บทที่ 28 กลยุทธ์เสริมความสามารถส่วนบุคคลของคณะวิจัยสมุนไพรจีน (ตอนปลาย)
ซูชือเองก็มองซูเย่ด้วยสายตาและท่าทีที่จริงจังเช่นกัน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนหัวเราะและเล่นสนุกกันตลอดเวลา แต่สองหนุ่มก็รู้สึกเบื่อกับการโดนดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อเล่าเรียน ไม่ใช่มาเพื่อโดนดูถูกดูแคลนเสียหน่อย!
ตั้งแต่พวกเขาเลือกเส้นทางนี้ คณะนี้ พวกเขาเองก็ตั้งใจเรียนและตั้งใจจะใช้ชีวิตให้เป็นไปดั่งเป้าหมายที่พวกตนวางเอาไว้เช่นกัน!
“ได้อยู่แล้ว”
ซูเย่เองก็กล่าวตอบรับอย่างจริงจังขณะสบตาเพื่อนทั้งสอง เป็นท่าทีที่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่คิดจะเสียมารยาททำทีเล่นทีจริงกับความตั้งใจของเพื่อนๆ
ทั้งสองผ่อนท่าทีเคร่งเครียดลง แทนที่ด้วยท่าทีที่ดูสบาย ๆ และพึงพอใจ
ซูเย่เดินไปยังโต๊ะของตัวเองก่อนจะนั่งลง แต่แทนที่เขาจะเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อทำงานอย่างเช่นเคย เขากลับหยิบสมุดและปากกาขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเขียนเนื้อหาของตำรา “ชีพจร 5 สี” ลงไปอย่างเงียบ ๆ
เพราะว่าเนื้อหานั้นมีอักขระเก่าแก่ที่ยุ่งยากอยู่มากมาย ทำให้การพิมพ์จากในคอมนั้นชักช้ากว่าการเขียนด้วยมือ
ในอีกด้านหนึ่งนั้น ซูชือเองก็นั่งลงที่ตำแหน่งโต๊ะของตน แย้มยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเริ่มกระแทกนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างฉับไว เพื่อเขียนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้ด้วยคำศัพท์และการเรียบเรียงคำที่สละสลวยงดงาม
เขาอยากจะตั้งกระทู้ตอบโต้คณะอื่น ๆ ชนิดที่ว่าไม่มีใครกล้าต่อล้อต่อเถียงได้อีก
ให้ไอ้พวกที่เคยหัวเราะพวกเราได้รู้ซะบ้างว่า คณะวิจัยสมุนไพรจีนของเราน่ะ ไม่อ่อนแอ ยอมให้ใครรังแกหรอกนะ!
ผลลัพธ์น่ะเหรอ…
หลังจากที่เขียนและเรียบเรียงข้อความจนเสร็จพร้อมที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะ เขาก็ดันพบว่ามีคนโพสต์เรื่องนี้ตัดหน้าเขาไปแล้วเสียอย่างนั้น…
“บ้าเอ๊ย เสียเวลาเปล่าๆ เลย….” ซูชือรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็เลือกที่จะกดเข้าไปดูโพสต์ที่นิยมมากที่สุดในส่วนฟอรั่มของแพทย์แผนจีนที่ว่า แม้จะแอบเจ็บใจอยู่หน่อยๆ ก็ตาม
ดูเหมือนว่าเนื้อหาในฟอรั่มไม่ได้มีการด่าทอ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงไม่มีการเสริมแต่งหรือปกปิดข้อมูลใดๆ ซูชือรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เขาเริ่มอ่านคอมเม้นต์ข้างล่าง…
“พระเจ้า พวกนายไม่คิดว่าซูเย่นี่ไม่ OP ไปหน่อยเหรอวะ? เล่นกีตาร์ก็ได้ เล่นพิณก็ได้ แถมยังฉลาดเรื่องเรียน”
“ดูเหมือนว่าเทอมนี้คณะวิจัยสมุนไพรจีนจะถึงคราวขาขึ้นล่ะมั้ง “
“อายแทนน้อง ๆ ที่ไปท้าเขาจังเลยแฮะ ไปท้าเขาเองถึงที่ แถมยังมั่นใจซะขนาดนั้น…แล้วก็โดนตอกกลับมาหงายขนาดนี้ เป็นเราคงขุดดินฝังตัวเองไปแล้วล่ะ…”
“เยส!”
ซูชือที่คอยอ่านคอมเม้นต์ต่าง ๆ แอบยิ้มและกำหมัดเล็ก ๆ อย่างมีความสุข
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางไม่ได้เป็นเพียงโรงเรียนการแพทย์เท่านั้น แต่ยังมีคณะอื่นอยู่ด้วย เช่น คณะมนุษยศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการ และดูเหมือนว่าคอมเม้นต์ชื่นชมดี ๆ ทั้งหลายนั้นมาจากเพื่อน ๆ ร่วมมหาลัยแต่ต่างคณะเหล่านี้นี่เอง!
“เมื่อไหร่จะมีคนจากคณะแพทย์มาเม้นต์บ้างนะ อยากอ่านคอมเม้นต์ชะมัด”
ซูชือเลื่อนลงต่อไปเรื่อย ๆ
ดูเหมือนว่าคนจากคณะแพทย์แผนจีนก็เริ่มเข้าประดังกันเข้ามาเช่นที่เขาร้องขอจริงๆ
อันที่จริง นักศึกษาในคณะแพทย์แผนจีนล้วนรู้ดีว่าลั่วกังนั้นได้วางแผนจะขอท้าซูเย่มาตั้งนานแล้ว และพวกเขาเองก็สนับสนุนการกระทำนั้นด้วย
พวกเขารู้ว่าฝีมือและระดับความรู้ของลั่วกังนั้นเก่งกาจขนาดไหน เขาเก่งกว่านักศึกษาที่จบปีห้าไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเขาเชื่ออย่างเต็มอกว่าลั่วกังจะต้องชนะอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็คงจะช่วยกันห้าม ไม่ปล่อยให้ไปท้าดวลแล้วแพ้กลับมาแบบยับเยินเช่นนี้หรอก…
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าลั่วกังจะแพ้เลยสักคนเดียว พ่ายแพ้ให้กับซูเย่คนนั้น…
เรื่องนี้ทำให้พวกเขาหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
คณะแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมากมาย ได้พ่ายแพ้ให้กับคณะวิจัยสมุนไพรจีนที่ใครๆ ต่างก็ดูถูก..
เป็นเรื่องทำใจยอมรับได้ยากจนทำเอากลืนน้ำลายไม่ลงคอเลยทีเดียว
“ก็แค่ท่องจำเนื้อหาในหนังสือโบราณได้ มันก็แค่เนื้อหาในหน้ากระดาษเท่านั้นแหละ ถ้าอยากจะวัดกันจริง ๆ ก็ควรจะวัดกันที่ทักษะความสามารถในการรักษาสิ”
“ใช่แล้ว ก็แค่อ่านหนังสือมากกว่าเด็กปีหนึ่งไม่กี่เล่มเอง ทำเป็นเย่อหยิ่งไปได้ “
“คิดว่าตัวเองเจ๋งขนาดไหนกันเชียว? คณะวิจัยสมุนไพรจีนก็แค่เรียนห้าปี แต่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งจดนั่งจำเนื้อหา ลองมาเรียนแบบพวกเราตอนปีสี่ดูสิ แค่จำจนตัวเป็นหนอนหนังสือ ใครๆ ก็ทำได้ จำไว้ด้วยล่ะว่าแค่เรียนมันไม่พอหรอก มันต้องได้ลองฝึกใช้ทักษะจริง ๆ ด้วยต่างหากถึงจะนับ!”
“ไอ้บ้านี่! ไม่รู้อะไรก็อย่ามาปากดีไปหน่อยเลยน่า!”
ซูชือแหกปากลั่นอย่างไม่พอใจก่อนจะพิมพ์ตอบลงไปในคอมเม้นต์ “ซูเย่ไม่ใช่คนที่พวกแกจะมามองเหยียดได้หรอกนะเฟ้ย เพราะเขาจะได้รับการติวพิเศษแบบตัวต่อกับอาจารย์หลี่เคอหมิงแล้ว รู้เอาไว้ซะด้วย!”
หลังจากที่เห็นข้อความตอบกลับเช่นนี้ แน่นอนว่านักเรียนแพทย์แผนจีนหลาย ๆ คนต่างน้ำท่วมปากและอิจฉาริษยา
ได้รับการสั่งสอนโดยตรงจากอาจารย์แพทย์ที่มีทั้งเส้นสายและความรู้ระดับเทพแบบตัวต่อตัว ใคร ๆ ต่างก็สามารถจินตนาการได้ทั้งนั้นว่าซูเย่จะสามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดขนาดไหน
นอกจากจะพ่ายแพ้อย่างหมดท่าแล้ว ยังไปปูทางอันรุ่งโรจน์พร้อมโรยกรีบกุหลาบให้อีกฝ่ายเสียอีก
นี่มันน่าหดหู่เกินไปแล้ว
พวกเขาตอบโต้กลับเพียงไม่กี่ประโยค “แค่ได้เรียนอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ” และ “ที่อาจารย์หลาย ๆ คนไม่ค่อยมีเด็กฝึกงานก็เพราะว่าสุดท้ายก็ไปกันไม่รอดไงล่ะ ” และหลังจากนั้น หัวข้อการสนทนาก็ถูกเฉไฉเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น
“เอ้อ จะว่าไป มีใครรู้สึกมั้ยว่าไอ้เกม Fantasy Dream นี่ไม่ยากไปหน่อยเหรอ แถมอัปเดตก็ช้าอย่างกับหอยทาก”
“โอ้ย อย่าให้พูดเลย ตูน่ะไล่ตบแต่ตั๊กแตนมาหลายวันละ มีคนเล่นมากกว่ามอนสเตอร์ซะอีก ทำไงได้?”
“เมื่อกี้ไปลองเช็คแรงค์มาละ ดูเหมือนว่าจะมีไม่ถึงห้าสิบคนเองนะ ที่สามารถอัพเลเวลได้นับตั้งแต่เกมเปิดอะ คนที่แรงค์สูงสุดก็ขึ้นมาได้แค่เวล 1 กับอีกครึ่งนึงเอง มันจะเรียกว่าเล่นเกมได้ไงในเมื่อแม่งยากขนาดนี้ ไม่สนุกอะ เลิกเล่น”
“มันก็ยากไปหน่อยแหละที่จะให้เลเวลอัพทั้ง ๆ ที่อัดกันอยู่ตั้งหกสิบล้านคนที่หน้าหมู่บ้านเริ่มต้นเนี่ย เป็นไปไม่ได้หรอก”
…
“น่าเบื่ออะ แต่ก็เล่นๆ ไปเหอะ “
ซูชือเหยียดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมีอารมณ์ร่วม “ง่ายไปก็ไม่สนุกน่ะสิ”
…
สถาบันดนตรีซิงเหมิง
ณ หอพักหญิง
“พี่จ๋า ดูอะไรอยู่เหรอ?”
ไป๋จือเหยียนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จมาหมาด ๆ เดินเข้าไปหาพี่สาวของเธอจากข้างหลัง ขณะที่ไป๋จือหรานกำลังหวีผมของเธอพลางมอง iPad Pro บนโต๊ะของตัวเอง
“[สุดอึ้ง! ชายหนุ่มสองคนทำอะไรแบบนี้ในห้องเรียนอย่างอล่างฉ่าง!]”
“ใครอะ?”
“ซูเย่”
ไป๋จือหรานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกล่าวอย่างแผ่วเบา
“ขอดูด้วยสิ”
ไป๋จือเหยียนเบียดตัวไปนั่งข้าง ๆ พี่สาวของเธอก่อนจะไล่สายตาอ่านข้อความที่ปรากฎ
“หนูว่าคนคนนี้นี่เจ๋งจนพิลึกเลยแฮะ เขารู้ทุกอย่างขนาดนี้ได้ยังไงกันเนี่ย?”
ไป๋จือเหยียนอ่านโพสต์คร่าว ๆ จนก่อนจะหันไปทางไป๋จือหรานอย่างสงสัย “เขารู้หมดทุกอย่างเลยใช่มั้ย?”
“ไม่รู้สิ”
ไป๋จือหรานตอบกลับขณะที่หยิบหมวก VR ของตนขึ้นมาถือ
“ถ้างั้น หนูไปถามเขาตรง ๆ เลยดีมั้ย?”
ไป๋จือเหยียนกล่าวพร้อมยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆ
“อย่าสร้างปัญหา ผมแห้งแล้วมาเล่นเกมกันเถอะ”
ไป๋จือหรานวางหมวกของเธอลง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูขึ้นมา และช่วยเช็ดผมให้กับน้องสาวของเธอ
…
สองวันผ่านไป
ซูเย่ได้นำตำรา “ชีพจร 5 สี” ฉบับเขียนด้วยลายมือมายังโรงพยาบาลที่อาจารย์หลี่เคอหมิงกำลังประจำเวรอยู่ โดยอิงจากตำแหน่งสถานที่ที่อาจารย์หลี่เคอหมิงเป็นคนส่งข้อความมาให้เขา…