บทที่ 94 ความไว้วางใจ
ซูเย่ที่กำลังจะได้กลายเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์ฮั่วเหรินเซิง?
รับรองว่าต้องใช่แน่!
“หน่วยก้านไม่เลวเลยนี่นา” คุณหมอหนุ่มใช้สายตาสำรวจซูเย่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอยู่หลายรอบก่อนจะพยักหน้า ยิ้มแย้มด้วยความพอใจ “คุณหมอหลี่เป็นหัวหน้าคณะแพทย์แผนจีนในโรงพยาบาลของเรา ฉันเชื่อว่าเธอต้องได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะมากแน่ ๆ”
“ผมจะพยายามครับ”
ซูเย่ยิ้มแย้ม และพยักหน้าตอบกลับไป
“นี่ก็ได้เวลาที่คนไข้จะเริ่มมาแล้ว ผมขอตัวกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อนแล้วกัน” หลังจากนั้น คุณหมอหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป
เมื่ออีกฝ่ายเดินหายลับไปจากสายตาแล้ว หลี่เคอหมิงจึงได้หันมาพูดกับซูเย่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “คนเมื่อกี้คือคุณหมอเซียว เป็นคนขี้นินทาที่สุดในโรงพยาบาลของเราแล้วล่ะ รับรองว่าอีกไม่นาน เดี๋ยวทุกคนก็คงได้รู้ว่าเธอมาเป็นผู้ช่วยของฉันแล้ว”
และทุกอย่างก็เป็นไปตามการคาดเดาของหลี่เคอหมิง
ไม่นานหลังจากที่คุณหมอเซียวเฉิงเดินออกไปจากห้องตรวจของหลี่เคอหมิง ข่าวที่ว่าซูเย่คือผู้ช่วยแพทย์คนใหม่ก็กระจายไปทั่วโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ฮั่วเหรินเซิงนับเป็นปรมาจารย์ และเป็นบุคคลต้นแบบของแพทย์แผนจีนทุกคนในโรงพยาบาลแห่งนี้
ข่าวลือที่ว่าท่านกำลังจะรับลูกศิษย์คนใหม่ และลูกศิษย์คนนั้นได้รับการแนะนำโดยหลี่เคอหมิง คือสิ่งที่ทุกคนลังเลมาตลอดว่ามันคือความจริงหรือไม่
แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับคำยืนยันแล้วว่าข่าวลือนั้นคือความจริง
“นี่เธอได้ข่าวหรือยัง? ผู้ชายที่ชื่อซูเย่มาฝึกงานในโรงพยาบาลของเราแล้วนะ”
“ดูเหมือนว่าอาจารย์หลี่จากแผนกแพทย์แผนจีนจะพาเขามาฝึกงานด้วยตัวเองเลยล่ะ”
“ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย ไม่รู้ว่าตัวจริงจะรูปหล่อหรือเปล่านะ ถ้าเก่งด้วยแล้วหล่อด้วย ก็ถือว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ”
“งั้นพวกเราไปดูกันเถอะ”
นับจากชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นหกของโรงพยาบาล
นางพยาบาลเกือบทุกคนต่างก็กำลังพูดถึงซูเย่ และก่อนที่จะเริ่มงานอย่างเป็นทางการ พวกเธอก็ทนเก็บความสงสัยไม่ไหว แม้แต่คุณหมอจากหลายแผนกก็พร้อมใจกันยกขบวนตรงมาที่ห้องทำงานของหลี่เคอหมิงด้วยความสามัคคี
หลังจากนั้น
ประตูห้องตรวจคนไข้ของแผนกแพทย์แผนจีนบนชั้นสาม ก็มีพยาบาลสาวในชุดขาวเดินผ่านไปผ่านมาเป็นว่าเล่น
นางพยาบาลทุกคนที่ “เดินผ่าน” หน้าประตูห้องตรวจคนไข้ของหลี่เคอหมิง ต่างก็แอบชำเลืองมองเข้ามาด้านในห้อง
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว”
หลี่เคอหมิงเงยหน้ามองไปที่ประตูห้องของตนเองพร้อมกับยิ้มด้วยความเหนื่อยหน่าย “การทำงานในโรงพยาบาลมันน่าเบื่อ นาน ๆ ทีถึงจะมีเรื่องซุบซิบให้ทุกคนได้ตื่นเต้น พยาบาลพวกนั้นคงอยากเห็นตัวจริงของเธอนั่นแหละนะ”
ซูเย่ยิ้มแย้ม ไม่ว่าอะไร
เมื่อเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเวลา 8:00 น. กลุ่มพยาบาล และคุณหมอที่เดินผ่านหน้าห้องตรวจของพวกเขาก็เริ่มลดน้อยลง
“คนไข้เริ่มมากันแล้วน่ะ พวกเขาคงไม่ว่างเดินมาแอบดูเราอีกแล้ว”
หลี่เคอหมิงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ซูเย่เดินไปนั่งที่โต๊ะตรวจคนไข้
“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
หลี่เคอหมิงก็พยักหน้าบอกให้นางพยาบาลที่ประจำการอยู่หน้าประตูส่งคนไข้คนแรกเข้ามาได้
หลังจากนั้น
ชายชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องตรวจ
“สวัสดีครับ”
ซูเย่ทักทายด้วยความสุภาพ
ชายชรานั่งลง และยื่นแขนออกมาข้างหน้า แต่เมื่อซูเย่กำลังจะเอื้อมมือไปจับชีพจร ชายชรากลับชักมือกลับไปเสียอย่างนั้น
“หืม?”
ซูเย่มองหน้าคนไข้ด้วยความสงสัย
“เขาก็เป็นหมอเหมือนกันครับคุณลุง”
หลี่เคอหมิงอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้น
คนไข้อายุมากมักจะอยากรักษาแต่กับคุณหมอที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเท่านั้น และไม่ค่อยจะเชื่อใจคุณหมอรุ่นใหม่สักเท่าไหร่
“เดี๋ยวผมจะตรวจให้คุณลุงเองครับ ไม่ทราบว่าคุณลุงเป็นอะไรมาเอ่ย?”
ชายชราหันมาชำเลืองมองซูเย่ และพูดว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าหมอคนนี้มาก่อน ดูเหมือนจะเป็นหมอฝึกหัดที่เพิ่งจบใหม่ใช่ไหมเนี่ย สอบผ่านใบอนุญาตแล้วหรือยัง?”
“เรียบร้อยครับ”
ซูเย่ยิ้มเล็กน้อย และหยิบบัตรสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีนออกมาให้ดู
ชายชราเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหมอหนุ่มที่อายุเพิ่งไม่เท่าไหร่ กลับมีสถานะเป็นสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีนแล้วจริง ๆ
แต่ว่า
ชายชราเองก็รู้ดีเช่นกันว่าการสอบผ่านใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีนนั้น ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีใบประกอบโรคศิลป์ และสามารถรักษาคนไข้ทั่วไปได้สักหน่อย
“แต่ผมตั้งใจมาหาคุณหมอนะครับ!” ชายชราไม่สนใจซูเย่ และหันไปพูดกับหลี่เคอหมิงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แต่ไม่ต้องรอให้หลี่เคอหมิงพูดคำใดออกมา ซูเย่ก็กล่าวแทรกขึ้นว่า
“ร่างกายของคุณลุงก็ดูแข็งแรงดีนะครับ แต่ปัญหาอยู่ที่ข้อศอกซ้ายของคุณลุงบวมเล็กน้อย แสดงว่าคงยืดแขนได้ไม่เต็มที่ใช่ไหมครับ”
“และตอนที่คุณลุงนั่งลงเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าข้อเข่าเริ่มมีปัญหาแล้ว คงเกิดอาการปวดขาขึ้นมาได้พักใหญ่”
“นอกจากนั้น คุณลุงยังมีจมูกแดง ลมหายใจร้อนอุ่น แต่ไม่มีเหงื่อออก ทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ตลอดเวลา”
หลังจากนั้น
ซูเย่ก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ “คุณลุงคงมีอาการปวดหัวไม่หายด้วยใช่ไหมครับ?”
ชายชรามองหน้าซูเย่ด้วยความตกตะลึง รีบถามว่า “พ่อหนุ่มรู้ได้ยังไง?”
ซูเย่ไม่ตอบ แต่โบกสะบัดบัตรสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนในมือให้ดูเล็กน้อย
ชายชราผู้เป็นคนไข้ชะงักไปทันที จากนั้น เขาจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่า “ได้เลย ฉันจะยอมตรวจกับพ่อหนุ่มก็ได้ เดี๋ยวนี้พวกคนรุ่นใหม่ก็มีฝีมือดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
พูดจบแล้ว เขาก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าให้ซูเย่ตรวจจับชีพจร
ซูเย่ตรวจชีพจรคนไข้อย่างรวดเร็ว
อาการโดยรวมของชายชราคล้ายกับที่เขาวินิจฉัยด้วยสายตาทุกประการ
เมื่อตรวจสอบอาการขั้นพื้นฐานเสร็จแล้ว ซูเย่ก็จัดการเขียนใบสั่งยาเป็นลำดับต่อมา
หลี่เคอหมิงสังเกตทุกขั้นตอนของชายหนุ่มอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเห็นใบสั่งยาของซูเย่ หลี่เคอหมิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของชายชรายังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย หลี่เคอหมิงจึงหยิบใบสั่งยาของซูเย่ขึ้นมาใช้ปากกาเขียนแก้ปริมาณตัวยาบางอย่าง จากนั้นจึงมอบใบสั่งยาให้ชายชรานำไปรับยาต่อไป
เมื่อเห็นซูเย่มองมาด้วยแววตาสงสัย
หลี่เคอหมิงจึงยิ้มตอบกลับไปว่า “เธอคงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงแก้ใบสั่งยาของเธอทั้งที่มันก็ถูกต้องทุกอย่างแล้ว และปริมาณยาที่ฉันแก้ มันก็ไม่ได้แตกต่างจากปริมาณยาที่เธอกำหนดเลย เพราะอะไรฉันถึงต้องทำแบบนั้น?”
ซูเย่พยักหน้า
หลี่เคอหมิงยิ้มด้วยความเศร้า “ฉันต้องทำเพื่อให้คนไข้เกิดความสบายใจ ถ้าฉันไม่แก้ใบสั่งยาของเธอ คุณลุงคนเมื่อกี้ก็คงไม่กล้ารับประทานยาตามที่เธอบอก หรือถึงจะรับประทานเข้าไป คุณลุงก็จะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ และสงสัยในความสามารถของเธอ และนั่นก็จะส่งผลให้ร่างกายดูดซับตัวยาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่การที่ฉันแก้ไขใบสั่งยาเพียงเล็กน้อย มันก็จะทำให้คนไข้มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น”
ซูเย่พยักหน้าด้วยความเข้าใจขึ้นมาทันที
“เชิญคนต่อไปเข้ามาได้ครับ”
หลี่เคอหมิงตะโกนออกไปนอกห้องตรวจ
คนไข้คนที่สองเดินเข้ามาในห้อง
เธอเป็นเด็กสาวอายุเพียง 16 ปี มีมารดาช่วยประคองเดินเข้ามาด้วยความทะนุถนอม
“คุณหมอขา ลูกสาวฉันข้อเท้าพลิกอีกแล้วค่ะ”
เมื่อเด็กสาวนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจ ผู้เป็นมารดาก็รีบยกเท้าข้างหนึ่งของบุตรสาวขึ้นมาวางพาดไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าซูเย่
“พลิกนานแค่ไหนแล้วครับ?”
ซูเย่ถามหลังจากสำรวจดูข้อเท้าของเด็กสาว
“วันหนึ่งได้แล้วค่ะ” เด็กสาวตอบ ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด “บังเอิญหนูข้อเท้าพลิกระหว่างเดินเล่นน่ะค่ะ”
ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ข้อเท้าของเด็กสาวมีอาการบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด บางส่วนของผิวหนังก็เป็นรอยม่วงช้ำขึ้นมาแล้ว
“คุณหมอหลี่คะ พวกเราต้องมารบกวนคุณหมอเป็นประจำเลย” มารดาของเด็กสาวพูดกับหลี่เคอหมิงด้วยความร้อนใจ “เด็กคนนี้เวลาเดินเหินไม่ค่อยระมัดระวัง ชอบทำตัวเองข้อเท้าพลิกอยู่ตลอด คุณหมอพอจะมีวิธีรักษาให้หายเร็ว ๆ บ้างไหมคะ? ถ้าลูกสาวฉันต้องหยุดโรงเรียนนานไปกว่านี้คงเรียนไม่ทันเพื่อนแน่ ตอนนี้แกเรียนอยู่ม.3 อีกไม่นานก็จะต้องสอบแล้วด้วย”
“มีวิธีอยู่นะครับ”
หลี่เคอหมิงพยักหน้า และหันมาถามเด็กสาว “หนูกลัวเข็มหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่กลัวค่ะ”
เด็กสาวส่ายศีรษะตอบทันที
“ตกลง งั้นเรามาฝังเข็มกันดีกว่า”
หลี่เคอหมิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แววตาของซูเย่เป็นประกายขึ้นมาทันที โอกาสดีของเขามาถึงแล้ว