บทที่ 137 โอสถวิเศษ…จะกินหรือไม่กินดีนะ?
“อย่างแรก คุณบอกว่านี่เป็นหม้อปรุงยาจากยุคจักรพรรดิเซวียนเต๋อ แต่อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในยุคจักรพรรดิเซวียนเต๋อนั้น หาที่ทำจากทองแดงได้น้อยมาก เพราะเมื่อองค์จักรพรรดิ์เซวียนเต๋อแผ่ขยายอิทธิพลไปกว้างไกล ท่านก็ได้รับของบรรณาการจากประเทศไทยเป็นทองเหลืองจำนวนมาก”
ซูเย่พูด
สีหน้าเจ้าของร้านแปรเปลี่ยนไปทันที
“อย่างที่สอง ตัวอักษรที่สลักอยู่บนหม้อปรุงยาใบนี้ ไม่ใช่ตัวอักษรโบราณแบบที่พวกเขาเคยใช้กันในอดีต และถ้าสังเกตดูให้ดี คุณจะเห็นว่ามันเป็นตัวอักษรจีนที่นิยมใช้กันในยุคหลังด้วยซ้ำ”
เจ้าของร้านกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดรอดออกมาจากปากอีกเลย
“อย่างที่สาม ขึ้นชื่อว่าเป็นของเก่าย่อมต้องมีร่องรอยผ่านกาลเวลามาไม่น้อย แต่หม้อใบนี้พื้นผิวยังมีความสมบูรณ์ดีทุกตารางนิ้ว เห็นได้ชัดว่าผ่านการพ่นสีมาเป็นอย่างดี”
ซููเย่หยุดเล็กน้อย ก่อนถามยิ้ม ๆ ว่า “ให้ผมพูดต่ออีกไหมครับ?”
ความมั่นอกมั่นใจและถือดีก่อนหน้านี้ของเจ้าของร้านสลายหายไปสิ้น
สำหรับคนค้าขายวัตถุโบราณ ค้าขายหนึ่งครั้งสามารถกินยาวได้สามปี แต่สำหรับลูกค้าที่เล่นวัตถุโบราณเหล่านั้น มีน้อยคนมากที่จะสามารถมองออกว่า สินค้าชิ้นใดเป็นของแท้หรือว่าของปลอม
คิดไม่ถึงเลยว่าลูกค้ารายนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุโบราณตัวจริงเสียงจริง
“เอาเป็นว่าผมขอซื้อในราคา 200 หยวน ก็แล้วกันนะครับ?”
ซููเย่ต่อรองราคา
ถึงหม้อปรุงยาใบนี้จะเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาใหม่ แต่มันก็ทำขึ้นมาจากทองแดงบริสุทธิ์ ซึ่งเหมาะสมสำหรับการนำไปหลอมโอสถด้วยวิธีการแบบโบราณที่สุด
“ขอเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้หรือ”
เจ้าของร้านฝืนยิ้มตอบกลับมา
ความจริงแล้ว ถ้าขายออกไปตอนนี้ เขาก็ไม่ได้ขาดทุนด้วยซ้ำ เพราะหม้อปรุงยาทองแดงใบนี้ เจ้าของร้านซื้อมาในราคาแค่ 100 หยวน เท่านั้นเอง
“ผมให้ได้แค่ 200 หยวน ครับ”
ซููเย่ส่ายหน้าปฏิเสธ
เจ้าของร้านถอนหายใจเหมือนหนักใจเต็มที่ ก่อนจะกัดฟัน ผงกศีรษะ
“ตกลง สองก็สองร้อย หม้อใบนี้ผมยกให้คุณ”
ซููเย่จัดการจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหิ้วหม้อปรุงยาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งก็โอบกอดกระถางต้นเบญจมาศ เดินกลับไปหาหลี่เคอหมิง
“นายรู้เรื่องวัตถุโบราณกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?”
หลี่เคอหมิงมองลูกศิษย์ของตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อ
“พอรู้บ้างนิดหน่อยน่ะครับ”
ซููเย่ยิ้มตอบ
หลี่เคอหมิงพูดอะไรไม่ออก
เจ้าหนุ่มคนนี้รอบรู้ไปเสียทุกเรื่องเลยหรืออย่างไร?
คงเป็นเพราะมีความจำดีมากกว่าคนทั่วไปสินะ?
เมื่อเดินมาถึงประตูทางออกของตลาดขายสมุนไพรจีน ซููเย่ก็หยุดชะงักและหันกลับไปปล่อยพลังจิตเพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง เป็นการทำให้แน่ใจว่าไม่มีสมุนไพรบรรจุพลังปราณธรรมชาติชิ้นใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“ทีนี้ก็มีวัตถุดิบครบแล้วนะ”
ซููเย่พึมพำอย่างอารมณ์ดีระหว่างนั่งรถแท็กซี่กลับออกมาจากตลาด เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการมาเรียบร้อยแล้ว
“คืนนี้ก็ได้เวลาหลอมโอสถกันสักที!”
…
ช่วงเย็น ซููเย่กลับไปที่ตัวเมืองจี้หยาง เมื่อรวบรวมสมุนไพรและอุปกรณ์สำหรับการหลอมโอสถได้ครบถ้วน ชายหนุ่มก็เดินออกจากเขตมหาวิทยาลัย มุ่งหน้าตรงไปยังเขตที่เป็นหุบเขาและป่าทึบซึ่งตั้งอยู่ย่านชานเมือง
เขาสำรวจเส้นทางผ่านแผนที่ดาวเทียมในโทรศัพท์มือถือ หลังข้ามภูเขาสูงมาได้ลูกหนึ่ง ซููเย่ก็มาถึงพื้นที่ริมลำธารกลางป่า ซึ่งมีสายน้ำบริสุทธิ์ไหลผ่านตลอดเวลา
“ที่นี่แหละทำเลดีมาก”
ซููเย่เลือกสถานที่สำหรับการหลอมโอสถเป็นพื้นที่ราบริมน้ำบริเวณหนึ่ง
หลังจากนั้น เขาก็นำกิ่งไม้และก้อนหินมาวางไว้เป็นค่ายอาคมบนพื้นดิน
“เปิดผนึกมนตรา!”
เมื่อใช้กิ่งไม้ขีดเขียนอักขระค่ายอาคมบนพื้นดินเสร็จเรียบร้อย พลังปราณธรรมชาติที่อยู่รอบกายก็ถูกดูดเข้ามาเป็นจุดเดียว
ซููเย่เตรียมพร้อมสำหรับการหลอมโอสถ
วิธีการที่เขากำลังจะใช้ต่อไปนี้คือ หลักสูตรที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ
การหลอมโอสถหนึ่งครั้ง จำเป็นต้องเลือกทำเลตั้งเตาให้ดีที่สุด พื้นที่โดยรอบควรประกอบด้วยน้ำและไฟ
และเหตุผลที่ซููเย่เลือกตั้งเตาในบริเวณนี้ ก็เป็นเพราะว่ามันอยู่ติดลำธาร สามารถทำความสะอาดและทำลายหลักฐานได้อย่างง่ายดาย
อีกอย่าง โอสถที่ถูกหลอมขึ้นมาในป่าลึก จะมีพลังปราณธรรมชาติบริสุทธิ์มากกว่าโอสถทั่วไป
และอุปกรณ์สำหรับการหลอมโอสถก็ไม่มีสิ่งใดจะดีมากกว่าหม้อปรุงยาทองแดงอย่างที่ซููเย่ซื้อมาอีกแล้ว
ส่วนสำคัญที่สุดนอกจากนี้คือ การใช้ไฟ
วิธีการใช้ไฟมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ
การหลอมโอสถแต่ละชนิด จำเป็นต้องใช้ไฟที่แตกต่างกันไปตามวัตถุดิบและพื้นที่สภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับประสบการณ์ของผู้หลอมโอสถด้วยเช่นกัน
สำหรับจอมยุทธ์ยุคใหม่ พวกเขาลืมเลือนทักษะเรื่องการหลอมโอสถไปนานแล้ว
แต่สำหรับซููเย่ นี่คือสิ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มนำเศษหยกปราณธรรมชาติ ต้นโซวูร้อยปี ผลวอลนัทวิเศษ เม็ดบัว เมล็ดลูกหม่อน และเก๋ากี้ออกมาอย่างช้า ๆ
เขาจัดการปอกเปลือกผลวอลนัท ชะล้างทำความสะอาดด้วยน้ำจากในลำธาร…
ซููเย่เก็บกิ่งไม้มากองรวมกันก่อตั้งเป็นกองไฟ และไฟของเขาไม่ได้ถูกจุดด้วยวิธีการธรรมดา แต่มันเป็นไฟที่จุดขึ้นมาด้วยพลังลมปราณ
“ฟู่…”
รอบบริเวณที่มืดมิด พลันสว่างไสวด้วยแสงจากกองไฟ
ซููเย่โยนต้นโซวูร้อยปีใส่ลงไปในหม้อปรุงยาก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยผลวอลนัทวิเศษ เม็ดบัว เมล็ดลูกหม่อนและเก๋ากี้
วัตถุดิบอย่างสุดท้ายที่ใส่ลงไปคือ น้ำผึ้ง เพื่อให้สมุนไพรเกาะตัวเป็นก้อน
ต่อมา ชายหนุ่มโคจรพลังลมปราณลงไปที่มือของตนเอง เขาใช้มันตบเข้าไปที่ด้านข้างของหม้อปรุงยาเป็นระยะ เพื่อให้พลังลมปราณแทรกซึมเข้าไปหลอมรวมสมุนไพรทุกอย่างเข้าด้วยกัน
ไม่นานหลังจากนั้น
กลิ่นของสมุนไพรก็ลอยขึ้นมาจากหม้อปรุงยา
ซููเย่นำเศษหยกปราณธรรมชาติโยนใส่ลงไป
แล้วกลิ่นแสบจมูกในอากาศก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นกลิ่นหอมสดชื่น
“เกือบเสร็จแล้ว”
ซููเย่ยิ้มด้วยความพอใจ
แค่สูดดมกลิ่นสมุนไพรเข้าไป เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
“ฟ้าดินส่งมอบพลังหลอมรวมโอสถ!”
ทันใดนั้น ซููเย่โคจรพลังลมปราณเข้าใส่หม้อปรุงยาอีกชุดใหญ่ เพื่อหลอมรวมก้อนสมุนไพรให้เปลี่ยนรูปทรงกลายเป็นเม็ดยาลูกกลอน
นี่คือวิธีการที่แตกต่างจากการปรุงยาในยุคปัจจุบัน
ในยุคโบราณนั้น หากผู้หลอมโอสถไม่มีพลังลมปราณ ก็จำเป็นต้องใช้แป้งผสมลงไป เพื่อให้สามารถปั้นสมุนไพรเป็นยาลูกกลอนได้สำเร็จ
นี่คือวิธีการเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาช้านาน จนกลายมาเป็นวิธีการปรุงยาในปัจจุบัน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป การเติมแป้งลงไปเป็นส่วนประกอบจะทำให้คุณภาพของยาลูกกลอนที่ได้ออกมานั้นลดประสิทธิภาพลงไปเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้รูปร่างของยาลูกกลอนผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนในยุคโบราณจึงนิยมหลอมโอสถด้วยพลังลมปราณมากที่สุด
ไม่กี่อึดใจต่อมา
“แก๊ง!”
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระทบลงไปที่ก้นหม้อทองแดง
“เสร็จแล้ว!”
ซููเย่โบกสะบัดมือ แล้วกองไฟจากพลังลมปราณของเขาก็ดับวูบลง
เขาเปิดฝาหม้อออกโดยไม่ต้องรอให้มันเย็นลง
แล้วยาลูกกลอนสีดำกลมเกลี้ยงแวววาวสะท้อนประกายกับแสงดาวบนท้องฟ้าเม็ดหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากด้านในหม้อปรุงยา
“เอาเถอะ ถึงคุณภาพของมันจะไม่ดีเหมือนที่เราเคยหลอมได้ในอดีต แต่ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของซููเย่
นับว่าเขาไม่เสียแรงเปล่าแล้วจริง ๆ
แต่ก่อนที่ยาลูกกลอนสีดำนั้นจะลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซููเย่ก็ยื่นมือออกไปหยิบมันเอาไว้ จากนั้นจึงทำท่าจะนำมันเข้าใส่ปากเพื่อกลืนลงคอ
แต่เขากลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
“ไม่ได้!”
ดวงตาของซููเย่เป็นประกายแวววาว
เขาจะกินมันตอนนี้ไม่ได้
ซููเย่พบว่าตนเองมองข้ามสิ่งสำคัญไปเรื่องหนึ่ง
และสิ่งนั้นก็คือ นับตั้งแต่ยุคโบราณนานมาจนถึงยุคปัจจุบัน ในบรรดาผู้ที่รับประทานโอสถทะลวงปราณนั้น ยังไม่เคยมีใครสามารถเปิดจุดลมปราณได้ครบถ้วน 720 จุดในครั้งเดียวมาก่อน รวมถึงตัวของซููเย่ด้วยเช่นกัน
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อรับประทานโอสถทะลวงปราณเข้าไปแล้ว มันก็จะมีสรรพคุณช่วยเปิดจุดลมปราณได้ทั้งสิ้น 365 จุด
หากซููเย่รับประทานยาลูกกลอนเม็ดนี้เข้าไป แล้วเขาจะทำอย่างไรกับจุดลมปราณอีก 355 จุดที่เหลืออยู่ล่ะ?
ถ้าการคาดเดาของชายหนุ่มถูกต้อง โอสถทะลวงปราณเม็ดนี้ คงสามารถเปิดจุดลมปราณได้แค่ 365 จุดเท่านั้น
“ถ้ากินเลยตอนนี้ ร่างกายของเราก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม จุดลมปราณทั้ง 365 จุดจะถูกเปิดผนึกออกทั้งหมด แต่นั่นก็จะหมายความว่า…”
ซููเย่ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
จุดลมปราณที่เหลืออยู่อีก 355 จุดจะถูกปิดตายอย่างไร้ค่า!
แล้วเขาจะทำอย่างไรดี?
ซููเย่รู้สึกลำบากใจขึ้นมาแล้ว
ชายหนุ่มตกอยู่ในความลังเล
จะกินหรือไม่กินดีนะ?
ในอดีต ไม่เคยมีการบันทึกเอาไว้เสียด้วยว่าจะเปิดจุดลมปราณพิเศษอีก 355 จุดได้อย่างไร
ความต้องการที่แท้จริงของซููเย่คือการเปิดจุดลมปราณให้ได้ทั้งหมด 720 จุด เพราะนี่นับเป็นเรื่องใหม่ที่เขาต้องลองสำรวจดูด้วยตัวเองเท่านั้น
ชายหนุ่มตั้งสมาธิ
คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
โอสถเม็ดนี้สามารถเปิดจุดลมปราณได้ 365 จุด ในร่างกายของเขามีจุดลมปราณอยู่ทั้งหมด 720 จุด ถ้าเขากินมันเข้าไปในตอนนี้ ก็ต้องทำใจปล่อยให้จุดลมปราณอีก 355 จุดเสียเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์
หรืออีกอย่าง
เขาต้องค่อย ๆ ไล่เปิดจุดลมปราณด้วยตัวเองให้ได้ก่อน 365 จุด เมื่อสำเร็จแล้ว ถึงค่อยกินยาเม็ดนี้เข้าไปเพื่อให้ทะลวงจุดลมปราณที่เหลืออยู่ในรวดเดียว
ด้วยพลังของยาลูกกลอนเม็ดนี้ เขาจะต้องเปิดจุดลมปราณได้ครบ 720 จุดแน่นอน!
“วิธีการแรกไม่เหมาะสม วัตถุดิบที่จะนำมาใช้หลอมโอสถทะลวงปราณอีกเม็ดหาได้ยากมาก แถมเราคงไม่สามารถเอาหยกปราณธรรมชาติมาจากหวังเหาได้อีกแล้ว”
ซููเย่พูดอย่างใช้ความคิด
“ตอนนี้มีแต่ต้องเลือกวิธีที่สองเท่านั้น!”
ชายหนุ่มตั้งใจจะเปิดจุดลมปราณให้ครบ 365 จุดด้วยตัวเองก่อน จากนั้นจึงค่อยรับประทานยาทะลวงปราณเม็ดนี้เพิ่มเข้าไป
คิดได้ดังนั้น ซููเย่ก็รีบตรวจสอบจุดลมปราณในร่างกายของตนเอง
ขณะนี้ เขาสามารถเปิดได้แล้ว 180 จุด
ยังห่างไกลจาก 365 จุดอีกมากนัก
ทันใดนั้น ซููเย่ก็นึกถึงต้นเบญจมาศที่เขาซื้อมาด้วยราคา 20,000 หยวน เมื่อตอนกลางวัน
เขารีบนำกระถางของมันออกมาจากกระเป๋าเป้
เขาเด็ดดอกของมันออกมาด้วยมือเพียงข้างเดียว
แล้วยัดเข้าปากกลืนลงคอ
เมื่อเบญจมาศดอกนั้นตกลงไปถึงท้อง กระแสความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย
มันเป็นมวลพลังงานที่ชายหนุ่มไม่ต้องเสียเวลาจัดการ เขาแค่ปล่อยให้มันซึมซาบไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามธรรมชาติ
หลังจากนั้น ซููเย่ก็ลองโคจรพลังลมปราณดูด้วยความระมัดระวัง
เขาพบว่าดอกเบญจมาศที่รับประทานเข้าไป ช่วยเปิดจุดลมปราณให้เขาได้ถึง 60 จุด
“180 บวก 60 เท่ากับ 240 ยังเหลืออีก 125 จุด!”
ซููเย่คำนวณอย่างรวดเร็ว
แล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้ในทันที
“รอไปก่อนก็แล้วกัน!”
ซููเย่เก็บยาลูกกลอนทะลวงปราณเข้าใส่กระเป๋า ก่อนชำเลืองมองรอบบริเวณ
“ที่นี่มีทำเลดีมาก ครั้งหน้ากลับมาหลอมยาที่นี่อีกดีกว่า” ชายหนุ่มกระซิบกับตนเอง จากนั้นจึงซ่อนอุปกรณ์หลอมโอสถทั้งหมดไว้ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง เรียบร้อยดีแล้วจึงเดินทางกลับมหาวิทยาลัย
คืนนี้เขาไม่ได้เข้าเล่นเกม แต่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการนั่งสมาธิ เพื่อปรับระดับพลังลมปราณในร่างกายให้คงที่
…
เช้าวันต่อมา
“เสี่ยวเย่?”
เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น เสียงแรกที่เขาได้ยินก็คือเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของซูชือ “ค่าวรยุทธ์ของฉันขึ้นถึง 10 คะแนนแล้ว วันนี้พวกเราสามคนไปหาคุณตำรวจหวังเหากันเลยดีไหม? เขาบอกว่าถ้าค่าวรยุทธ์ของพวกเราขึ้นถึง 10 คะแนนเมื่อไหร่ ก็ให้ไปหาใช่หรือเปล่า?”
“พวกนายขึ้นมาอยู่เลเวล 30 ได้แล้วเหรอ?”
ซููเย่มองหน้าเพื่อนทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ
สองหนุ่มพยักหน้าตอบกลับมา
“พวกเรารีบไปหาคุณตำรวจกันดีกว่า จะได้รู้กันสักทีว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเกม Fantasy Dream มันเป็นยังไง”
ซููชือม้วนตัวกลิ้งลงจากเตียง
สามสหายรีบอาบน้ำอาบท่าอย่างรวดเร็ว
“ติ๊ง…”
พลัน โทรศัพท์มือถือของพวกเขาได้รับข้อความจากนายตำรวจหวังเหา
“นำหมวก VR ของพวกนายมาที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้!”
สามหนุ่มรีบแต่งเนื้อแต่งตัวและนำหมวก VR ของตนเองเดินทางไปที่สถานีตำรวจโดยเร็ว
…
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ
เสี่ยวจุนนำสามสหายตรงเข้าไปยังห้องลับที่อยู่ในสถานีตำรวจ
แต่เพิ่งเข้ามาเท่านั้น
ซููเย่ จินฟานและซูชือก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
เพราะในห้องลับแห่งนี้มีผู้คนรวมตัวกันอยู่มากมาย
นับดูด้วยตาเปล่าน่าจะมีประมาณหนึ่งร้อยคน และทุกคนก็กำลังยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ข้างสังเวียนประลอง
กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจการปรากฏตัวของซููเย่และพรรคพวกแต่อย่างใด บางคนถึงกับหันหลังให้ไม่อยากจะสนใจพวกเขาด้วยซ้ำ
เพราะเหมือนจะมีบางอย่างที่สามารถดึงดูดความสนใจได้ดีกว่า
“นี่มันเด็กมหาลัยเราทั้งนั้นเลยนี่หว่า”
ซูชืออุทานออกมาด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงได้กระซิบด้วยความตื่นเต้น “ถ้ามารวมตัวอยู่ที่นี่ได้ ก็หมายความว่าต้องขึ้นถึงเลเวล 30 กันหมดแล้ว ว่าแต่มีคนขึ้นถึงเลเวลนี้ได้เท่าไหร่แล้ววะเนี่ย?”
พูดจบ
เขาก็หันกลับมาสะกิดจินฟานเพื่อให้ตอบคำถาม
แต่จินฟานไม่ยอมตอบคำถาม
ซูชือจึงหันไปมองตามทิศทางสายตาของจินฟานด้วยความฉงนสงสัย
เมื่อเห็นอาการของเพื่อนทั้งสองคนแปลก ๆ ไป ซููเย่จึงต้องหันมองตามสายตาของจินฟานกับซูชือด้วยเช่นกัน ในเวลาเดียวกันนี้ กลุ่มคนจำนวนเหยียบร้อยที่อยู่ในห้องลับซึ่งเป็นโรงฝึกพิเศษแห่งนี้ กำลังจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกันไม่วางตา
“หืม?”
ซููเย่ขมวดคิ้วด้วยความมึนงง
เพราะเมื่อมองตามสายตาของทุกคนไปแล้ว เขาก็เห็นว่าสิ่งที่กลุ่มชายหนุ่มกำลังจ้องมองอยู่ก็คือใบหน้าที่สวยงามของฝาแฝดสาวคู่หนึ่ง
เป็นไป๋จือเหยียนกับไป๋จือหรานนั่นเอง