===============
ตอนแรกลุงใหญ่เย่ว์ซานแสดงท่าทางเหมือนคนใจดีและเป็นคนชั้นสูงที่ถ่อมตน เขาฉีกยิ้มเต็มใบหน้า มองดูสุภาพ เขาโค้งคำนับมาที่ฮ่องเต้จุนอู๋โหย่วและบิดาของเขา จากนั้นประสานมือคารวะตัวแทนจากตระกูลทั้งสามและหันมาพยักหน้าให้เย่ว์หยาง “ซานเอ๋อ! ข้าเข้าใจในความกระหายใคร่รู้ของเจ้า แต่ทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาจะเติมเต็ม เจ้าจะต้องปกป้องความภูมิใจ และมีความอดทนในการฝึก อีกทั้งยังหมายความว่าเจ้าไม่ควรรีบเร่งจนเกินควร ก่อนอื่นเจ้าควรฝึกพื้นฐานก่อน และทำความเข้าใจให้เต็มที่เพื่อให้มีรากฐานที่แข็งแกร่ง นี่คือวิธีเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่แท้จริง พอเห็นเจ้าเต็มไปด้วยความกล้าหาญทะเยอทะยานข้าก็พลอยสุขใจไปกับเจ้าด้วย ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับได้เห็นน้องสามปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าอีกครั้ง ลุงรองของเจ้ากับข้าจะพยายามช่วยสนับสนุนเจ้าอย่างดีที่สุดและเราจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งเต็มที่เหมือนกับน้องสามทีเดียว แม้ว่าจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ว่าในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ถ้าเจ้าพบเรื่องลำบากอะไรขึ้นมา เจ้ามาหาลุงรองหรือข้าก็ได้ แม้ต้องทุ่มให้ทุกอย่างเราก็จะช่วยเจ้า แค่บอกสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาทั้งหมด ไม่ต้องกั๊กเอาไว้”
“กราวววว….” พอได้ยินคำพูดที่จริงใจเหล่านี้ บรรดาผู้ชมทั้งหลายอดใจไม่ได้จึงปรบมือให้เย่ว์ซาน ลุงผู้แสนจะห่วงใยหลานชาย
“……” เย่ว์ปิงได้แต่นิ่งเงียบ
นอกจากนี้ คนภายนอกเหล่านั้นไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลเย่ว์ ใครจะรู้กันว่าจิตใจของคนผู้นี้ มีพิษเช่นเดียวกับพิษงู?
พอเห็นเขาชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบด้วยการกระทำที่หลอกลวงเช่นนั้น นางแทบอยากจะอาเจียนออกมา เขาได้ยกความเจ้าเล่ห์ขึ้นไปอีกระดับ
แน่นอนว่า ความจริงแล้วเย่ว์ซานก็อยากรับคำท้าของเย่ว์หยางอยู่เหมือนกัน เขาต้องการฆ่าเจ้าเด็กบ้าเย่ว์หยางทันที เย่ว์ซานเองไม่ปรารถนาจะให้เย่ว์ชิวคนที่สองปรากฏตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าเด็กผู้นี้แตกต่างจากบิดาของเขาอย่างสิ้นเชิง เขาหยิ่งจนน่าหมั่นไส้แถมยังฉลาดเป็นกรดอีก มันสร้างความลำบากให้เขายิ่งกว่าพูดตรงไปตรงมาและ เขาห้าวหาญเหมือนอย่างเย่ว์ชิว
ถ้าเขาไม่ได้จงใจท้าทายตรงๆ เช่นนี้ เขาคงหาโอกาสลอบฆ่าเจ้าเด็กนี่ก็ได้
ในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น
ทุกคนรวมทั้งฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยจุนอู๋โหย่วและบิดาของเขาจดจำและเข้าใจคำพูดและการกระทำของเขาแล้ว แม้ว่าเขาฆ่าเย่ว์หยาง ก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่จะปกปิดเอาไว้ พวกเขาสามารถคาดได้ว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าเย่ว์หยาง ที่สำคัญที่สุดคือพัฒนาการของเจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ฝีมือของเขาพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากชั่วเวลาไม่นานหลังจากทำสัญญากับคัมภีร์ ดูเหมือนว่าเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากที่เป็นคนใจเสาะ ขี้ขลาดและไร้ประโยชน์เมื่อปีที่ผ่านมา ถ้าเขาไม่ฆ่าเย่ว์หยางตอนนี้ บางทีในอนาคตอันใกล้นี้ เขาคงไม่อาจฆ่าเจ้าเด็กนี่ได้ ต่อให้ต้องการทำก็ตาม
ตอนนี้เขาจะฆ่าเย่ว์หยางได้อย่างไร ต่อหน้าผู้คนนับพัน ภายใต้การจับตามองของผู้ชมทั้งหมด
ไม่ต้องพูดถึงจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ผู้ที่รักอัจฉริยะพอๆ กับชีวิตพระองค์เอง แม้แต่บิดาของเขาเอง ก็มักจะสงสัยว่าเขาเป็นคนฆ่าน้องสาม ท่านไม่เคยเลิกสงสัยเขาตลอดหลายปีมานี้ เย่ว์ไห่ตามสืบหาพยานหลักฐานอยู่เสมอ ถ้าเขาฆ่าเจ้าเด็กสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้จริงๆ แล้ว อย่างนั้นผลที่คาดไม่ถึงก็จะตามมาจริงๆ เขาคิดว่าน้องรองของเขาผู้ที่มักหลงใหลสมบัติของตระกูลและสถานะของเขา จะได้รับประโยชน์ในที่สุด
“พี่ใหญ่พูดถูก หลานซานเอ๋อ, เราทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าฝีมือของเจ้าก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด และเจ้าก็ห่วงที่จะแสดงฝีมือในตระกูล อย่างไรก็ดี ที่สำคัญที่สุด เจ้าฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป ถ้าหากพวกเราพลั้งมือทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บหนักจะเกิดอะไรขึ้น? น้องสามและน้องสี่ยังต้องอาศัยเจ้าช่วยสืบทอดชื่อเสียงพวกเขา แล้วเราจะต่อสู้จริงจังกับเจ้าได้อย่างไร? บนเวที พวกเราควรจะมาเปรียบเทียบทักษะฝีมือแล้วมาพัฒนาร่วมกันต่างหาก นี่คือกฎที่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ให้เรา และสิ่งนี้ยังเป็นรากฐานสำหรับตระกูลเราทำให้ก้าวหน้าและผลิตนักรบชั้นยอดออกมา ถ้าซานเอ๋อต้องการพิสูจน์ความก้าวหน้า ทำไมเจ้าไม่สู้กับเทียนเอ๋อ, เยี่ยนเอ๋อและถิงเอ๋อเพื่อทดสอบทักษะตนเองเล่า? ด้วยวิธีนี้เจ้าจะได้ถือโอกาสแสดงความสามารถดีๆ ในการแข่งขันประจำปีใหม่นี้ได้แน่” ลุงรองเย่ว์หลิ่งก็ยังไม่กล้าสู้กับเย่ว์หยาง กลับจ้อแทนว่าเขาเป็นลุงคนดีที่ยังรักและห่วงหวงเย่ว์หยางหลานชายของเขามากเพียงไหน
“กราวววววว” เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าลุงทั้งสองคนนี้ทำหน้าที่ลุงได้เป็นอย่างดี จึงยืนขึ้นปรบมือส่งเสียงเชียร์
“สิ่งที่ท่านทั้งสองพูดมาจริงแท้แน่นอน” แม้แต่ตัวแทนจากสามตระกูลใหญ่ที่เหลือยังอดยกย่องสรรเสริญพวกเขาไม่ได้
ในความเป็นจริงพวกเขารู้ว่าการชิงดีชิงเด่นภายในตระกูลเย่ว์เป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่มาก ทว่าพวกเขาทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเย่ว์ไม่ใช่เพียงตระกูลเดียวที่มีการชิงดีชิงเด่นภายใน ในตระกูลอื่นเว้นแต่มีทายาทสืบทอดเพียงคนเดียว ลูกชายจะสู้เพื่อเอาชนะกันหากว่ามีพวกเขาสองคนเป็นทายาท เป็นแต่เพียงว่าแต่ละตระกูลต่างปกปิดเอาไว้ไม่ยอมพูดถึงมัน พวกเขาต่างจากตระกูลเย่ว์ที่มีการแข่งขันในระหว่างรุ่นผู้เยาว์ทุกๆ ปี ความขัดแย้งของพวกเขาอาจมองเห็นได้ชัด ทุกคนสามารถบอกได้จากสิ่งที่เห็น
ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบดูแล้ว ความขัดแย้งภายในที่หมกเอาไว้ของแต่ละตระกูลก็เป็นเรื่องต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้อง พวกเขาต่างทำลายกันและกัน บางทีอาจรุนแรงกว่าตระกูลเย่ว์เป็นสิบเท่า
มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านผู้รู้กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าทวีปมังกรทะยานไม่มีอัจฉริยะ เป็นแต่อัจฉริยะเหล่านั้นตายในระหว่างการชิงดีชิงด่นในภายในนั่นเอง
คำพูดเหล่านี้คนโดยทั่วไปอาจไม่รู้ แต่บรรดาตระกูลทั้งหลายจะรู้กันทุกคน
ผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดมักถูกอิจฉาและเกลียดชังมากที่สุด
ความจริง เย่ว์หยางรู้แล้วว่าลุงใหญ่เย่ว์ซานและลุงรองเย่ว์หลิ่ง 2 คนนี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ คงจะไม่ยอมรับคำท้าทายของเขา เขาแค่ต้องการกระตุ้นพวกเขาอย่างมีเป้าหมายแอบแฝง โดยประกาศความขัดแย้งภายในระหว่างครอบครัวที่สี่กับครอบครัวที่หนึ่งและที่สองให้สาธารณชนทราบ ที่ผ่านมาเขาสามารถวาดภาพหน้าที่ใจดีของทั้งสองคนได้
แม้ว่าจะเรียกเสียงปรบมือได้จำนวนมาก แต่คนพวกนั้นอาจนินทาถึงการกระทำที่เจ้าเล่ห์ของเย่ว์ซานและเย่ว์หลิ่งอย่างรังเกียจเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้านก็ได้
เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนยังอยู่ในอาการลังเลว่าจะรับคำท้าทายหรือไม่?
แค่เผชิญหน้ากับเย่ว์ปิงที่มีนักรบพฤกษาร้อยปี อสูรทองแดงระดับ 5 เป็นเรื่องลำบากพอแล้ว ถ้าพวกเขาต้องสู้กับเจ้าบ้าที่เชี่ยวชาญวิทยายุทธ เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนไม่คิดว่า กลุ่มอื่นจะสามารถร่วมกันต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเขาได้ดีสมบูรณ์ พวกเขารู้สึกว่า เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายคนที่ล้มและเป็นอันตรายต่อตัวเอง ดังนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่เย่ว์ปิงเป็นฝ่ายท้าทาย สองคนนี้จึงได้แต่นิ่งเงียบ มีเพียงเย่ว์ถิงผู้มีร่างกายล่ำสัน คิ้วหนา ตาโตใบหน้าดูซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากระโดดขึ้นเวลาและโค้งคำนับให้เย่ว์หยางและเย่ว์ปิง “พี่สาม, น้องเจ็ด, ข้ามีสัตว์อสูรอยู่แค่ตัวเดียว แต่มันมีความสามารถแตกต่างกันถึง 3 อย่าง ซึ่งก็คือ ฝ่ามือหมียักษ์, หมีร่างศิลา, และพลังหมีพิโรธ ทั้งหมดมีพลังมากมาย ดังนั้นโปรดระวังให้ดี ข้าเกรงว่าจะพลั้งมือทำร้ายพวกท่านบาดเจ็บ
คำพูดเปิดเผยเหล่านี้จากเย่ว์ถิง ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกได้ถึงบางอย่างในใจของเขา
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่เสมอ
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ชราภาพมากแล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่เตรียมตั้งประมุขตระกูลคนต่อไป?
แม้ว่าเย่ว์เทียนและเยี่ยนจะเป็นอัจฉริยะ แต่ความพฤติภายนอกไม่ค่อยดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีคุณสมบัติผู้นำตระกูลที่ดี อย่างไรก็ตาม เย่ว์ถิงไม่ใช่อัจฉริยะและสหายผู้น่าสงสารก็เป็นเพียงสวะ เย่ว์ปิงและเย่ว์ชวงทั้งสองคนก็เป็นหญิงและน้องเก้าเย่ว์เฟิงยังเด็กนัก อาจเป็นได้ว่าประมุขตระกูลเย่ว์ไม่ได้เตรียมแผนว่าจะให้ผู้ใดเป็นประมุขตระกูล?
ตระกูลเย่ว์ไม่เหมือนกับตระกูลคนชั้นสูงอื่นๆ
พวกเขามีชื่อเสียงที่รู้จักดีในเรื่อง หุ่นรบ, วิชาทวนและวิชาออกศึกในโลกนี้ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาหลายพันปีแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญพายุมามากเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถทำให้สถานะของตระกูลเย่ว์หวั่นไหวได้ ทุกคนคิดว่า ตระกูลเย่ว์ได้เปรียบที่สุดในการผลิตผู้เยาว์ผู้มีพรสวรรค์ออกมา และว่าพวกเขาเข้าใจถึงวิธีสอนและดูแลผู้นำตระกูลคนต่อไปได้เป็นอย่างดี กล่าวกันว่าประมุขตระกูลทุกคนจะมีอสูรระดับทองที่เรียกว่า “หมีมาตุภูมิ” ซึ่งตกทอดมาในแต่ละรุ่น นี่จะเป็นเครื่องรับรองความสามารถของประมุขตระกูล มันจะรักษาเสถียรภาพของตระกูลและยับยั้งศัตรูที่มาจากทั่วทิศ ก่อนหน้านี้ แม้ว่าเย่ว์ชิวจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั้งโลก เย่ว์ไห่ก็ยังไม่เลือกเขาเป็นประมุขตระกูลคนถัดไป ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกมาก แม้แต่เย่ว์หยางก็ยังหาเหตุผลไม่เจอ
หลังจากนั้นในการสนทนาคราวหนึ่ง บังเอิญหญิงงามได้กล่าวถึงเรื่องนี้
ตระกูลเย่ว์ไม่เคยต้องการให้อัจฉริยะมาเป็นประมุขตระกูล พวกเขาต้องการประมุขตระกูลที่เป็นคนใจดีและเรียบง่าย ประมุขตระกูลผู้มีความอดทนต่อพี่น้องของตนและครอบครัวที่เป็นญาติชั้นรองๆ
บุคคลที่มีสิทธิ์รับเลือกประมุขตระกูลควรเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เขาต้องมีใจอ่อนโยนและใจกว้าง เขาจะได้ไม่ฆ่าพี่น้องชายหญิงทันทีที่กลายเป็นประมุขตระกูล เหลือเพียงตนเองที่เป็นผู้รับมรดกต่อไป ผู้นำตระกูลเย่ว์อย่างน้อยต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสทั้ง 12 คน เขาไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมาก แต่ต้องสามารถเป็นผู้นำตระกูลเย่ว์ได้ทั้งหมดให้ก้าวหน้าไปได้ มันเป็นเรื่องดีตราบเท่าที่เขามีความสามารถรักษาความรุ่งเรืองและประเพณีตระกูลเย่ว์ไว้ได้
เย่ว์หยางมักสงสัยอยู่เสมอ ใครจะเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป?
หลังจากมีเพียงเย่ว์ถิงขึ้นมาบนเวที เย่ว์หยางใช้ทักษะญาณทิพย์ตรวจสอบดู เขามั่นใจถึง 90% ว่าประมุขตระกูลคนต่อไปที่ผู้เฒ่าไห่ได้เลือกไว้แล้วและคอยดูแลอยู่ก็คือน้องห้า เย่ว์ถิง
เขาได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรไว้แค่ตัวเดียว และอสูรนั้นก็คือหมีใหญ่ นี่แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเป็นการเตรียมการเพื่อทำสัญญากับอสูรทองอย่างหมีมาตุภูมิ ที่จะตกทอดแก่ประมุขตระกูลในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น เย่ว์ถิงถูกส่งตัวเข้าวังตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นองครักษ์ขององค์ชายพระองค์หนึ่ง ด้วยวิธีแบบนี้ เขาสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับราชตระกูลขณะที่ฝึกฝีมือตนเองไปด้วย เขายังอยู่ห่างจากความขัดแย้งภายในของตระกูล ทั้งยังอยู่และเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เย่ว์หยางได้รับทราบความจริงอย่างดีแล้ว กลับกลายเป็นว่าเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนเป็นแค่หมากที่ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ใช้วางล่อหลอกความสนใจของสาธารณชน จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้เลือกเย่ว์ถิงให้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไปตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนนี้ เมื่อเขาออกไปนอกตระกูลเป็นเวลา 2-3 เดือน เย่ว์หยางคาดว่าก็เพื่อฝึกเย่ว์ถิงอย่างลับๆ
“อสูรสายเสริมพลัง ชั้นทองแดงระดับ 5 หมีหฤโหดเหรอ?” เย่ว์ปิงตกใจมากเมื่อนางได้ยินชื่ออสูรของพี่ห้าของนาง
เดิมทีนักรบพฤกษาร้อยปีของนางเป็นอสูรทองแดงระดับ 3 นางพากเพียรฝึกฝนเพื่อยกระดับเป็นอสูรทองแดงระดับ 4 แล้วมันก็ได้ยกระดับเป็นอสูรทองแดงระดับ 5 เพราะพี่สามของนางมอบกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตให้
นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่ห้าของนาง เย่ว์ถิงจะสามารถฝึกอสูรของเขาจนเป็นชั้นทองแดงระดับ 5 ได้
ประกายแสงสีแดงเป็นรูปหมีขนาดใหญ่ มันถูกเย่ว์ถิงเรียกออกมาและผสานร่างเข้ากับตัวของเขา และหลังจากคำรามเสียงดังแล้ว ร่างของเย่ว์ถิงค่อยเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ร่างเขาขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเขาขยายออกจนดูเหมือนเกราะหนังสวมอยู่บนร่างกายของเขา แสดงให้เห็นจำนวนกล้ามเนื้อที่น่าตกใจ ขนหมีงอกขึ้นบนลำตัวเขาทันทีและมือของเขากลายเป็นอุ้งเท้าหมี ตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
*********************
**** ตัวหนังสือยาวมาก ต้องแบ่งเป็น 2 โพสครับ ****