บทที่ 71 เซ็นสัญญาหนึ่งล้านหยวน
“บ่ายสองไปรอผมที่ศาลานั่งเล่นในมหาลัยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะคุยรายละเอียดอีกที”
ซูเย่ว่า
“ได้สิ”
หวังป๋อตอบรับอย่างมีความสุข “แล้วเจอกันนะ ฉันจะพาพี่ชายไปด้วย”
…
เวลา 13:45 น.
ซูเย่เดินมาถึงศาลานั่งเล่นในมหาวิทยาลัย และพบว่าหวังป๋อกับลูกพี่ลูกน้องได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นว่าซูเย่มาถึงก่อนเวลานัดหมาย หวังป๋อก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะเป็นคนทำหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันเองนะ นี่คือพี่ชายฉันที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร หวังหงฮัว”
“ส่วนนี่คือซูเย่ครับพี่”
หวังหงฮัวยิ้มแย้มยื่นมือออกมาข้างหน้า จับมือซูเย่เขย่าพร้อมกับกล่าวว่า “ได้ยินว่าน้องซูเย่มีพรสวรรค์สูงส่ง”
ซูเย่เพียงยิ้มตอบกลับไป
หลังจากจัดแจงที่นั่งกันได้เรียบร้อย หวังป๋อก็เข้าสู่ประเด็นการนัดพบในครั้งนี้ทันที “พวกเราล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกันทั้งนั้นอย่าพูดจาอ้อมค้อมเหมือนพวกคนแก่เลยนะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
หวังหงฮัวมองหน้าซูเย่ในขณะที่รับช่วงพูดต่อจากน้องชาย “เรื่องกะหล่ำของนาย ฉันไปตรวจสอบดูแล้ว ในท้องตลาดไม่มีที่ไหนขายหัวกะหล่ำคุณภาพสูงแบบของนายเลย แถมรสชาติหัวกะหล่ำของนายก็ยังอร่อยมากกว่าหัวกะหล่ำในท้องตลาดอย่างเทียบกันไม่ติด”
“ฉันขอถามได้ไหมว่านายมีวิธีปลูกชนิดพิเศษใช่หรือเปล่า?”
ซูเย่พยักหน้า
“นายปลูกด้วยวิธีไหน?”
“วิธีที่ผมคิดขึ้นมาเอง”
ซูเย่ตอบรับเสียงเรียบ
หวังป๋อกับหวังหงฮัวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับชะงักไปทันที พวกเขาเข้าใจว่าซูเย่มีสูตรการปลูกหัวกะหล่ำชนิดพิเศษที่ถ่ายทอดกันมาในวงศ์ตระกูล แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับเป็นคนคิดค้นวิธีการปลูกขึ้นมาเอง
ตกลงคณะที่เขาเรียนมันเป็นคณะวิจัยหัวกะหล่ำหรืออย่างไร?
“พูดจริงเหรอ?”
หวังหงฮัวถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
“พูดจริงครับ”
ซูเย่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้น เราก็มาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลยเถอะ ฉันอุตส่าห์มาหานายถึงที่ ก็เพื่ออยากจะถามว่าเรามาร่วมธุรกิจกันได้ไหม?”
หวังหงฮัวพยายามควบคุมไม่ให้ความกระตือรือร้นปรากฏออกมาทางสีหน้ามากเกินไป
“ได้สิครับ”
ซูเย่พยักหน้า และพูดต่อ “แต่กว่าที่หัวกะหล่ำชุดใหม่จะโตเต็มวัย ก็คงอีกเดือนกว่า ๆ ไม่รู้ว่าทางคุณจะรอได้หรือเปล่า”
“อีกเดือนกว่า ๆ เลยเหรอ?”
หวังหงฮัวที่ตอนแรกยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข กลับต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่งอีกครั้ง
นานเกินไปหน่อยไหม!
“ขอเร็วกว่านั้นสักนิดได้หรือเปล่า?”
ซูเย่ส่ายหน้าปฏิเสธ “อันนี้คือเร็วที่สุดแล้วครับ”
หัวกะหล่ำที่โตเต็มวัยต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวกันประมาณสามเดือน การที่ซูเย่สามารถขนส่งผลผลิตได้ในเวลาแค่เดือนเศษ ก็นับว่าเป็นการร่นเวลาที่รวดเร็วมากที่สุดแล้ว
หวังหงฮัวนิ่งคิดอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ตัดสินใจได้ว่าเวลาอีกเดือนเศษหลังจากนี้ ร้านอาหารของเขายังคงเปิดขายได้ต่อไปอย่างไม่มีปัญหา “ตกลง ฉันยอมรับข้อเสนอของนาย”
เขาพูด และใช้สายตาจ้องมองนักศึกษาหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ฉันอยากเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจของเรา ฉันอยากซื้อสูตรการปลูกหัวกะหล่ำของนาย”
“ฉันให้ราคานี้กับนายเลยนะ”
“ห้าแสนหยวน!”
หวังหงฮัวมั่นใจว่าราคานี้ต้องทำให้นักศึกษาหนุ่มตกใจแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับส่ายศีรษะปฏิเสธด้วยความเฉยเมย
“หืม?”
หวังหงฮัวไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธข้อเสนอของเขา
สำหรับชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหาร นี่คือราคาที่สูงมากสำหรับนักศึกษาสักคนหนึ่ง
“จะไม่ลองคิดดูสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่ต้องลองคิดหรอกครับ”
“ในเมื่อนายไม่อยากขายสูตรการปลูกหัวกะหล่ำ งั้นเรามาเป็นหุ้นส่วนในการร่วมผลิตก็ได้”
เมื่อหวังหงฮัวเห็นว่าแผนการที่ได้กำไรมากที่สุดกลับล่มไม่เป็นท่า ดังนั้น เขาจึงหาทางเจรจาต่อรองที่จะทำให้ซูเย่ได้กำไรมากขึ้น เพราะถึงอย่างไรนั้น ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในขณะนี้ ก็คือเขาไม่ใช่ซูเย่
“คงไม่เหมาะหรอกมั้งครับ”
ซูเย่ส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง
หวังหงฮัวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าหนุ่มคนนี้ถึงได้เอาแต่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาตลอดเวลา?
สุดท้าย หวังหงฮัวก็ได้ตระหนักแล้วว่าเวลานี้ตนเองไม่ควรเล่นเหลี่ยมกับอีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์ สู้สอบถามออกไปตรง ๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ
“ถ้างั้นนายต้องการเท่าไหร่?”
“หนึ่งล้านหยวนครับ”
ซูเย่ให้คำตอบออกมาในที่สุด
“สำหรับสูตรการปลูกหัวกะหล่ำของนายใช่ไหม?”
หวังหงฮัวถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
หนึ่งล้านหยวนสำหรับการซื้อสูตรปลูกหัวกะหล่ำ ที่จะทำให้เขาสามารถทำเงินได้เยอะกว่านั้นอีกหลายสิบเท่า
“ไม่ใช่ครับ”
ซูเย่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง “เป็นค่าเซ็นสัญญาที่รับประกันว่า ผมจะไม่ขายหัวกะหล่ำให้ร้านอาหารร้านอื่นต่างหาก!”
หวังหงฮัวถึงกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
สมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ
เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องการเงินหนึ่งล้านหยวน เพื่อเป็นค่าจ้างในการลงนามบนสัญญาผูกขาดการซื้อขายหัวกะหล่ำแต่เพียงผู้เดียว
กล่าวคือ หวังหงฮัวต้องจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนก้อนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ซูเย่ขายหัวกะหล่ำให้กับร้านอาหารอื่น ๆ
นี่ไม่ใช่การจ่ายเงินที่สมเหตุสมผลในแง่ของการทำธุรกิจ
“ฉันว่าน้องชายอยากจะกินเนื้อก้อนโตเกินไปหน่อยนะ”
หวังหงฮัวเป็นฝ่ายที่ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปบ้าง “ฉันเข้าใจว่ากะหล่ำของนายมันดีกว่าในท้องตลาด แต่นายก็ควรจะรู้ว่าเงินก้อนใหญ่ถึงหนึ่งล้านหยวนเนี่ย ฉันเอาไปทุ่มทุนกับงานวิจัยวิธีปลูกหัวกะหล่ำให้อร่อยได้เลยนะ แถมมันอาจจะดีกว่าหัวกะหล่ำของนายด้วยซ้ำ”
“แน่ใจนะครับ?”
ซูเย่คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถ้างั้นก็เชิญไปวิจัยได้ตามสบาย”
“อีกอย่าง ถึงผมจะเป็นเพียงนักศึกษา แต่ผมก็ไม่ได้โง่ ผมรู้ว่าหัวกะหล่ำพวกนี้มีมูลค่าขนาดไหน เพราะฉะนั้นลายเซ็นของผมในสัญญาการซื้อขาย นับเป็นราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ทางคุณเมื่อได้รับผลผลิตของผมไป ก็ยังสามารถเอาไปทำเงินต่อยอดได้อีกหลายช่องทาง”
ความจริงซูเย่รู้อยู่เต็มอกว่าการทำสวนกะหล่ำไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ทุนจำนวนไม่ใช่น้อย และแน่นอนว่าเขากำลังต้องการเงินก้อนโต
หากไม่มีเงินหนึ่งล้านหยวนก้อนนี้ เขาก็ไม่มีทางทำสวนกะหล่ำได้เด็ดขาด
เมื่อชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารได้ยินดังนั้น เขาก็รู้แล้วว่านักศึกษาหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดจ้านไม่น้อยทีเดียว
หวังหงฮัวหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วที่จะมานั่งเล่นแง่กับซูเย่
“หนึ่งล้านหยวนมันมากเกินไป ฉันไหวแค่ห้าแสน” เขาว่า
ซูเย่ยังคงส่ายหน้า “นี่ผมลดราคาให้ต่ำสุดแล้วนะครับ”
“พี่ครับ ในฐานะที่เป็นพ่อครัว ผมไม่เคยเจอกะหล่ำที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน ผมว่านี่เป็นของดีที่เราจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด”
หวังป๋อส่งเสียงพูดออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเจรจาธุรกิจเปิดฉากขึ้น
เพราะเขารู้สึกว่าพี่ชายของตนเองประเมินคุณค่าของหัวกะหล่ำต่ำมากเกินไป
หวังหงฮัวไม่ตอบรับคำใด
หัวกะหล่ำพวกนี้เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว
ในที่สุด หวังหงฮัวก็ทำลายความเงียบด้วยการถามว่า
“นายสามารถการันตีคุณภาพได้หรือเปล่า?”
“ได้ครับ”
“แล้วฉันต้องซื้อจากนายในราคาเท่าไหร่?”
“หัวละสามหยวน ราคาต่ำกว่าในท้องตลาดอีกครับ”
หวังหงฮัวต้องชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ
เขานึกว่าซูเย่จะขูดเลือดขูดเนื้อหยดสุดท้าย ด้วยการขายหัวกะหล่ำราคาแพง ๆ จึงคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะเสนอราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดออกมาเช่นนี้
ราคาซื้อขายในปัจจุบัน หากต้องการซื้อหัวกะหล่ำธรรมดาก็มีราคาหัวละสี่หยวนแล้ว การที่ซูเย่ขายให้เขาในราคานี้ ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก
“แล้วนายมีของอยู่เท่าไหร่?”
“เพียงพอที่คุณจะเอาไปทำอาหารในร้าน แล้วก็พอที่คุณจะนำมันไปวางขายได้ครับ”
ดวงตาของหวังหงฮัวเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
ถ้าสามารถสร้างรายได้จากทั้งสองทาง อย่างไรการจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนในครั้งนี้ คงไม่มีทางขาดทุนเป็นแน่แท้
“ถ้ากะหล่ำของนายไม่ได้คุณภาพอย่างที่คุยเอาไว้ แล้วฉันจะทำยังไงกับกะหล่ำส่วนที่เหลือล่ะ? เรามาเขียนสัญญาตกลงกันไว้ก่อนดีไหม?”
หวังหงฮัวมองหน้าซูเย่พลางถามคำถามสุดท้าย ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด
“ผมก็จะเอามันไปวางขายตามท้องตลาด ขายให้กับชาวบ้านทั่วไป แต่จะไม่ขายให้แก่ร้านอาหารร้านอื่นแน่นอน”
ซูเย่ให้คำตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังหงฮัวก็นิ่งเงียบอยู่อีกอึดใจใหญ่
“ตกลง”
ในที่สุดชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอ
ด้วยความที่อยู่วงการค้าขายมานานหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังหงฮัวต้องเจรจาธุรกิจในรูปแบบนี้ ดังนั้นก่อนมาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาจึงเตรียมคำถาม และคำตอบทั้งหมดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
หวังหงฮัวมั่นใจว่าการเจรจาครั้งนี้ต้องผ่านไปอย่างราบรื่น เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา ไม่มีทางไล่ทันชั้นเชิงทางธุรกิจของเขาแน่ ๆ
แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับรู้ทันเขาทุกอย่าง
หวังหงฮัวมองหน้านักศึกษาหนุ่มด้วยความเยือกเย็น
เขามั่นใจถึง 80% ว่าเด็กคนนี้ต้องมีญาติพี่น้องอยู่ในวงการธุรกิจแน่นอน
ในเวลาเดียวกันนี้ ซูเย่กำลังนึกถึงชาวบ้านในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุน จึงพูดว่า
“ผมต้องการเงินโดยเร็วที่สุด ถ้าได้วันนี้เลยก็จะดีมากครับ”
“เอาวันนี้เลยหรือ?”
หวังหงฮัวกับหวังป๋อมองหน้าซูเย่ด้วยความประหลาดใจ เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา จะรีบร้อนใช้เงินอะไรขนาดนี้?
ซูเย่ผงกศีรษะ “ยิ่งคุณจ่ายเงินผมเร็วเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้หัวกะหล่ำเร็วเท่านั้น”
“ไม่มีปัญหา!”
หวังหงฮัวตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เดี๋ยวฉันจะรีบให้ลูกน้องเขียนสัญญาส่งมาเลยแล้วกัน ระหว่างที่รอ พวกเราไปหาอะไรกินที่ร้านกาแฟดีกว่า”
ระหว่างที่พูด ชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปสั่งงานลูกน้อง พร้อมกันนั้นเขาก็ชักชวนให้ซูเย่ไปที่ร้านกาแฟพร้อมกับตนเอง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ลูกน้องของหวังหงฮัวก็ปรินต์ใบสัญญา และนำมาส่งให้ถึงที่ร้านกาแฟ
ซูเย่มองเพียงปราดเดียวก็ดูออก
สัญญาฉบับนี้ถูกเตรียมเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว และมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในสัญญาเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะไม่มีทางที่หวังหงฮัวจะมาตกลงเรื่องธุรกิจกับเขาโดยไม่เตรียมตัว
หลังอ่านรายละเอียดในสัญญาอย่างรอบคอบ ซูเย่ก็จรดปลายปากกาเซ็นชื่อลงไปบนสัญญาโดยไม่มีปัญหา
หวังหงฮัวก็เซ็นชื่อของตนเองลงไปโดยไม่ลังเลเช่นกัน
เมื่อมีการลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการ เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนก็ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของซูเย่
“รับรองว่าในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนครึ่ง หัวกะหล่ำล็อตแรกจะถูกส่งให้กับทางร้านของคุณแน่นอนครับ”
ซูเย่รับปาก
“เยี่ยม”
หวังหงฮัวพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน”
หลังจากตรวจสอบดูว่าเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยดีแล้ว
ซูเย่ก็เดินถือใบสัญญาออกไปจากร้านกาแฟ
หวังหงฮัวมองแผ่นหลังของนักศึกษาหนุ่มหายลับไปจากสายตาด้วยความขมขื่น ก่อนจะหันมาพูดกับผู้เป็นน้องชายว่า “เด็กคนนี้เป็นใครกันเนี่ย? ขนาดมีเงินล้านนึงโอนเข้าบัญชี สีหน้ายังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด”
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยครับพี่”
หวังป๋อนึกถึงท่าทีในการเจรจาธุรกิจอย่างมีชั้นเชิงของซูเย่ จากนั้นเขาก็หันมามองหน้าผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
“แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมเห็นพี่เชื่อใจใครสักคนขนาดนี้ พี่ไม่กลัวว่าเขาจะเอาเงินล้านนึงหนีไปหรือไงครับ บอกไว้ก่อนนะว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม ต่อให้เขาหนีไปจริง ๆ ผมก็ไม่ไปเป็นพ่อครัวให้กับร้านของพี่แน่”
“ฮ่าฮ่า”
หวังหงฮัวระเบิดเสียงหัวเราะ “คนทำธุรกิจอย่างฉัน ต้องกล้าได้กล้าเสียแบบนี้แหละ”
“ที่ฉันยอมจ่ายเงินให้เขาง่าย ๆ ไปแบบนั้น นายต้องไม่ลืมว่าเขามีสถานะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่นี่ ไม่มีทางเชิดเงินฉันหนีไปได้ตามใจชอบอยู่แล้ว เพราะถ้าฉันอยากจะตามตัวขึ้นมา ทางมหาวิทยาลัยก็คงมีข้อมูลให้ตามเอาผิดเขาได้ไม่ยากเท่าไหร่”
แต่จากนั้น ชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารก็ทอดสายตามองไปยังทิศทางที่ซูเย่เดินหายไป พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม “แต่ถ้าเกิดเขาหนีไปจริง ๆ ฉันก็คงไม่ทำอะไรหรอก ถือเสียว่าเงินหนึ่งล้านหยวนก้อนนี้ แทนคำขอบคุณจากฉันที่เขายอมไปพบคุณปู่เฉินก่อนตายก็แล้วกัน”
หวังป๋อพยักหน้าเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรออกมาอีก
…
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ซูเย่กับหลี่เคอหมิงก็เดินทางไปที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนอีกครั้ง
พื้นที่ทุ่งข้าวโพดที่ถูกไฟไหม้ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อย
บริเวณซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งบ้านไม้ของคุณยายต้นเพลิง ก็ได้รับการเก็บกวาดทำความสะอาดเป็นอย่างดีเช่นกัน
แม้เปลวไฟจะดับลงไปแล้ว แต่ความเสียหายยังคงอยู่
กว่าที่จะสามารถปลูกข้าวโพดกันได้อีก ชาวบ้านก็คงต้องรอไปจนถึงปีหน้า
ยังคงมีผู้คนจำนวนมากมายืนต่อแถวเข้าคิวเพื่อรอรับการตรวจจากคุณหมอหนุ่ม
ซูเย่ค้นพบได้โดยทันทีว่าอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านตกอยู่ในความเศร้าโศก พวกเขายืนต่อแถวอยู่ในความเงียบ พูดคุยกันบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่เคอหมิงคาดเดาได้ถูกต้อง อารมณ์ความรู้สึกสามารถส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีร่างกายอ่อนแอมากขึ้นในช่วงเวลาเพียงคืนเดียว
ซูเย่มองหน้าคนไข้ของตนเองด้วยแววตาจริงจัง
การตรวจชาวบ้านดำเนินไปจนถึงเวลา 21:30 น.
ในขณะที่กำลังเดินทางกลับกันนั้น ซูเย่ขอตัวลงจากรถแท็กซี่กลางทาง ด้วยข้ออ้างที่บอกว่าเขามีธุระต้องไปทำ
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ซูเย่ก็กลับมาที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนอีกครั้ง และเขามุ่งหน้าตรงไปที่บ้านของผู้เฒ่าหลี่
“คุณหมอกลับไปพร้อมอาจารย์หลี่แล้วไม่ใช่หรือครับ? หรือว่าคุณหมอลืมอะไรไว้แถวนี้?”
ผู้เฒ่าหลี่ถามด้วยความแปลกใจ
“ผมขอถามหน่อยสิครับว่าหลังเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวาน ทุกคนเป็นยังไงบ้าง?”
ซูเย่สอบถาม
ชายชราเชิญซูเย่เข้าไปนั่งในบ้าน แต่ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยความสุภาพ ผู้เฒ่าหลี่จึงต้องนำเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งมาตั้งให้เขา ส่วนตนเองนั้นนั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านในความมืด
“เฮ้อ…”
ผู้เฒ่าหลี่ถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความขมขื่น ริ้วรอยแห่งความชราบนใบหน้าเด่นชัดมากขึ้นกว่าเคย “เมื่อวานนี้ที่ดินของหมู่บ้านเราโดนไฟไหม้ไปเกือบ 500 ไร่ เรียกได้ว่าข้าวโพดของชาวบ้านเกือบทุกหลังคาเรือน ถูกไฟไหม้หายวับไปในพริบตาเดียว…”
เมื่อวานนี้มีบริเวณที่ถูกไฟไหม้มากถึง 500 ไร่เชียวหรือ?
แล้วผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านก็ได้รับความเสียหายในอัคคีภัยครั้งนี้ด้วย
ซูเย่เริ่มคำนวณอย่างรวดเร็ว และสอบถามต่อ “ในเมื่อทางชาวบ้านไม่สามารถทำอะไรกับที่ดินพวกนี้ได้แล้ว ไม่ลองประกาศหาคนเช่าดูล่ะครับ?”
“ผู้ใหญ่บ้านเขาลองประกาศดูแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเลย อีกอย่างที่นี่ก็อยู่ห่างไกลเขตเมือง น่าจะหาคนสนใจยากอยู่แหละนะ”
“แต่ถ้าเกิดมีคนสนใจ ทางชาวบ้านจะปล่อยเช่าไร่ละเท่าไหร่หรือครับ?”
ซูเย่ถามออกมาอีกครั้ง
“เอาตามราคาที่หมู่บ้านข้าง ๆ เขาปล่อยเช่าก็แล้วกันนะ เห็นว่าได้อยู่ที่ไร่ละ 500 หยวนละมั้ง”
ผู้เฒ่าหลี่ตอบ
“งั้นผมขอเช่าจากชาวบ้านไร่ละ 1,500 หยวนก็แล้วกันครับ”
ซูเย่พูด
“หา?”
ชายชรานึกว่าตนเองหูฝาด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของซูเย่ ผู้เฒ่าหลี่ก็ต้องลุกพรวดยืนขึ้นมาด้วยความตกใจ
เขามองหน้าคุณหมอหนุ่มด้วยความไม่อยากเชื่อ
แค่ไร่ละ 500 หยวนก็หาคนเช่าไม่ได้แล้ว
แต่นี่คุณหมอหนุ่มจะเช่าที่พวกเขาไร่ละ 1,500 หยวนเลยหรือ?