยำ และมีการวินิจฉัยอาการที่เที่ยงตรง”
“แต่ก่อนที่จะเรียนรู้ว่าการกำหนดจุดฝังเข็มให้แม่นยำคืออะไร เธอต้องทราบก่อนว่าจุดฝังเข็มแต่ละจุดนั้น มีผลลัพธ์ต่อการรักษาในโรคชนิดใดบ้าง”
“เมื่อพูดถึงการกำหนดจุดฝังเข็ม มีคำหนึ่งที่สอนกันมาตั้งแต่ยุคโบราณว่า “จุดฝังเข็มมักอยู่ควบคู่กับเส้นลมปราณ” ซึ่งมาจากหลักการที่ว่า “เส้นลมปราณคือส่วนสำคัญที่สุดของการรักษาโรค” แต่ด้วยความที่ร่างกายของมนุษย์มีจุดลมปราณอยู่มากมาย มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถกำหนดจุดฝังเข็ม และเส้นลมปราณได้ตามที่ในตำราระบุเอาไว้”
“และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในศาสตร์แห่งการฝังเข็มก็คือ แพทย์ผู้รักษาควรมีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค และอาการของคนไข้ ยิ่งวินิจฉัยโรคได้แม่นยำเท่าไหร่ ยิ่งสามารถกำหนดจุดฝังเข็มได้แม่นยำแค่ไหน การรักษาคนไข้ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่น ถ้าคนไข้มารับการรักษาเพราะดวงตามีปัญหา เธอก็ควรฝังเข็มในจุดซือจู๋คง จุดเฟิงฉือ ฯลฯ ถ้าคนไข้มาด้วยอาการจมูกอักเสบ เธอก็ควรฝังเข็มในจุดหยิงเซียง จุดจู้เหลียว ส่วนถ้ามาด้วยอาการปวดท้อง เธอก็ต้องฝังเข็มที่จุดจงหว่าน ฯลฯ…”
ในขณะนี้ ภาพของจุดฝังเข็มที่ชื่อจุดซือจู๋คง จุดเฟิงฉือ จุดจู้เหลียว และจุดหยิงเซียงต่างก็ปรากฏขึ้นมาในราชวังแห่งความทรงจำของซูเย่
“การกำหนดจุดฝังเข็มก็มีทั้งหมดประมาณนี้แหละนะ…”
หลี่เคอหมิงพูดเน้นย้ำทุกรายละเอียดให้ซูเย่ได้รับฟังอย่างครบถ้วน
เขารู้ดีว่าซูเย่เป็นคนมีความทรงจำดีเลิศ เมื่อประกอบเข้ากับความสามารถในการรักษาคนไข้ที่เหนือธรรมดา มันคงเสียเวลาเปล่าถ้าเขาจะมัวแต่แนะนำข้อมูลพื้นฐานที่ชายหนุ่มสามารถพบได้ในตำราการแพทย์ทั่วไป เพราะฉะนั้น หลี่เคอหมิงจึงมั่นใจว่ายิ่งเขาให้ข้อมูลในระดับสูงมากเท่าไหร่ ซูเย่ก็จะยิ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผู้เป็นอาจารย์อธิบายหลักการของศาสตร์แห่งการฝังเข็มเสร็จสิ้น ซูเย่ก็มีความเข้าใจต่อศาสตร์การรักษาชนิดนี้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เขารู้แล้วว่านอกจากการวินิจฉัยโรคจะสำคัญแล้ว การกำหนดจุดฝังเข็มให้แม่นยำก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันเป็นการคำนวณที่จะพลาดเป้าไม่ได้เด็ดขาด การฝังเข็มผิดตำแหน่งแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะทำให้ผลลัพธ์ในการรักษาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จึงกล่าวได้ว่าในขณะนี้ ซูเย่มีความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งการฝังเข็ม และรมยาโดยสมบูรณ์แล้ว
ในจังหวะที่หลี่เคอหมิงเพิ่งจะกล่าวจบลงนั้น คุณหมอคนหนึ่งก็เดินถือถ้วยน้ำชาที่มีควันโชยกรุ่นเข้ามาในห้องพอดี
“อ้าว คุณหมอหลี่ มาแล้วเหรอครับ” คุณหมอท่านนั้นยิ้มแย้มทักทายหลี่เคอหมิง แต่สายตากำลังจับจ้องมาที่ซูเย่เขม็ง ก่อนพูดต่อ “เธอคงเป็นคุณหมอคนใหม่สินะ”
“คนนี้ลูกศิษย์ผมเอง”
หลี่เคอหมิงผงกศีรษะตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หืม?”
คุณหมอหนุ่มกำลังจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แต่กลับต้องหยุดชะงักอยู่อย่างนั้นเมื่อได้รับทราบตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่มแปลกหน้า
หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะเป็นคนที่ชื่อว่าซูเย่?