บทที่ 60 คาถาเร่งเวลา
“ใช้ไม่ได้ รสชาติมันไม่ได้เป็นแบบนี้”
ในบ้านพักคนชรา คุณปู่เฉินพูดหลังจากลองชิมน้ำแกงที่ต้มจากน้ำแร่ของภูเขาไท้ซัว
“ไม่เหมือนกันเหรอครับ?”
หวังป๋อถามด้วยความขมขื่น “แต่วัตถุดิบทุกอย่างผมก็ใช้ตามสูตรของคุณปู่เลยนะครับ แม้แต่น้ำแร่ก็ตวงในปริมาณพอดีเป๊ะ แล้วรสชาติจะไม่เหมือนกันได้ยังไง?”
“ไม่เหมือนหรอก เพราะของที่ปู่เจ้าทำ มันอร่อยมากกว่านี้”
คุณปู่เฉินวางช้อนในมือลงพร้อมกับส่ายศีรษะยิ้มกว้าง
“งั้นผมจะตั้งใจพัฒนาฝีมือนะครับ”
หวังป๋อถอนหายใจออกมาอย่างแรง ดูเหมือนว่าปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ปริมาณวัตถุดิบซะแล้วสิ แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนกันนะ
หลังจากพูดคุยกับคุณปู่เฉินอยู่อีกพักใหญ่ พ่อครัวหนุ่มก็บอกให้ชายชราพักผ่อนก่อนที่ตนเองจะขอตัวกลับพร้อมด้วยถ้วยน้ำแกงที่อยู่ในมือ
จังหวะที่เดินมาถึงประตูก็ได้เจอกับลูกชายของคุณปู่เฉินพอดี
“สวัสดีครับคุณลุง ช่วงนี้คุณปู่เฉินเป็นยังไงบ้าง?”
หวังป๋อถามด้วยความเป็นกังวล
ชายวัยกลางคนขยิบตาให้เขาเป็นสัญญาณให้ไปคุยกันข้างนอก
“หมอบอกว่าพ่อฉันอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 วันแล้วล่ะ”
ลูกชายของคุณปู่เฉินถอนหายใจด้วยความเศร้า ก่อนที่จะกล่าวต่อไปเมื่อมายืนอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้านพักคนชรา “เจ้าอ้วน ขอบคุณมากเลยนะที่มาเยี่ยมพ่อฉันบ่อย ๆ แต่ยังไงท่านก็แก่แล้ว ถือเสียว่าไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปก็แล้วกัน”
หวังป๋อก้มหน้ามองพื้น ไม่รู้จะกล่าวตอบอย่างไร ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่
“ความปรารถนาสุดท้ายที่พ่อฉันมี ก็คือการได้กินแกงจืดกะหล่ำฝีมือของคุณปู่แกนั่นแหละ แต่น่าเสียดายที่ปู่แกตายไปนานแล้ว ต่อให้มีคนอื่นมาทำเมนูเดียวกัน แต่รสชาติก็คงไม่เหมือนเดิมหรอก”
หวังป๋อยิ่งเศร้าสลดมากกว่าเดิม
หลังจากเรียนทำอาหารอยู่หลายปี แม้แต่เมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดกะหล่ำ เขาก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับคุณปู่ได้เลย
และนี่คือความปรารถนาครั้งสุดท้ายของคุณปู่เฉิน ผู้เหลือเวลาในชีวิตอีกแค่ 3 วันเท่านั้น
หวังป๋อยิ่งคิดก็ยิ่งจมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความเศร้า
“แต่ว่า…อาจจะยังมีหนทางอยู่ก็ได้นะ”
หวังป๋อพลันนึกถึงผัดกะหล่ำทรงเครื่องที่เขาทำให้ชายหนุ่มแปลกหน้าเมื่อวันก่อน แล้วดวงตาของพ่อครัวหนุ่มก็เบิกโตโดยทันที
นี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้ความปรารถนาของคุณปู่เฉินกลายเป็นความจริง
ถ้าใช้กะหล่ำของน้องชายคนนั้นมาทำแกงจืด มันจะต้องอร่อยแน่!
“คุณลุงครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ!”
คิดได้ดังนั้น หวังป๋อก็รีบนำถ้วยน้ำแกงกลับไปคืนโรงครัว ก่อนจะรีบเดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัยที่ตนเองทำงานอยู่
ในเวลาเดียวกันนี้
ซูเย่กำลังอยู่ที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อ
เขายังคงต้องเรียนพิเศษเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรค และการเขียนใบสั่งยาเหมือนครั้งที่แล้ว
เมื่อหมดวัน ความเข้าใจของชายหนุ่มต่อสมุนไพรชนิดต่าง ๆ และความสำคัญของการเขียนใบสั่งยาสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ก็มีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่รักษาคนไข้คนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย หลี่เคอหมิงก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบ ได้เวลาปิดศูนย์การแพทย์แล้ว วันนี้งานของพวกเขาจบลงแล้ว
“อาจารย์หลี่ครับ”
ซูเย่อาศัยจังหวะนี้ถามออกมา “อาจารย์รู้จักใครที่พอจะมีต้นโซวูอายุ 100 ปีอยู่บ้างไหมครับ?”
“ต้นโซวูอายุ 100 ปีงั้นหรือ?”
หลี่เคอหมิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่เมื่อลองทบทวนความทรงจำ นายแพทย์อาวุโสก็ต้องส่ายศีรษะตอบกลับมา “ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ เท่าที่ฉันนึกออกนะ”
“งั้นผมจะไปตามหามันได้ที่ไหนบ้างครับ?”
หลี่เคอหมิงมองหน้าซูเย่ด้วยความสงสัย
“ผมแค่อยากรู้น่ะครับว่ารูปร่างหน้าตามันเป็นยังไง”
ซูเย่ยิ้มตอบกลับไป
“งั้นเธอก็ต้องเดินเข้าไปหาตามป่าตามเขานั่นแหละ ส่วนใหญ่แล้วมันจะขึ้นอยู่ในหุบเขา ระวังหลงทางด้วยก็แล้วกัน ดีไม่ดีเธออาจจะได้เจอสมุนไพรจีนหายากอีกหลายชนิดก็ได้”
หลี่เคอหมิงพูดติดตลก ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น
“แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะว่า การรับประทานโซวูแบบดิบ ๆ จะเป็นพิษกับตับ บางคนนิยมนำมันมาบดเป็นผง และใส่ลงไปในอาหารอย่างเช่นโจ๊กหรือว่าข้าวต้ม เพราะโซวูมีสรรพคุณเป็นยาปลูกผมชั้นดี แล้วก็ในตำนานแพทย์แผนจีนยุคโบราณ บรรดาหมอยาก็นิยมใช้โซวูเป็นยาขับพิษออกจากร่างกาย เพราะฉะนั้น เธอห้ามกินมันแบบดิบ ๆ เด็ดขาด”
“ผมไม่กินมันแน่นอนครับ”
ซูเย่ส่ายศีรษะ เขาจะนำมันไปเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งในการปรุงยา และสรรพคุณที่จะตามมานั้น ย่อมเหนือล้ำกว่าการขับพิษออกจากร่างกายหลายเท่านัก
ชายหนุ่มเริ่มต้นวางแผนว่าจะออกสำรวจตามภูเขาที่อยู่ใกล้เมืองที่สุด
หลี่เคอหมิงใช้เวลาที่เหลืออยู่หลังจากนั้น ยืนอธิบายสรรพคุณของตัวยาต่าง ๆ จากตู้ลิ้นชักข้างโต๊ะตรวจคนไข้ ฝ่ายหนึ่งตั้งใจสอนด้วยความมุ่งมั่น อีกฝ่ายก็ตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี นี่คือคู่ของอาจารย์ และลูกศิษย์ที่เกิดมาเพื่อกันและกัน นับดูทั่วทั้งโลกเกรงว่าคงจะหาบุคคลเช่นพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว
“เราเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์มากจริง ๆ”
หลังทำความสะอาดห้องตรวจคนไข้ และล็อกประตูห้องเก็บยาเรียบร้อย ซูเย่ก็ล่ำลาอาจารย์หลี่เคอหมิงกับบุตรสาว ก่อนเดินทางกลับไปที่มหาวิทยาลัยของตนเอง
เขาเดินตรงไปที่โรงอาหาร ตั้งใจว่าจะฝากท้องสำหรับมื้อค่ำของวันนี้เอาไว้ที่นี่
“น้องชาย หยุดก่อน!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนดังออกมาจากหน้าต่างโรงครัว
ซูเย่หันกลับไปมองหน้าต่างโรงครัวด้วยความพิศวง แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าของพ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนที่เคยช่วยผัดกะหล่ำทรงเครื่องเมื่อวันก่อนให้เขาปรากฏขึ้นที่ตรงนั้น
พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกายแห่งความหวัง
“น้องชายรอฉันอยู่ตรงนั้นก่อน” ระหว่างที่พูด พ่อครัวหนุ่มก็ถอดผ้ากันเปื้อนและหน้ากากอนามัยออก ก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว
เขาเดินเข้ามาหาซูเย่ และถามเสียงเครียดว่า “น้องชายยังมีกะหล่ำแบบที่เคยเอามาให้ฉันทำอาหารอยู่อีกไหม?”
“หืม?”
ซูเย่มองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม พ่อครัวหวังป๋อก็พูดต่อทันทีว่า
“ไม่ว่าราคาแพงแค่ไหนฉันก็ยินดีจ่าย ว่าแต่น้องชายมีหรือเปล่า?”
“จะเอาไปทำไมเหรอครับ?”
ซูเย่ถามกลับไป
คนธรรมดาไม่ควรแยกแยะได้สิว่ากะหล่ำหัวนั้นมันเป็นกะหล่ำพิเศษ
“น้องชายยังมีอยู่หรือเปล่า?”
หวังป๋อดึงซูเย่มาที่โต๊ะว่างในโรงอาหารตัวหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะสั่งอาหารมาให้ชายหนุ่มรับประทานพร้อมกับพูดคุยต่อไปด้วยเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา
“ความจริงฉันไม่ได้ต้องการเยอะแยะหรอกนะ แค่หัวเดียวก็พอแล้ว”
หวังป๋อสูดหายใจลึกและอธิบายต่อ “ฉันอยากได้กะหล่ำหัวนั้นไปทำอาหารตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของคนแก่คนหนึ่งน่ะ…”
หลังจากนั้น พ่อครัวหนุ่มก็ต้องสารภาพผิดออกมา
“ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พอดีว่าตอนที่ฉันผัดกะหล่ำให้นายครั้งที่แล้ว ฉันทนความน่ากินไม่ไหว ก็เลยแอบชิมไปคำหนึ่ง ฉันถึงได้รู้ว่ามันอร่อยมาก ก็เลยอยากได้กะหล่ำแบบนั้นไปทำอาหารให้ปู่ฉันกินดูบ้างน่ะ”
“อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ”
ซูเย่วางตะเกียบในมือลง และพยักหน้ารับรู้
“อีก 3 วันผมจะเอามาให้นะ” เขาบอกกับพ่อครัวหนุ่ม
หวังป๋อรีบส่ายหน้าทันที “ขอเป็นวันพรุ่งนี้แทนได้ไหม ปู่ฉันอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 วันแล้วล่ะ”
“เอาวันพรุ่งนี้เลยเหรอ?” ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พรางคิดในใจ เวลาแค่วันเดียวไม่น่าจะพอให้กะหล่ำหัวใหม่ดูดซับพลังได้มากมายเหมือนหัวที่แล้ว
หวังป๋อได้แต่ฝากความหวังสุดท้ายไว้ที่ชายหนุ่มคนนี้ เขามีเวลาเพียงวันเดียวจริง ๆ
ซูเย่ดูจากสีหน้าท่าทางของพ่อครัวหนุ่มคนนี้แล้ว เขาสามารถเชื่อได้สนิทใจว่าคุณปู่ท่านนั้นไม่สามารถรอได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
“ได้ครับ”
ในที่สุด ซูเย่ก็พยักหน้าตอบตกลง “วันพรุ่งนี้ เดี๋ยวผมจะเอากะหล่ำมาให้”
“ขอบใจนะ” หวังป๋อดีใจจนแทบจะคุกเข่าร้องไห้ตรงนี้ เขารู้สึกขอบคุณชายหนุ่มคนนี้มากจริง ๆ
แล้วซูเย่ก็รีบรับประทานอาหารอย่างรวดเร็ว
ก่อนกลับหอพัก เขาแวะไปที่ซูเปอร์มาเก็ตในมหาวิทยาลัย และคัดเลือกกะหล่ำที่ดูดีที่สุดมาหัวหนึ่ง
“เฮ้ย ซูเย่ นายจะเอากะหล่ำมาปลูกอีกแล้วเหรอ?”
ซูชือถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นซูเย่เดินหิ้วถุงใส่กะหล่ำเข้ามาในห้อง
“จะเอาไว้ทำอาหารให้พวกเรากินอีกใช่หรือเปล่า? ครั้งที่แล้วอร่อยสุด ๆ เลยนะเพื่อน” จินฟานพูดอย่างออกรสและกล่าวเสริมว่า “ฉันว่ามันอร่อยยิ่งกว่ากุ้งเผาอีก”
“อันนี้ฉันซื้อเอามาให้คนอื่น มันจะอยู่กับเราแค่คืนเดียวนี่แหละ” เขาพูดไปตามตรง
แล้วรีบนำกะหล่ำหัวนั้นออกไปที่ระเบียง จัดการลอกเปลือกนอกของมันออก และนำแกนกลางที่เหลืออยู่ปักลงไปในกระถาง
โดยที่ไม่สนใจท่าทีงุนงงของสองสหายเลย
หากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว
พลังปราณธรรมชาติจะดูดซับลงมาที่กระถางใบนี้
ซูเย่วาดนิ้วมือในอากาศ จัดการสร้างค่ายอาคมอย่างรวดเร็ว
“พรึบ”
แล้วค่ายอาคมสำหรับการรวบรวมปราณธรรมชาติก็เริ่มทำงาน
เขาปล่อยให้กะหล่ำปลีในกระถางเริ่มต้นดูดซับพลังจากธรรมชาติไปเรื่อย ๆ
เวลา 22:00 น.
“เร็วเข้า ได้เวลาเล่นเกมแล้ว…”
ซูชือพูดด้วยความร้อนรน ก่อนที่เขาจะสวมใส่หมวก VR เข้าสู่โลกแห่งเกมพร้อมกับจินฟาน