บทที่ 114 ที่แท้ก็เพราะขี่หมู
เจ้าหมอนั่นทำได้ยังไงกันนะ?
ทำไมถึงได้ใช้เวลาอัพเลเวลรวดเร็วขนาดนี้?
ความเร็วระดับนี้ถือว่าผิดปกติแล้ว!
ต่อให้สามารถกระโดดข้ามจากเลเวล 28 ขึ้นไปถึงเลเวล 30 ได้โดยตรง แต่ก็สมควรใช้เวลาที่นานมากกว่านี้อยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เจ้าเวรกรรมต้องโกงแน่ ๆ
ผู้เล่นทุกคนเริ่มคิดด้วยความโกรธแค้น
แต่ในทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ได้สติ
แบบนี้มันไม่ถูกต้อง!
พวกเขาจะโกรธทำไม?
ถ้าเจ้าเวรกรรมโกงเกมจริง ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?
เพราะพวกเขาจะได้ดูคลิปวิดีโอ!
จากจิตใจที่ขุ่นมัวเมื่อสักครู่ มาบัดนี้ทุกคนก็เริ่มกลับเข้าไปตั้งกระทู้ในบอร์ดข้อความอย่างมีความสุขอีกครั้ง!
“ขี้โกง! ไอดี ‘เวรกรรม ทำไมถึงตั้งชื่อยากเย็นขนาดนี้ฮะ’ ต้องเป็นพวกโกงเกมแน่ ๆ!”
“ขี้โกง! ทางทีมงานต้องให้คำอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”
“เอาคลิปวิดีโอมาให้พวกเราดูเดี๋ยวนี้เลย!”
“วิดีโอการอัพเลเวลคือหลักฐานที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าเวรกรรมได้เท่านั้น!”
“ก่อนหน้านี้พวกคุณก็ไม่ให้เราดูวิดีโอล่าสุดของท่านเทพ X ถ้าตอนนี้พวกคุณไม่ให้เราดูวิดีโอของเจ้าเวรกรรมอีกล่ะก็ หมายความว่าทีมงานต้องรู้เห็นเป็นใจให้สองคนนี้โกงเกมแน่นอน”
หลังจากนั้นก็มีผู้เล่นหลั่งไหลเข้าไปตั้งกระทู้เรียกร้องให้ทางทีมงานผู้ผลิตเกมนำวิดีโอการเล่นของเจ้าเวรกรรมออกมาเปิดเผย
ไม่ว่าเขาจะเป็นพวกโกงเกมจริง ๆ หรือไม่ก็ตาม
ทุกคนก็แค่อยากดูคลิปวิดีโอเท่านั้น
ในเมื่อเจ้าเวรกรรมอยากเก่งกว่าพวกเขานัก นี่ก็คือราคาที่ต้องจ่าย!
ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เป็นความตั้งใจของซูเย่เลยสักนิด
เขาเองก็ไม่ได้อยากอัพเลเวลเร็วขนาดนี้
ตอนยังอยู่เลเวล 29 เขาจับหมูป่ามาตัวหนึ่ง และใช้มันขี่มุ่งหน้าไปยังทิศทางพื้นที่หากินของตัวบอสประจำเขตแผนที่ระดับ 30
ตัวบอสของเขตแผนที่นี้เป็นงูยักษ์สีขาวขนาดใหญ่ แต่ที่น่าปวดหัวก็คือเจ้างูยักษ์ไม่ได้สนใจซูเย่เลย สิ่งเดียวที่มันสนใจกลับเป็นหมูป่าที่เขาใช้ขี่มานั่นเอง
เมื่องูยักษ์โจมตีเข้ามา
ซูเย่ก็หมุนตัวตีลังกากระโดดหลบ
งูยักษ์กินหมูป่าเข้าไปทั้งตัวในคำเดียว
แต่เจ้าหมูป่าก็พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ทำให้มันยังติดค้างอยู่ในลำคอของเจ้างูยักษ์
เมื่อเห็นพญางูยักษ์ดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน ซูเย่จึงต้องเดินเข้าไปใช้ดาบตัดหัวมัน เพื่อช่วยเหลือไม่ให้เจ้างูยักษ์ทุกข์ทรมานอีกต่อไป
หลังจากนั้นเขาก็ได้อัพเลเวลโดยไม่รู้ตัว…
“มันคงเป็นโชคชะตาของเราแล้วล่ะมั้ง”
ซูเย่ถอนหายใจ เมื่อซากศพของงูยักษ์และเจ้าหมูป่าสลายหายไป ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบของรางวัลตกอยู่สักชิ้นเดียว
เขาคาดเดาว่าตัวเกมน่าจะต้องใช้เวลาประมวลผลสักครู่ถึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลง
แต่ยืนรออยู่นานสองนาน สุดท้ายกลับไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
“สงสัยพวกของนายตำรวจหวังเหาคงยังไม่ได้ทำเรื่องขอเปิดพื้นที่เขตใหม่แน่ ๆ”
ซูเย่พูดพึมพำพร้อมกับพยักหน้ากับตัวเอง
หลังจากสำรวจพื้นที่ทุกซอกทุกมุมจนครบถ้วนแล้ว ซูเย่ก็มุ่งหน้ากลับไปยังเขตแผนที่ระดับ 29 และเริ่มต้นไล่ล่าฆ่าสัตว์ประหลาดด้วยการใช้เพลงหมัดขั้นพื้นฐาน
เพื่อเก็บคะแนนค่าวรยุทธ์ของเขาให้สูงขึ้น
…
หกโมงเช้า
เมื่อซูเย่ถอดหมวก VR ออก ค่าวรยุทธ์ของเขาก็ขึ้นมาอยู่ที่ 10 คะแนนแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจ
“เชี่ย เสี่ยวเย่ นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะ ใช้เวลาแค่สองวันก็ขึ้นมาถึงเลเวล 30 ได้แล้วเนี่ยนะ?”
ซูชือส่งเสียงตะโกนทันทีเมื่อถอดหมวก VR ของตนเองออก “นายปล่อยให้พวกเราฆ่าสัตว์ประหลาดแทบเป็นแทบตาย แต่ตัวเองกลับแอบไปอัพเลเวลรวด ๆ คนเดียว แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?”
“ความโกรธมันไม่ดีต่อสุขภาพนะเพื่อน”
ซูเย่ยักไหล่อย่างไม่แยแส
ซูชือพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาและจินฟานได้แต่หันไปมองหน้าซูเย่ด้วยความเบื่อหน่าย
ซูเย่หย่อนขาลงจากเตียง และสลายค่ายอาคมที่เขาสร้างไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ
หลังผ่านพ้นช่วงที่ร่างกายฟื้นฟูพลังลมปราณเรียบร้อย ซูเย่สำรวจดูจึงพบว่าจุดลมปราณในร่างกายของเขาถูกเปิดขึ้นมามากกว่า 100 จุดแล้ว
“แต่จุดลมปราณของเรามีตั้ง 700 กว่าจุด คงต้องเร่งมือให้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
…
ในเวลาเดียวกันนั้น
หวังเหากำลังนั่งรับชมคลิปวิดีโอที่เทพ X จัดการคู่ต่อสู้ทั้ง 16 คนวนไปวนมา
ยิ่งดูมากเท่าไหร่ หัวใจของนายตำรวจหนุ่มก็ยิ่งหวั่นไหวมากเท่านั้น
“แต่ละหมัดที่ใช้ออกมา ทำไมถึงได้เด็ดขาดขนาดนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าหมอนี่ไม่ใช่หน้าใหม่สำหรับการฝึกวิชาหมัดมวย”
หวังเหาพึมพำกับตัวเอง
เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แขนงไหน แต่ถ้าจะให้สามารถใช้งานออกมาได้อย่างลื่นไหล และสวยงามเช่นนี้แล้วมันก็ต้องอาศัยประสบการณ์ฝึกฝนแรมเดือนแรมปี
บางคนฝึกฝนมาทั้งชีวิตก็ยังไม่สามารถใช้งานกระบวนท่าต่อสู้เหล่านี้ได้สวยงามเท่ากับเจ้า X ผู้เป็นปริศนาคนนี้เลย
นี่คือคำตอบที่ยืนยันได้ว่า X ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ และเขามีประสบการณ์ฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาอย่างยาวนานแล้ว
“ตกลงหมอนี่เป็นใครกันแน่?”
หวังเหาพึมพำออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบรายงานเปรียบเทียบลายมือออกมาดูอีกรอบ
เพราะปรากฏว่าลายมือบนแผ่นกระดาษที่ได้มาจากในห้องน้ำ ไม่ใช่ลายมือของซูเย่อย่างที่หวังเหาคิดไว้
…
ตกเย็น
ซูชือกับจินฟานแอบย่องมาที่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัยตามเวลาเดิม
แต่ครั้งนี้
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะก้าวเท้าไปในลานจอดรถ สองหนุ่มเพื่อนซี้ก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
ก่อนที่พวกเขาจะหันมองหน้ากัน
“เห็นไหม คณบดีหยางอยากจับพวกเราให้ได้แล้วจริง ๆ เนี่ย!”
จินฟานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ตอนแรกฉันนึกว่าตัวเองตาฝาด”
ซูชือพูดด้วยความเสียดาย “ถึงพวกเราจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเพราะมีพลังลมปราณ แต่ยังไงก็หลบกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้เยอะขนาดนี้ไม่พ้นแน่ ๆ สำหรับตอนนี้…พวกเราถอยทัพกันก่อนดีกว่า”
นอกจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของลานจอดรถแล้ว วันนี้ยังได้มีกล้องวงจรปิดอีกจำนวนมากแอบติดตั้งอยู่ตามซอกมุมรอบลานจอดรถ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่มีทางมองเห็นเด็ดขาด แต่โชคดีที่ซูชือกับจินฟานฝึกฝนการโคจรพลังลมปราณ สายตาของพวกเขาจึงดีกว่าคนทั่วไป ทำให้สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนกว่าคนอื่นถึงสองเท่า
ไม่อย่างนั้นแล้ว ครั้งนี้พวกเขาคงถูกกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้แน่ ๆ
“แน่ใจนะว่าจะถอย?”
จินฟานถามระหว่างใช้สายตาสำรวจตำแหน่งกล้องวงจรปิด
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้เราถอยไปตั้งหลักกันก่อน”
ซูชือพยักหน้า และฉีกยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ปล่อยให้ตายใจสักหน่อย หลังจากนั้น เราจะจัดหนักให้น้ำตาตกในเลยเชียว”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาหยางเหวินป๋อก็เดินเข้ามาในลานจอดรถ รอยยิ้มของผู้ชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อพบว่าล้อยางรถยนต์ยังคงเป็นปกติดีดังเดิม
“คิดว่าจะเล่นงานฉันไปได้ตลอดเลยหรือไง”
“พวกแกไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
พูดจบแล้ว คณบดีประจำคณะแพทย์แผนจีนก็ขับรถกลับที่พักอย่างมีความสุข