บทที่ 63 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า
ณ ห้องตรวจคนไข้ ชายชราตบมือลงไปตามกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง แต่แล้วเขาก็ได้พบว่าตนเองไม่ได้พกยามาด้วย
สีหน้าของชายชรายิ่งย่ำแย่กว่าเดิม
เขาหอบหายใจหนักหน่วง มองมาที่ซูเย่ด้วยแววตาแห่งความเจ็บปวด
“ช่วยฉันด้วย…”
ซูเย่รีบรุดทันที
เขาเข้าถึงตัวผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว
“ตาข่ายครอบคลุมพื้นฟ้า เยียวยาความเจ็บปวด!”
ซูเย่ร่ายคาถาออกมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของชายชรา ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เริ่มตรวจสอบอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโดยทันที
ต่อให้เขายังไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง แต่การช่วยชีวิตผู้คนนั้นสำคัญกว่า!
“คงต้องรีบรักษาแล้วล่ะ”
ดวงตาของซูเย่เป็นประกายวาวโรจน์
ในราชวังแห่งความทรงจำ ตำราแพทย์แผนจีนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคหอบหืดปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าเขาจำนวนหลายเล่ม
ซูเย่รีบเปิดดูวิธีรักษาอาการหอบหืดกำเริบอย่างเร่งด่วน!
ในตำราแพทย์แผนจีนเชื่อว่าการที่คนเรามีอาการหอบหืดกำเริบนั้น เป็นเพราะร่างกายมีพลังลมปราณอ่อนแอมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ร่างกายจึงไม่สามารถปรับตัวได้กับอุณหภูมิรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้การทำงานของปอดเกิดความขาดสมดุล ถ้ามีอาการกำเริบเรื้อรัง นั่นก็หมายความว่าพลังลมปราณ และธาตุหยินในร่างกายอยู่ในภาวะขาดพร่องจนน่าเป็นห่วง
และการขาดความสมดุลนั้นจะลุกลามไปที่ม้าม และไตเป็นลำดับต่อไป เมื่อการทำงานของม้ามขาดความสมดุล ก็จะนำมาสู่อาการที่หนักหน่วงมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือมันอาจจะทำให้ไตได้รับความเสียหาย และไตก็เป็นอวัยวะหลักในการสร้างพลังลมปราณให้แก่ร่างกายนั่นเอง
แต่ความหนักหน่วงของอาการหอบหืดกำเริบนั้น สามารถแบ่งแยกออกได้หลายระดับ
ปัจจัยแรกซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรักษาก็คือ ซูเย่ต้องแยกแยะให้ได้ว่าชายชรามีอาการอยู่ในระดับไหนกันแน่
“ผู้ป่วยหายใจลำบากแล้ว แสดงว่ามีอาการอยู่ในระดับหนักสุด!”
ซูเย่มองดูสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากคนไข้มีอาการหนักมาก หากซูเย่อาศัยโอกาสนี้รักษาคนไข้ไปก่อน เขามั่นใจว่าตนเองก็คงได้รับการอนุโลมกระมัง
ขั้นตอนต่อไปก็คือการแยกให้ได้ว่าชนิดของโรคหอบหืดนี้เป็นชนิดร้อนหรือเย็น
การตรวจสอบชีพจร ตรวจดูลิ้น ดวงตาและสีผิวของคนไข้ คือองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เป็นแพทย์แผนจีนระบุได้ว่าสาเหตุของการกำเริบนั้น มาจากความร้อนหรือความเย็นกันแน่ และนั่นก็จะนำไปสู่วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ผู้ป่วยมีอาการไอ รู้สึกหนาว ไม่มีเหงื่อ ลิ้นเป็นฝ้าขาว มือเย็น เท้าเย็น ชีพจรลอย…”
“นี่คือโรคหอบหืดชนิดเย็น!”
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเรียบร้อย ซูเย่ก็เริ่มคิดหาวิธีรักษาเป็นลำดับต่อไป
เขาเปิดดูวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบในตำราแพทย์โบราณอีกครั้ง
วิธีการรักษาคือต้องทำให้ปอดของผู้ป่วยมีความอบอุ่นมากขึ้น และขับไล่ความหนาวเย็นออกไปจากร่างกาย
ผู้ป่วยต้องรับประทานยาจีนตามตำรับที่มีชื่อว่าเสี่ยวชิงหลงทัง
“สูตรยาชนิดนี้สามารถรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซ้ำยังสามารถปรุงรสให้หอมหวาน ด้วยการใส่ขิง ตังกุย มาฮ่วง และดอกโบตั๋น เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทานมากขึ้นได้อีกด้วย!”
ตำรับยาเสี่ยวชิงหลงทัง มีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อเพื่อขจัดภาวะโรคภายนอก อุ่นปอดเพื่อสลายน้ำเสียตกค้าง ขับไล่เสมหะ และบรรเทาอาการไอ
ส่วนผสมที่ต้องใช้ประกอบไปด้วย : แปะก๊วยอบแห้ง มาฮ่วง ตงฮวาอบแห้ง ลูกหม่อนอบแห้ง โซวจี้…
ซูเย่รู้จักส่วนผสมทุกอย่างเป็นอย่างดี
แต่กว่าที่เขาจะต้มยาหม้อนี้เสร็จ มันก็คงสายเกินไป
อีกอย่าง กว่าที่ยาจะออกฤทธิ์ในตัวผู้ป่วย ก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมง
ถึงชายหนุ่มจะมีคาถาเร่งเวลาช่วยลัดขั้นตอนกระบวนการต้มยาได้สำเร็จ แต่มันก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี
ขณะนี้ ชายชราเริ่มมีสีหน้าเจ็บปวดทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความสงสารปรากฏขึ้นในแววตาของซูเย่ และเขาก็ตัดสินใจทำตามความต้องการของตนเอง
“วิธีรักษาเฉพาะหน้าตอนนี้ มีแต่ต้องกดจุดลมปราณเท่านั้น!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ในราชวังแห่งความทรงจำก็ปรากฏบันทึกโบราณเกี่ยวกับตำแหน่งจุดลมปราณในร่างกายมนุษย์ขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มไล่สำรวจดูรายชื่อของจุดลมปราณที่จะช่วยมอบความอบอุ่นให้กับปอด และขับไล่ความหนาวเย็นออกจากร่างกาย
ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว ซูเย่ก็ได้ชื่อของจุดลมปราณมาด้วยกันทั้งหมด 5 ตำแหน่ง
ประกอบไปด้วย จุดเล่ยเชว่ จุดฉื่อเสอ จุดซานจง จุดเฟยหยู และจุดติงชวน!
การกดจุดลมปราณทั้ง 5 ตำแหน่งนี้จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับปอด ขับไล่เสมหะและบรรเทาอาการหอบหืด แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่าชายชรามีอาการไข้ร่วมด้วย ดังนั้น ซูเย่จึงค้นหาดูจุดลมปราณที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาลดไข้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจุด รวมทั้งหมดแล้วจึงเป็นจุดลมปราณ 6 จุด
เมื่อระบุตำแหน่งจุดลมปราณแต่ละแห่งบนร่างกายของชายชราได้อย่างแม่นยำ
ซูเย่ก็เริ่มการกดจุดโดยไม่ลังเล
แม้ว่าในศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อจะมีเครื่องมือ และอุปกรณ์การฝังเข็มอยู่ครบถ้วน แต่ซูเย่ไม่จำเป็นต้องใช้แต่อย่างใด เพราะเขาเคยมีประสบการณ์กดจุดลมปราณช่วยเหลือคุณตาคนเก็บขยะมาแล้ว
ดวงตาของซูเย่เป็นประกายวูบวาบ
พลังลมปราณไหลลงไปผ่านปลายนิ้วชี้ของเขา
พลังลมปราณไหลเวียนลงไปสู่จุดลมปราณบนร่างกายทั้ง 6 ตำแหน่งของชายชรา
ผู้เป็นคนไข้สะดุ้งเฮือกเล็กน้อย มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากตอนที่ได้รับการฝังเข็มจริง ๆ
เมื่อทำการกดจุดครบทุกตำแหน่ง ซูเย่ก็สังเกตสีหน้าของชายชราอย่างใกล้ชิด และรอคอยผลการรักษาด้วยหัวใจที่เต้นระทึก
เพียงไม่นาน ความเจ็บปวดบนใบหน้าของคนไข้ก็หายไป
อาการหอบหืดกำเริบบรรเทาเบาบางลงไปแล้ว
ในที่สุด ชายชราก็สามารถกลับมาหายใจได้เป็นปกติ
เขามองหน้าซูเย่ด้วยแววตาซาบซึ้ง
ซูเย่ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ติ้ง!”
มาแล้วเสียงที่ทำให้หัวใจพองโต
แต้มศีลธรรม +1
นั่นเองซูเย่ถึงได้มั่นใจว่าเขาสามารถช่วยชีวิตชายชราไว้ได้สำเร็จแล้ว
และนี่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หลี่เคอหมิงกลับมาจากโรงพยาบาลข้างเคียงพอดี เขาเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของชายชรา จึงเร่งความเร็วฝีเท้าเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นกังวล
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้ป่วยโรคหอบหืดอาการกำเริบน่ะครับ”
ซูเย่ตอบกลับไปทันที
“โรคหอบหืดกำเริบ? รีบเอาชุดฝังเข็มมา!”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เคอหมิงก็หันไปสั่งงานกับลูกสาว ไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เขานำคนไข้ไปที่โต๊ะตรวจอาการและเริ่มจับชีพจรอย่างเคร่งเครียด
แต่อาจารย์หลี่ก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเพราะพบว่าชีพจรของคนไข้กลับมาเป็นปกติแล้ว!
“หืม? อาการหอบหืดกำเริบหายแล้วหรือ?”
เพราะจากการวินิจฉัยของเขา หลี่เคอหมิงตรวจไม่พบร่องรอยของอาการหอบหืดกำเริบเลยแม้แต่น้อย
“ลูกศิษย์ของคุณหมอนั่นแหละครับที่รักษาผม”
ชายชราผู้เป็นคนไข้พยักหน้ามาทางซูเย่
“ว่าไงนะ?”
พลัน หลี่เคอหมิงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด
นี่คือผู้ป่วยที่มีประวัติเกิดอาการหอบหืดกำเริบขั้นรุนแรงเป็นประจำ ซูเย่เพิ่งมาเรียนพิเศษกับเขาได้ไม่นาน เจ้าเด็กคนนี้ถึงกลับปีกกล้าขาแข็ง ลงมือรักษาคนไข้ด้วยตัวเองแล้วหรือ!
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของผู้เป็นอาจารย์ ชายชราก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่าโทษลูกศิษย์ของคุณหมอเลยครับ มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าลูกศิษย์ของคุณหมอไม่ช่วยไว้ ป่านนี้ผมก็คงตายไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกสบายมากกว่าเดิมอีกครับ ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ของคุณหมอคนนี้จะเก่งเหมือนอาจารย์เลยนะ!”
พูดจบแล้ว ชายชราก็ยกนิ้วโป้งชื่นชมให้กับทั้งผู้ที่เป็นอาจารย์ และลูกศิษย์
“เธอวินิจฉัยโรคได้ยังไง มีขั้นตอนในการรักษาแบบไหน เธอเลือกตำแหน่งจุดลมปราณจากอะไร ทำไมถึงเลือกใช้การรักษาด้วยวิธีนั้น ไหนลองบอกมาให้ฉันเข้าใจหน่อยสิ?”
หลี่เคอหมิงไม่รับฟังคำเยินยอที่ว่า ‘ลูกศิษย์เก่งเหมือนอาจารย์’ ของชายชราแล้ว เขาเพียงอยากรู้ว่าซูเย่สามารถทำได้อย่างไรเท่านั้น
เพื่อที่จะได้รู้ว่าซูเย่พัฒนาความสามารถได้ไกลมากแค่ไหนแล้ว
ชายหนุ่มรวบรวมความคิด ทบทวนการรักษาของตนเองอยู่เล็กน้อย แล้วเขาก็บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมาหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจวินิจฉัยขั้นพื้นฐาน การแยกแยะชนิด และระดับของอาการกำเริบ การคัดเลือกจุดลมปราณ และการจดจำตำแหน่งจุดลมปราณบนร่างกายคนไข้
ตอนแรก หลี่เคอหมิงไม่อยากจะยอมรับความจริง
แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากซูเย่ แววตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความตกตะลึงมากกว่าเดิม
การวินิจฉัย และการรักษาโรคด้วยพื้นฐานการวิเคราะห์จากชีพจร การตรวจลิ้น ดวงตาและสีผิว คือสิ่งที่จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
แต่สำหรับซูเย่ ชายหนุ่มคนนี้กลับสามารถทำได้เหมือนคุณหมอมืออาชีพ
หลังจากนี้ หลี่เคอหมิงก็ไม่มีความรู้อื่นใดที่จะถ่ายทอดให้แก่ซูเย่อีกแล้ว นอกจากลองให้ชายหนุ่มได้มีประสบการณ์รักษาคนไข้ด้วยตัวเองดูจริง ๆ
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ ซูเย่เพิ่งมาเรียนพิเศษที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อได้เพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็มีความเก่งกาจในระดับที่สามารถรักษาคนไข้ได้แล้วหรือ?
หลี่ชินเอ้อที่ยืนรับฟังเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านข้าง ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
เธอมองใบหน้าอันหล่อเหลาของซูเย่ด้วยความสงสัย
และอดประหลาดใจไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นมนุษย์จริง ๆ หรือเปล่า?