บทที่ 3 เหล่าคนเหล็กรวมตัว (ตอนต้น)
วันที่ 3 ตุลาคม หรือก็คือสามวันก่อนหน้านี้
ในที่สุดซูเย่ก็ได้กลับมาใช้ชีวิตในยุคสมัยใหม่อีกครั้ง หลังจากผ่านฤดดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงถึง 2,500 ปี
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว จี้หยกที่ซูเย่เคยใส่ไว้ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา ทำให้เขาได้รับพลังรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘กายปาฏิหาริย์’
พลังนี้สามารถช่วยชะลอความแก่เฒ่าและช่วยให้มีอายุที่ยืนยาวกว่ามนุษย์ทั่วไป
และเพราะพลังนี้เอง จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เขาสามารถมีชีวิตยืนยาวมากพอจะกลับมาอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน
ซูเย่ได้เห็นทุกอย่างมาหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกส่งไปเกิดใหม่ในยุคสมัยก่อนพร้อมกับความทรงจำเดิม ไปจนถึงตอนที่ตัวตนในยุคสมัยเก่าถูกส่งกลับมาในโลกยุคสมัยใหม่ เขาไม่คิดจะขัดขวางหรือเปลี่ยนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ชายหนุ่มเพียงแค่รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต
เพื่อใช้ชีวิตในส่วนที่เขายังไม่ได้เริ่มต้น
ซูเย่ได้ผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วถึงสามรอบด้วยกัน ตั้งแต่เด็กยันแก่ ตั้งแต่ตัวเปล่าเปรี้ยไปจนถึงจุดสูงสุดของการบำเพ็ญตบะ กำลังภายในและวิชายุทธ์
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วสำหรับการได้ใช้ชีวิตใหม่ และเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตหลังจากนี้ต่อไปอีกนานแสนนาน..
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูเย่ก็หยิบปากกาและเริ่มเขียนลวดลายบางอย่างลงบนแผ่นกระดาษตรงหน้า
คาถารวมปราณ!
เขาวางปากกาลงให้เรียบร้อย แล้วแตะฝ่ามือลงตรงกลางของแผ่นคาถาที่เขาเขียนขึ้นอย่างเบามือ
ส่วนลึกของจิตวิญญาณที่เงียบสงบราวกับทะเลสาบลึก มีบางสิ่งถูกโยนลงไป แต่ไม่ก่อให้เกิดคลื่นกระทบบนผิวน้ำมากนัก
ลวดลายบนหน้ากระดาษเปล่งแสงสว่างขึ้นบ่งบอกว่าคาถาที่เขาใช้นั้นกำลังเริ่มทำหน้าที่ของมัน
ลำแสงสว่างที่ล่องลอยอยู่ในอากาศต่างมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วที่แผ่นคาถา
ซูเย่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางอีกมือลงบนแผ่นคาถาเพื่อดูดซับพลังปราณจากธรรมชาติที่เขาเพ่งสมาธิรวบรวม ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็กำลังตั้งใจเรียนอยู่เช่นเดียวกัน
ณ ราชวังแห่งความทรงจำในเวลานั้น มีโต๊ะสีขาวและแลปท็อปปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ร่างจำแลงนั่งลงบนเก้าอี้และเปิดแลปท็อปบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะเปิดโปรแกรม Word และเริ่มบรรจงนิ้วพิมพ์ลงบนแป้นคีย์บอร์ด
ประโยคที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอนั้นตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่เคอหมิงกำลังสอนในคาบอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ซูเย่จดบันทึกความรู้ที่ได้จากการเรียนพร้อมกับโคจรพลังรวมปราณไปด้วยในเวลาเดียวกันอย่างมีสมาธิ
ด้วยวิธีนี้ ก็สามารถทำให้ลมหายใจและชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ยืนยาวขึ้นได้อย่างน่าประหลาด…
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คลาสเรียนคณะแพทย์ร่วมสมัยก็สิ้นสุดลง
ร่างจำแลงในราชวังแห่งความทรงจำลุกขึ้นและพับเก็บแลปท๊อปก่อนจะโยนมันขึ้นไปในอากาศ ตัวแลปท๊อปนั้นอันตรธานหายไปในทันทีเช่นเดียวกันกับร่างจำแลงนั้น
แถวสุดท้ายของชั้นหนังสือโซนยุคสมัย ‘ปัจจุบัน’ จู่ ๆ แฟลชไดร์ฟ USB ก็ปรากฏขึ้นโดยมีคำสลักเอาไว้ว่า “บันทึกจากคลาสการแพทย์ร่วมสมัย”
ซูเย่ยกมือออกจากแผ่นคาถารวบรวมปราณ สีหน้าและแววตาของเขาดูเหมือนว่ามีบางอย่างไม่ได้ดั่งใจ
“ความเร็วในการรวบรวมปราณยังช้าเกินไป..”
ถ้าจะมีชีวิตที่ดีได้ ก็ต้องมีความแข็งแกร่ง และเราจะต้องรีบทำให้ตัวเองแข็งแกร่งให้เร็วกว่านี้
ความเข้มข้นของพลังงานปราณตามธรรมชาติในยุคสมัยนี้ ถือได้ว่าต่ำกว่าสมัยก่อนมาก ถึงแม้เขาจะมีพลัง “กายปาฏิหาริย์” ที่สามารถทำให้รวบรวมพลังปราณได้เร็วกว่าคนอื่นถึงสิบเท่า ก็ยังถือว่าช้าไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับสิ่งที่เป็นไปในอดีตกาล
“ดิ๊ง——”
เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้น ดูเหมือนว่ามีใครบางคนส่งข้อความมาหาเขาผ่านทางแอพ WeChat
ซูเย่ปลดล็อคโทรศัพท์เพื่ออ่านข้อความและก็พบว่าเป็นข้อความเสียงที่ส่งมาโดยจินฟาน รูมเมทของเขาเอง เขาแตะสัญลักษณ์เล่นเบา ๆ เพื่อฟังข้อความที่ส่งมา
“เสี่ยวเย่เพื่อนยากรีบกลับหอให้ไวเลยนะ” น้ำเสียงในข้อความนั้นดูร้อนรนเป็นอย่างมาก
ซูเย่รีบลุกขึ้นในทันที
แต่ไม่ทันทำอะไรข้อความเสียงที่สองก็ถูกส่งมา
“ฝากซื้อข้าวเย็นให้ฉันกับซุนชือด้วยล่ะ เอาเป็นข้าวมันไก่เนื้อน่องกับข้าวหมกไก่นะ ขอบใจมาก!”
ซูเย่ขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินข้อความเสียง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เหตุเร่งด่วนอะไรขนาดนั้น แต่เขาก็เก็บของใส่กระเป๋าและเดินออกจากคลาสในทันที
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป!”
อาจารย์หลี่เคอหมิงรีบตะโกนรั้งซูเย่เอาไว้เพราะเขาอยากจะถามอะไรเพิ่มเติมหลังจบคลาส แต่ก็ไม่เจอซูเย่แล้ว ราวกับเขาได้อันตรธานหายไป
…
หลังจากที่ซูเย่รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เขาเดินทางกลับไปยังหอพักของตัวเองพร้อมกับอาหารในมือที่รูมเมทของเขาฝากซื้อ
หอพักนั้นเป็นแบบสี่ห้องแยก แต่เขาอาศัยอยู่กับเพื่อนอีกสองคน ทำให้มีห้องว่างอยู่อีกหนึ่งห้อง
“ทำไมกลับมาช้าจังฮะ?”
จินฟานทักทายเขาแบบลวก ๆ ก่อนจะยื่นกีตาร์แลกกับข้าวในมือของซูเย่
ซูเย่มองกีตาร์ในมือของตัวเองก่อนจะหันกลับไปมองที่จินฟานอย่างงงงวย
จินฟานรีบส่งอาหารที่ได้มาให้กับซุนชือทันที ทั้งสองกินอาหารราวกับเสือที่หิวโหยกำลังขย้ำเหยื่อ ก่อนจะหันมาพูดกับซูเย่ว่า
“เออนี่ เสี่ยวเย่ ช่วยอะไรหน่อยสิ! ในฐานะนักร้องขั้นเทพแล้ว พวกเราตั้งใจว่าจะไปแสดงความสามารถในงานเลี้ยงต้อนรับของมหาลัยคืนพรุ่งนี้ล่ะ ไปโชว์ให้ไอ้พวกที่ดูถูกพวกเราเด็กวิจัยสมุนไพรว่าไร้ประโยชน์นั่น ให้มันรู้กันไปเลยว่าเราก็มีความเจ๋งอยู่ในตัวเองเหมือนกัน!”
“แต่ว่าจะให้สองเทพไปร้องเพลงอย่างเดียวมันก็คงจะดูน่าเบื่อไปหน่อย นายไม่อยากลองเปิดตัวด้วยการเล่นกีตาร์โชว์ในงานเลี้ยงหน่อยเหรอ? แถมถ้าได้นายมานี่ พวกเราฟอร์มวงนักดนตรีสามคนได้เลยนะ”
ซุนชือ ลูกคุณหนูรุ่นที่สองของตระกูลผู้ร่ำรวยกินอย่างเอร็ดอร่อยและพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ฉันลองคิดเรื่องชื่อวงแล้วนะ ไหน ๆ ก็เป็นการรวมตัวของเหล่าผู้มีกึ๋นแล้วคิดว่าชื่อวง เหล็กกล้า เป็นไง?”
เล่นง่ายไปหน่อยมั้ง!
ซูเย่ไม่ได้พูดอะไรและยกนิ้วโป้งให้กับความคิดของรูมเมทอย่างสัตย์จริง
นักร้องนำสองกับนักดนตรีหนึ่ง? อาจจะเวิร์คก็ได้
“เรื่องร้องเพลงเราสองคนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องฝีมือกีตาร์ของนายด้วยนี่สิ”
หลังจากที่กินเสร็จแล้ว เพื่อนทั้งสองก็มองซูเย่อย่างคาดหวัง
“ฝีมือฉันก็งั้น ๆ แหละ”
ซูเย่ลองดีดกีตาร์เบา ๆ ก่อนจะพบว่าเสียงของมันยังไม่ตรงคีย์สักเท่าไหร่
เขาลองปรับสายกีตาร์ดูก่อนจะทดลองดีดอีกครั้ง
เสียงของมันออกมาดูดีทีเดียว
ดวงตาของพวกเขาลุกวาวไปด้วยความหวังตอนที่ได้ยินเสียงกีตาร์และท่าทางที่ดูเป็นการเป็นงานของซูเย่ เพราะที่จริงแล้วชายหนุ่มทั้งสองวางแผนจะให้ซูเย่นั่งเป็นตัวประกอบการแสดง แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของพวกเขาดันเล่นเป็นจริง ๆ!
ซูเย่ลองปรับสายกีตาร์อีกพักใหญ่ ก่อนจะถาม “พวกนายจะเล่นเพลงอะไรกัน”
จินฟานกับซุนชือมองหน้ากันก่อนจะเอ่ยเป็นเสียงเดียว
“คนล่าฝัน!”
พวกเขาตั้งใจจะเล่นเพลง ‘คนล่าฝัน’ แต่กลับพบว่าเพลงนี้มีความยุ่งยากกว่าที่คิด
จินฟานเริ่มนึกถึงรายชื่อเพลงที่ตนรู้แต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเสียงเพลงจากลำโพงภายในหอพัก
นี่มันเพลง “ความใฝ่ฝันของหัวใจ”!
“นายเล่นเพลงนี้เป็นไหม?” ทั้งสองมองซูเย่ด้วยความหวัง
“ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ…แต่ใช่…ฉันเล่นได้”
ซูเย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นมาร้องเพลง “ความใฝ่ฝันของหัวใจ” กันเถอะ!”
จินฟานและซุนชือมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น ก่อนจะส่งซิกเป็นสัญญาณให้กันว่าพวกเขาตัดสินใจจะให้ซูเย่เล่นในตำแหน่งมือกีตาร์ต่อไป และพวกเขาอยากจะลองฟังไปเรื่อย ๆ เพื่อดูว่าซูเย่จะทำได้ดีแค่ไหน
ซูเย่เล่นต่อไป
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้งกึกก้องไปทั่วหอพัก
ท่วงทำนองเสียงสูงและการเล่นที่หนักแน่นทำให้จินฟานและซุนชือเกิดความกระหายที่จะเริ่มลองทำอะไรใหม่ ๆ
แววตาของทั้งสองคนฉายแววมุ่งมั่น
เลือดลมในตัวสูบฉีดไปยังหัวใจที่ลุกโชติช่วงดั่งไฟเผาของเหล่าชายหนุ่ม
ซูเย่ที่ใช้ชีวิตมานานแสนนานเหมือนจะลืมไปแล้วว่าการมีเสียงเพลงในหัวใจมันเป็นยังไง แต่ที่แน่ ๆ ใจในของเขามีความคิดหนึ่ง
ลุยไปเลย! พวกคนหนุ่มสาว! ชีวิตพวกนายมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!
เมื่อโน๊ตตัวสุดท้ายสิ้นสุด เพลงก็จบลง