บทที่ 183 ให้ซูชือคอยจับตาดูซูเย่
“หรือว่ารุ่นพี่ลู่จวิ้นจะโดนกดดันให้ออกมาโพสต์แบบนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราคงปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“ฉันว่าต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นลู่จวิ้นไม่ออกมาตั้งกระทู้ยอมรับความพ่ายแพ้แบบนี้หรอก”
“คิดว่าแค่รุ่นพี่ลู่จวิ้นออกมาโพสต์แล้วพวกเราจะหยุดหรือไง? ฝันไปเถอะ พวกเราอยากเห็นกระดาษคำตอบของซูเย่ พวกเราอยากรู้ว่าซูเย่มีดีอะไรถึงมาเอาชนะรุ่นพี่ลู่จวิ้นของพวกเราได้”
“พวกเราอยากดูกระดาษคำตอบ พวกเราอยากดูกระดาษคำตอบ!”
ในเว็บบอร์ดขณะนี้ เด็กจากคณะแพทย์แผนจีนยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะเล่นงานซูเย่
เมื่อเห็นว่าการตั้งกระทู้ของตนเองกลับกลายเป็นการจุดชนวนสงครามออนไลน์ขึ้นมาอีกครั้ง
ลู่จวิ้นก็จัดแจงขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษา และโพสต์กระดาษคำตอบของตนเองและของซูเย่เพื่อให้ทุกคนได้เปรียบเทียบกันอย่างยุติธรรม
“ทุกคนใจเย็นก่อน”
นั่นคือข้อความเพิ่มเติมจากลู่จวิ้น
เมื่อเห็นข้อความจากลู่จวิ้นหลายคนก็อดรู้สึกอารมณ์เสียไม่ได้
นี่พวกเขากำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้เธออยู่นะ แล้วลู่จวิ้นยังจะมาบอกให้ใครใจเย็นอีก?
การสอบในครั้งนี้ พวกเขาจะทำให้ซูเย่อับอายจนต้องมุดแผ่นดินหนี!
ทุกคนช่วยกันตรวจดูกระดาษคำตอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
การวินิจฉัยเบื้องต้นออกมาเหมือนกัน คือผู้คุมสอบมีปัญหาอยู่ที่ม้ามและกระเพาะ
แต่จำนวนใบสั่งยาไม่เท่ากัน
ลู่จวิ้นเขียนใบสั่งยาแค่สามใบ
แต่ซูเย่กลับเขียนใบสั่งยาถึงเจ็ดใบและแนะนำวิธีการรักษาถึงสี่รูปแบบ!
เพียงเห็นเท่านี้ หลายคนก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง
“ซูเย่เก่งถึงขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?”
“หมอนั่นรู้วิธีการรักษามากมายแบบนี้ได้ยังไง”
“ซูเย่เพิ่งจะศึกษาเรื่องแพทย์แผนจีนได้แค่สองเดือนจริงสิ? ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด!”
ขณะนี้ กระดาษคำตอบของซูเย่กลับกลายเป็นความจริงที่ยากต่อการยอมรับของเด็กจากคณะแพทย์แผนจีน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาแต่หัวเราะเยาะซูเย่
แล้วทำไมหมอนั่นถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?
“เฮ้อ ทีนี้พวกนายก็รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาน่ากลัวขนาดไหน”
หลีซินเอ้อถอนหายใจอยู่ในห้องนอน ใบหน้าเศร้าหมองด้วยความรู้สึกผิด
เธอรู้สึกผิดต่อรุ่นพี่ลู่จวิ้น
หลีซินเอ้อสามารถผ่านเข้ารอบ 100 คนสุดท้ายได้สำเร็จ แต่รุ่นพี่ลู่จวิ้นกลับต้องตกรอบไปเสียอย่างนั้น…
…
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง หอพักนักศึกษาชาย
“เก่งเหลือเกินนะ”
“ดูเหมือนว่าคงมีแค่ฉันคนเดียวแล้วสิที่จะช่วยกู้หน้าคณะแพทย์แผนจีน” ลวี่อวิ๋นเผิงพูดออกมาแผ่วเบา ดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความมั่นใจในตัวเอง
ถึงการสอบในรอบแรก เขาจะทำคะแนนได้ดีไม่เท่าซูเย่ แต่ลวี่อวิ๋นเผิงก็มีคะแนนเป็นอันดับสองเท่ากับลู่จวิ้น ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงเชื่อว่าตนเองจะสามารถทำได้ดีกว่าซูเย่ในรอบสุดท้ายอย่างแน่นอน
เวลา 21:00 น.
ทางมหาวิทยาลัยก็ออกประกาศอีกครั้ง
“หลังจากที่ทางคณะอาจารย์ทำการประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ขณะนี้จึงได้ข้อสรุปออกมาว่า นอกจากนักศึกษา 100 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปสำเร็จจะได้รับสิทธิ์ให้เป็นลูกศิษย์พิเศษแล้ว ทางมหาวิทยาลัยก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่าการสอบประจำปีนี้ มีพื้นที่พิเศษให้แก่นักศึกษาคนที่ 101 ด้วยเช่นกัน”
“และนักศึกษาที่ได้รับสิทธิพิเศษคนนั้นก็คือลู่จวิ้น นักศึกษาปีสี่จากคณะแพทย์แผนจีน”
เมื่อเห็นประกาศแจ้งเตือนฉบับนี้
ความรู้สึกโกรธแค้นที่เหล่าเด็กคณะแพทย์แผนจีนมีต่อซูเย่ก็เบาบางลงไปทันตาเห็น
ในเมื่อลู่จวิ้นเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากประกาศฉบับนี้ ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องคัดค้านอีกต่อไป
“พวกเรามาช่วยกันให้กำลังใจรุ่นพี่ลู่จวิ้นกันดีกว่า”
“รอบหน้าเอาคืนซูเย่ให้ได้นะครับรุ่นพี่!”
“รอบที่ผ่านมารุ่นพี่แค่ประมาทหมอนั่นมากไปหน่อย ถ้าให้ลองสอบแข่งขันกันอีกครั้งแล้วละก็ รับรองว่ารุ่นพี่ต้องเอาชนะซูเย่ได้แน่นอน พวกเราจะเอาใจช่วยรุ่นพี่นะคะ!”
“ขอบคุณทุกคนมากนะ”
ลู่จวิ้นตอบข้อความของทุกคนด้วยประโยคสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
“ซูเย่…”
ลู่จวิ้นเดินขึ้นจากขั้นบันไดด้วยสีหน้าเยือกเย็นสุขุม ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ขณะที่พึมพำเรียกชื่อซูเย่ออกมา
…
เมื่อเห็นประกาศฉบับนี้ หลีซินเอ้อก็รู้สึกโล่งใจมากกว่าใคร ความรู้สึกผิดที่กัดกินจิตใจลดทอนลงไปพอสมควร
ต่อจากนั้น เธอจึงได้ส่งข้อความไปหาบิดาซึ่งกำลังเข้าประชุมอยู่ว่า
“ขอบคุณมากนะคะ พ่อ”
“ไม่เป็นไร ยังไงผ่านรอบนี้ไป ก็ยังต้องแข่งกันต่ออยู่ดี”
“แต่พ่อบอกไม่ได้หรอกนะว่าสอบต่อจากนี้จะต้องทำอะไรบ้าง…”
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ทางมหาวิทยาลัยได้เผยแพร่กติกาการแข่งขันรอบต่อไปออกมาพอดี
ทุกคนต่างรีบเปิดดูข้อมูลด้วยความอยากรู้
“กติกาสำหรับการแข่งขันรอบ 100 คนสุดท้าย”
“ผู้เข้าสอบทั้ง 100 คนจะถูกแบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีคนไข้สิบคน และผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องทำการตรวจวินิจฉัยคนไข้โดยละเอียด และจะต้องทำการรักษาขั้นพื้นฐานด้วยการจ่ายยาให้รับประทาน”
“หรือถ้าเลือกรักษาด้วยวิธีการฝังเข็ม ผู้เข้าสอบก็จะต้องลงมือฝังเข็มคนไข้ด้วยตนเองเช่นกัน”
“ระหว่างการรักษาจะมีแพทย์มืออาชีพคอยสังเกตการณ์ตลอดเวลา ทุก ๆ การกระทำของผู้เข้าสอบจะมีผลต่อการคิดคะแนนทั้งสิ้น และหากผู้คุมสอบเห็นว่าการรักษามีแนวโน้มที่จะเกิดความผิดพลาด ผู้คุมสอบก็สามารถหยุดยั้งการรักษาได้โดยทันที”
“การสอบรอบนี้จะคัดเลือกผู้เข้ารอบต่อไปเพียงสิบคนเท่านั้น”
เมื่อเห็นกติกาทั้งหมด กลุ่มนักศึกษาก็พร้อมใจกันอุทานออกมาทันที…
“โห ยังจะต้องไปแข่งกันต่ออีกเหรอวะเนี่ย?”
“น่าสนใจนะฉันว่า การสอบรอบนี้ไม่เหมือนรอบก่อน ๆ เลย”
“เด็กที่ผ่านเข้ารอบ 100 คนสุดท้ายพวกนี้เป็นระดับหัวกะทิทั้งนั้น ไม่อยากจะคิดเลยว่าคนที่ได้เข้ารอบ 10 คนสุดท้ายจะต้องเป็นระดับอัจฉริยะขนาดไหน”
เหล่านักศึกษาได้แต่อุทานอยู่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนี้ พวกเขาก็ไล่สายตาอ่านต่อไป
“หมายเหตุ : เพื่อจัดทำการสอบรอบ 100 คนสุดท้าย ทางมหาวิทยาลัยอยากจะขออาสาสมัครเป็นนักศึกษาจำนวน 50 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นคนไข้ให้ผู้เข้าสอบได้วินิจฉัยร่างกาย การสอบจะมีขึ้นในวันมะรืนนี้ นักศึกษาที่สนใจสมัครสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ที่สำนักงานหมายเลข 315 ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
“ทางมหาวิทยาลัยรับรองว่าเจ้าหน้าที่จะปกปิดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของนักศึกษาเป็นความลับขั้นสูงสุด”
เมื่อเห็นข้อความในส่วนนี้ นักศึกษาจำนวนไม่น้อยก็ดวงตาลุกวาว
การสอบครั้งสำคัญเช่นนี้ ขอแค่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมก็สนุกมากแล้ว
กลุ่มนักศึกษาจำนวนมากพากันทิ้งข้อความเอาไว้ในกระทู้ว่า
“ผมจะอาสาเป็นคนไข้ให้เองครับ ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายยังไงชอบกล!”
“ผมก็ไม่สบายเหมือนกัน รู้สึกปวดสมองไม่หายเลย”
“ฉันเองก็ปวดขามานานมากเหมือนกัน ไม่รู้จะมีใครใจดีช่วยตรวจให้ไหมนะ?”
“ปวดขาแล้วจะทำไม? ฉันนี่สิอวัยวะภายในทำงานผิดปกติ แถมเส้นประสาทยังอักเสบอีกด้วย”
“ทุกคนไม่ต้องแย่งกัน ไม่มีใครจะอาการหนักมากกว่าฉันที่เป็นริดสีดวงทวารมาหลายปีแล้ว ได้โปรดเถอะครับ นักศึกษายอดอัจฉริยะทั้ง 100 ท่าน ได้โปรดช่วยรักษาผมด้วย และถ้าเลือกได้ ผมอยากจะให้คุณซูเย่ช่วยรักษาผมที!”
“ฉันก็เหมือนกัน! ฉันอยากเห็นฝีมือของซูเย่ด้วยตาของตัวเอง ไม่งั้นฉันไม่มีทางเชื่อในความสามารถของเขาเด็ดขาด…”
หนึ่งวันผ่านไป
มีนักศึกษาลงทะเบียนเป็นคนไข้อาสาสมัครมากมาย
แทบทุกคนที่ลงทะเบียนต่างก็ไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไรทั้งสิ้น
พวกเขาแค่อยากมีส่วนร่วมกับการสอบครั้งสำคัญของมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ในที่สุด นักศึกษาจำนวน 50 คนก็ได้รับการคัดเลือก
ช่วงเย็นทางมหาวิทยาลัยออกประกาศว่า
“การสอบในครั้งนี้จะมีคนไข้อาสาสมัครทั้งสิ้น 100 คน เราจะคัดเป็น 50 คนที่ลงทะเบียนผ่านทางมหาวิทยาลัย และอาสาสมัครอีก 50 คนจะมาจากการคัดเลือกของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจี้หยาง”
“วันพรุ่งนี้เวลา 8:00 น. การสอบรอบ 100 คนสุดท้ายจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาประจำมหาวิทยาลัย!”
เมื่อคนไข้อาสาสมัครครั้ง 100 คนเห็นชื่อของตนเอง พวกเขาก็พากันกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ
…
ณ หอพักนักศึกษาชาย
“เสี่ยวเย่ นี่เป็นจุดแข็งของนายเลยไม่ใช่เหรอ?”
จินฟานเห็นประกาศผ่านทางโทรศัพท์มือถือจึงพูดออกมาทันที “ตอนที่เรียนพิเศษกับอาจารย์หลี่ ได้ข่าวว่านายเคยตรวจคนไข้มาไม่ใช่น้อยเลยนี่นา?”
“ก็ธรรมดาแหละ ยังไงฉันก็ยังเป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่งอยู่ดี”
ซูเย่ตอบเสียงเรียบ
“นายพูดเหมือนคนถ่อมตัวเลยว่ะ แต่การกระทำช่างสวนทางเหลือเกิน”
จินฟานยิ้มกว้างก่อนจะหันมาหาซูชือและถามว่า “นายคิดเหมือนกันไหม ซูชือ?”
ขณะนี้ ซูชือเอาแต่จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตกตะลึง
แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือของชายหนุ่มกลับไม่ใช่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยหรือเว็บบอร์ดรวมมิตรมหาลัย
แต่ซูชือกำลังอ่าน SMS จากใครบางคน
“เฮ้ย? ได้ยินที่ฉันพูดไหมเนี่ย” เมื่อจินฟานเรียกด้วยเสียงดังขึ้น ซูชือจึงได้หันกลับมาหน้าตาลนลานและรับคำว่า
“เออ ๆ นายว่าไงฉันก็ว่างั้นแหละ”
พูดจบก็ลุกขึ้นจากเตียง
“จะไปไหนอีกวะ?”
จินฟานถามด้วยความสงสัย
“มีธุระนิดหน่อย เดี๋ยวมา”
ซูชือเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เนื่องจาก SMS ที่เขาได้รับนั้น
เป็นข้อความจากหวังห่าวว่า
“มาพบฉันที่สนามกีฬาของมหาลัย ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
ห้ามบอกใครเด็ดขาด? ทำไมถึงต้องห้ามบอกใครด้วยล่ะ?
ซูชือจึงเดินตรงไปที่สนามกีฬาพร้อมกับความสงสัยเต็มหัวใจ…
ชายหนุ่มพบว่าบัดนี้สนามกีฬาถูกปิดแล้ว
คนงานจำนวนมากกำลังช่วยกันสร้างโรงพยาบาลสนามอย่างขะมักเขม้น ทั่วสนามกีฬาในขณะนี้เต็มไปด้วยเต็นท์ที่พักขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน
“ว้าว โคตรอลังการ!”
เมื่อเห็นดังนั้น ซูชือก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ “มหาลัยต้องหมดงบไปเท่าไหร่วะเนี่ยถึงจะทำได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้?”
ฟึบ!
ทันใดนั้น มีใครบางคนวางมือลงบนหัวไหล่ของเขา
“ใครน่ะ?”
“ฉันเอง”
เสียงกระซิบของหวังห่าวดังตอบกลับมาข้างใบหู “ตามฉันมา”
ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินตรงไปยังบริเวณสนามกีฬาที่ไม่มีแสงไฟส่องถึง
“ทำไมต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนี้ด้วยครับ?”
ซูชือถามพลางมองหน้าหวังห่าว
“ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย นี่เป็นภารกิจลับ…”
หวังห่าวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ภารกิจอะไร?”