===============
“ดูเหมือนว่าข้าไม่เหลือทางเลือกแล้ว แต่ต้องใช้อสูรพิทักษ์ในคราวนี้แล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเลย” พ่อมดปีศาจซัวจ์ถอนหายใจ
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่เต็มใจ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่ให้คนมาช่วยห้ามการต่อสู้
พ่อมดปีศาจซัวจ์ เรียกอสูรขนาดยักษ์ใหญ่เกือบเท่าภูเขา ร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลที่น่าเกลียดน่ากลัว ที่สำคัญที่สุดก็คืออสูรนี้มีใบหน้าคล้ายกับมนุษย์ แต่มันดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันน่าเกลียดมากขนาดที่คนอื่นเห็นอาจอาเจียนออกมาได้ ที่ขม่อมบนหัวของมันดูเหมือนจะมีหนวดที่คล้ายทากเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ขณะที่มันปรากฏออกมามันขากของเหลวสีเขียวและซากโครงกระดูกหลายซาก ลิ้นสีแดงของมันเริ่มม้วนตวัดเลียริมฝีปากของมันอย่างน่าขยะแขยง จากนั้นมันพูดว่า “ซัวจ์ เจ้าหน้าโง่ บังอาจให้ข้ากินสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ได้ยังไง? ให้ข้าพูดหน่อยเถอะ พวกเหล่านี้ที่ข้ากินลงไปรสชาติมันพื้นๆ แต่เนื้อมันเน่า ข้าแค่ต้องการเนื้อสาวสวย เจ้าเข้าใจหรือเปล่า? ข้าต้องการเพียงสาวสวย เจ้ารู้ไหมว่าสาวสวยคืออะไร? เมื่อเจ้ากินพวกนาง จะมีรสหวาน กลิ่นหอม กระดูกพวกนางกรอบอร่อย ไขมันพวกนางจะละลายในปากเจ้าได้ดีเชียวละ นั่นแหละสาวสวยเป็นแบบนี้”
เย่ว์หยางขมวดคิ้วขณะที่เขาได้ยินแบบนี้
อสูรพิทักษ์ที่มีความสามารถพูดได้และมีสติเป็นของตนเองเหรอ?
มันช่างแตกต่างจากเสี่ยวเหวินหลีและนางพญากระหายเลือด ในความคิดเห็นที่เย่ว์หยางมีต่อมัน ดูเหมือนมันจะมีสถานะเสมอหรือสูงกว่าซัวจ์
ระดับของอสูรประหลาดตัวนี้ก็สูงไม่มาก เป็นเพียงอสูรทองแดงระดับ 6 ทำไมมันถึงหยิ่งยโสนักเล่า?
ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่
“ที่อยู่ต่อหน้าเจ้า มีอสูรทอง 2 ตน, มนุษย์นักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิด 1 คน, ปีศาจอสรพิษน้อย 1 ตน, โคเถื่อนอีก 1 ตัว พวกมันเป็นอาหารของเจ้าทั้งหมด เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ? ถ้าเจ้ายังไม่พอใจก็กลับเข้าคัมภีร์ไปได้เลย ข้าจะเรียกอสูรตัวอื่นมาจัดการพวกมันเอง สีหน้าของพ่อมดปีศาจซัวจ์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เขายังถือดีในฐานะที่เป็นเจ้านาย
“ไม่ต้องมาทำวางท่าเลยซัวจ์ ถ้าสถานการณ์ไม่วิกฤติจริงๆ มีหรือที่เจ้าจะเรียกข้า” อสูรประหลาดเยาะเย้ยถากถางเขาไม่หยุด
“เฮ้! เดี๋ยวก่อน, ถ้าพวกเจ้าทั้งคู่อยากจะแก้ผ้า หรือพลอดพร่ำฝากรักตุ๋ยถั่วดำกันล่ะก็ ข้าไม่สนใจดูพวกเจ้าทั้งคู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ข้ากำลังวุ่นมากๆ, อ่า.. โธ่เอ๊ย, ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าจัดการหุ่นเกราะทอง สำหรับเจ้าอสูรที่น่าเกลียดแสนอุจาดตรงนั้น เจ้าควรจะรีบตายไวๆได้แล้ว จะได้ไปเกิดใหม่เร็วๆ” เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดไร้สาระของพวกมัน ทั้งที่รู้ว่าพวกมันแค่พยายามถ่วงเวลา
“อะไรนะ? เจ้าบังอาจดูถูกข้าและเรียกข้าว่าตัวประหลาดเหรอ?” อสูรประหลาดโกรธจัดเมื่อได้ยินเขาเรียกเช่นนั้น
“ทำไมเจ้าถึงต้องรำคาญและถกเถียงกับคนที่กำลังจะไปอยู่ท้องของเจ้าในไม่ช้าด้วยเล่า? ทำไมเจ้าต้องทำชีวิตตัวเองให้ยุ่งยากด้วยการเสียอารมณ์กับสวะแบบนั้นด้วย?” พ่อมดปีศาจซัวจ์พยายามกระตุ้นอสูรประหลาดต่อไป
“ข้าเกลียดนักเมื่อมีคนเรียกข้าว่าอัปลักษณ์ที่สุด ข้าหล่อนะเฮ้ย! เจ้าพวกที่ดูถูกข้า..ต้องตายทุกคน ซัวจ์! ไหนพูดซิ เจ้าคิดว่าข้า อสูรปากกระโถน หล่อหรือเปล่า? หุ่นของข้าสมบูรณ์แบบ และชื่อของข้าอสูรปากกระโถนก็เป็นชื่อที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลกหล้า ยิ่งไปกว่านั้นทุกส่วนของร่างกายข้าโดดเด่นที่สุดในโลก เจ้าเศษสวะมนุษย์ชั้นต่ำ เจ้ามันกระจ้อยร่อยเหมือนแมลง ยังกล้ามาดูถูกข้าอีก ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้เจ้า ข้าจะกินเจ้าและเปลี่ยนเจ้าให้เป็นอุจจาระของข้า” อสูรประหลาดเดือดดาลพลางกระทืบเท้าตะโกนลั่น
“… … “ เย่ว์หยางตกใจเมื่อเขาได้ยินว่าเจ้าอสูรประหลาดนี้ มีชื่อว่าปากกระโถน ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมเข้ากันกับมันได้ดีจริงๆ
“ใช่แล้ว, อสูรปากกระโถน, มันต้องใช้เวลาเพียรพยายามสิบกว่าปี ข้าถึงคิดชื่อที่เหมาะสมกับเจ้าได้ หลังจากที่ข้าเค้นสมองคิด ในที่สุดข้าก็ได้ตั้งชื่อให้เจ้าว่า อสูรปากกระโถน” พ่อมดปีศาจซัวจ์พูดพลางผงกศีรษะจริงจัง “ไม่ว่าเจ้าหล่อแค่ไหน ข้าเชื่อว่าแม้แต่คนตาบอดก็สามารถบอกได้”
“…….” เย่ว์หยางยอมรับว่าแพ้ เขายอมรับความพ่ายแพ้จริงๆ
“พูดได้ดี ซัวจ์ ไม่มีผู้ใด นอกจากเจ้าที่เข้าใจและชื่นชมข้า ตอนนี้ ขอข้ากินเจ้าหน้าโง่นี่ก่อน แล้วข้าค่อยบอกเจ้าเกี่ยวกับปัญหาอาหารของข้า ข้าต้องการกินแค่สาวสวยเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม? ถ้าอสูรหล่อๆ อย่างข้าไม่มีสาวสวยเอาไว้กิน อย่างนั้นข้ายังจะถูกมองว่าหล่อได้อย่างไร?” เจ้าอสูรประหลาดโพล่งออกมาอย่างหยาบคาย
“แก..เจ้าอ้วนสกปรก ต่อให้ตาย เจ้าก็ยังไร้ค่าอยู่ดี” เย่ว์หยางฟังโดยทำอะไรไม่ถูก เขาไม่อยากเชื่อเลยว่ายังจะมีอสูรเช่นนี้อยู่จริง
เย่ว์หยางเริ่มรู้สึกสงสารซัวจ์ อสูรพิทักษ์ของคนอื่นจะเชื่อฟังคำสั่งเจ้านายของตน แต่ซัวจ์กลับต้องคอยรับใช้อสูรพิทักษ์ของตนเองแทน
เย่ว์หยางรู้สึกว่า ถ้าซัวจ์มีโอกาสเปลี่ยนอสูรพิทักษ์ของเขาได้ อย่างนั้นเขาคาดว่าซัวจ์คงยินดีเปลี่ยนแน่ แม้จะเป็นกระต่ายหูยาวที่ไร้ประโยชน์ก็ตาม
ในโลกนี้ คงไม่มีอสูรอื่นสวะยิ่งกว่าอสูรปากกระโถนนั่นแล้ว
ทันทีที่อสูรประหลาดตนนี้ได้ยินคำนี้ มันระเบิดความโกรธ กระโดดสูงขึ้นไปในอากาศตั้งใจจะใช้แรงกระแทกจากการกระโดดของตัวเองบดขยี้เขา
เย่ว์หยางหลบไปจากตำแหน่งเดิมที่ยืน และไปปรากฏตัวบนหัวของอสูรประหลาด เขาใช้ดาบวิเศษฮุยจินฟันศีรษะของอสูรประหลาด ปรากฏรอยตัดขนาดใหญ่บนกะโหลกของอสูรประหลาด จากนั้นเย่ว์หยางตีลังกาอย่างคล่องแคล่วแล้วเตะเจ้าอสูรประหลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลให้เจ้าก้อนเนื้อเดินได้กระเด็นออกไป
“ไม่มีประโยชน์, ท่านปากกระโถนผู้นี้เป็นอสูรไร้เทียมทาน การโจมตีทุกรูปแบบไม่มีผลต่อข้า” อสูรประหลาดตะโกนอย่างผยอง ขณะที่มันจะโดดขึ้นจากหลุมที่เกิดจากแรงกระแทกเพราะมันถูกเย่ว์หยางเตะใส่นั่นเอง
รอยตัดที่เย่ว์หยางฟันไว้ที่กะโหลกของมันก็ปิดและสมานตัวได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
เป็นเหมือนกับว่ามันไม่เคยบาดเจ็บมาก่อนเลย
พ่อมดปีศาจซัวจ์ผงกหัวแค่นเสียงกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นกระบี่, ดาบ, ทวนหรือแม้แต่กรงเล็บและคมเขี้ยวของอสูรร้าย รวมทั้งมหาธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ร่างของอสูรปากกระโถนได้ มันตะกละอย่างไม่มีใครเทียบ และไม่ว่าจะเป็นอสูรตนใดมายืนอยู่ต่อหน้าของมัน ทุกตัวจะต้องเผชิญกับจุดจบอย่างเดียวกัน นั่นก็คือถูกเขมือบ”
เย่ว์หยางขมวดคิ้วขณะที่เขาได้ยินคำนั้น
เขารู้ว่าในโลกนี้ ไม่มีอสูรไร้เทียมทาน จะต้องมีจุดอ่อนสำหรับอสูรแต่ละชนิด
อสูรปากกระโถนจอมตะกละที่น่าเกลียด ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“เจ้าอาหารขยะ! จงตายให้ข้าได้แล้ว แล้วดูท่านปากกระโถนผู้นี้กินเจ้าให้ดี!” อสูรประหลาดไล่ตามเย่ว์หยางอย่างดุร้าย เย่ว์หยางไม่รอให้มันเข้ามาใกล้ เขายกก้อนหินขนาดใหญ่แล้วทุ่มไปที่อสูรประหลาด ทับมันไว้ใต้ก้อนหิน
บึ้ม….
อสูรประหลาดถูกบดทับอยู่ใต้ก้อนหิน แต่หลังจากนั้น มันเปลี่ยนรูปร่างของมันจนเพรียวบางและหลุดออกมาจากก้อนหินได้ จากนั้นสลัดตัวเพียงเล็กน้อย มันก็เริ่มเปลี่ยนคืนสู่สภาพน่าเกลียดของมันดังเดิม
เสี่ยวเหวินหลีชักดาบคู่ออกมาแล้วยิงระเบิดน้ำแข็งออกไปแช่แข็งอสูรประหลาด
จากนั้นเย่ว์หยางเตะมันซ้ำ ส่งผลให้ร่างของอสูรประหลาดแตกกระจายเป็นชิ้นส่วนน้ำแข็งนับไม่ถ้วน
แต่หลังจากนั้น ชิ้นส่วนน้ำแข็งก็เริ่มละลาย และชิ้นส่วนของอสูรประหลาดเริ่มเข้ามารวมร่างอีกครั้ง ชั่วพริบตามันก็กลับคืนสู่ร่างเดิม
เย่ว์หยางวาดดาบวิเศษเรียกเปลวเพลิงสีม่วงแล้วกระโจนขึ้นไปในอากาศ ฟันร่างของอสูรประหลาดจนขาดครึ่ง และใช้เปลวไฟปีศาจสีม่วงเผาผลาญต่อ อสูรประหลาดไม่คำนึงถึงบาดแผลของมันเอง แผลของมันไม่มีเลือดแม้แต่น้อย ชิ้นส่วนเนื้อที่ถูกตัดเริ่มทวีจำนวนมากขึ้นแทน เห็นได้ว่าอสูรประหลาดฟื้นฟูจนสู่สภาพปกติ ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็อย่างที่ข้าพูดไว้ก่อน การโจมตีทุกอย่างไม่มีประโยชน์ต่ออสูรปากกระโถน” พ่อมดปีศาจซัวจ์หัวเราะลั่น
“อย่างนั้นเหรอ?” เย่ว์หยางยิ้มกว้าง
ทักษะญาณทิพย์ระดับ 2 ของเขาเห็นจุดอ่อนของมัน หลังจากสังเกตดูมาระยะหนึ่ง
อสูรปากกระโถนนี้ ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพัน จุดอ่อนของมันอยู่บนร่างกายมันเอง และจุดอ่อนนั้นก็คือวิญญาณที่ถูกผนึกซึ่งมีความเคลื่อนไหวที่คาดไม่ถึง
ถ้าผนึกวิญญาณถูกทำลาย เย่ว์หยางเชื่อว่าร่างของมันก็จะพังทลายทันที แม้ว่ามันจะเป็นอสูรพิทักษ์ซึ่งไม่มีทางตายได้จริงๆ แต่ถ้าวิญญาณที่ผนึกไว้ถูกทำลาย จะต้องใช้เวลา 2 วันกว่ามันจะฟื้นคืนสภาพได้ ตอนนี้ ถ้าเขาบังคับอสูรปากกระโถนให้กลับเข้าไปในคัมภีร์ของพ่อมดปีศาจซัวจ์และทำลายหุ่นเกราะทอง พ่อมดปีศาจซัวจ์..ยังจะมีความสามารถทำอะไรได้อีก? ถ้าเขาไม่ถูกบังคับเขาคงไม่เรียกอสูรอย่างเจ้าปากกระโถนออกมาแน่ เย่ว์หยางส่งสัญญาณให้เสี่ยวเหวินหลีและนางพญากระหายเลือดฆ่า
เผชิญหน้ากับจอมตะกละที่คืนสภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด เย่ว์หยางตัดสินใจว่าเขาจะใช้ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาเพื่อขจัดบางอย่างที่จะทำลายมัน
ตอนนี้ เขาบรรลุปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่สามแล้ว สามารถยิงปราณกระบี่ได้ 6 ครั้ง
ปัจจุบันนี้ เขายังคงสามารถใช้งานได้อีก 3 ครั้ง
ขณะที่เจ้าอสูรประหลาดบุกเข้ามาอย่างดุร้าย เย่ว์หยางตัดเจ้าอสูรประหลาดด้วยการสะบัดดาบวิเศษฮุยจิน
“เปล่าประโยชน์!” พ่อมดปีศาจซัวร์แค่นเสียง
“ข้าจะกินเจ้า” อสูรประหลาด เจ้าปากกระโถน ขยายตัวออกทั้งสองข้างที่มันถูกตัด มันตั้งใจจะห่อหุ้มเย่ว์หยางแล้วย่อยเขาทันที เสี่ยวเหวินหลีฟันใส่อสูรประหลาดด้วยดาบคู่ของเธอ จนแช่แข็งมันได้ทั้งตัว ในโอกาสที่ได้เปรียบนี้ เย่ว์หยางใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายปล่อยปราณกระบี่เข้าไปที่ผนึกวิญญาณของอสูรประหลาดได้ถูกต้อง
ปัง
เสียงก้องอ่อนๆ ดังพอได้ยินได้
มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เห็นได้ว่าอสูรปากกระโถนที่กำลังพ้นสภาพถูกแช่แข็งกำลังร้องด้วยความเจ็บปวด ก้อนเนื้อที่คลุมทั้งร่างเริ่มหลุดตกลงมา มันหลั่งของเหลวสีเขียวที่น่าสะอิดสะเอียน เหมือนกับก้อนไอศครีมที่น่าเกลียดกำลังละลาย
“อาาาา…” พ่อมดปีศาจซัวจ์ตะลึงงันด้วยความกลัว เขาฆ่าอสูรพิทักษ์จอมตะกละด้วยการจู่โจมครั้งเดียวได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร?
ผนึกวิญญาณตะกละไม่น่าจะอ่อนไหวต่อการโจมตีใดๆ อย่างนั้นเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
หรือเป็นไปได้ว่าเจ้าหนูนี่คืออัจฉริยะที่แท้จริง?
พ่อมดปีศาจซัวจ์ถึงกับเหงื่อตก ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้
อีกด้านหนึ่ง นางพญากระหายเลือดใช้ประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างโคเงาและหุ่นเกราะทอง โดยคอยลอบโจมตี
มีดฆ่ามังกรใช้ออกได้ว่องไวปานสายฟ้าและคอยแทงเข้าที่อกของหุ่นเกราะทองและที่แก่นปีศาจของมัน ประกายไฟแล่บออกโดยรอบ ขณะที่ชิ้นส่วนจักรกลของหุ่นเกราะทองร่วงลงพื้นทีละชิ้นๆ ในที่สุดชิ้นส่วนโลหะเกระทองที่ใหญ่ที่สุดก็ร่วงหล่นจนได้และมันระเบิดเสียงดังสนั่น ชิ้นส่วนระเบิดกระจัดกระจายออกไปนับพันๆ ชิ้น ขณะนั้นนางพญากระหายเลือดกระพือปีกบินไปอยู่ข้างตัวเย่ว์หยางช่วยเขาสู้พ่อมดปีศาจซัวจ์
ตรงกันข้ามกับความคาดหวังของนางและเย่ว์หยาง โล่ของคัมภีร์ยังคงทำงานอยู่ แม้ว่าอสูรทุกตัวของซัวจ์จะตายกันหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า หมอกมืดที่ถูกสร้างระหว่างที่ข้าเรียกอสูรออกมา แม้ว่ามันจะไม่มีร่างกายจับต้องให้เห็นได้ แต่คัมภีร์รับรู้ว่ามันเป็นหนึ่งในอสูรอัญเชิญที่ยังคงมีชีวิต เราอยู่ในท้องของมัน และตราบใดที่มันยังคงอยู่ อย่างนั้นคัมภีร์ของข้าก็จะไม่มีทางหายไป อย่างน้อยก็ก่อนที่ข้อจำกัดเวลาจะหมดลง มันจะไม่หายไปแน่ เจ้าปรารถนาจะฆ่าข้าหรือ? พ่อหนุ่ม! ทำไม่ได้หรอก นักสู้ปราณก่อกำเนิด เจ้ายังมีประสบการณ์น้อยเกินไป เจ้าเห็นลูกบอลเทเลพอร์ทที่ข้าถืออยู่ไหม? ทันทีที่หมอกดำแพร่กระจาย ข้าจะจากไปและเจ้าจะไม่สามารถแตะต้องผมบนหัวของข้าได้แม้แต่เส้นเดียว เจ้าได้แต่มองอย่างทำอะไรไม่ได้ ขณะข้าจากไป… เจ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือ? มาฆ่าข้าเลย ถ้าเจ้าทำได้” พ่อมดปีศาจซัวจ์หัวเราะลั่น บางทีเขาคงรู้สึกว่ายั่วเย้าเขาแค่นี้ยังไม่เพียงพอ เขาเก็บลูกบอลเทเลพอร์ทไว้ในแหวนลิชแล้วสบายอยู่บนเก้าอี้อย่างโอ้อวด จากนั้นเขาถือแก้วเหล้าและดื่มมันช้าๆ
แน่นอนว่า แท้จริงแล้วเขากังวลในใจมาก
แม้ว่าอสูรปากกระโถน อสูรพิทักษ์ของเขาจะไม่มีทางตายจริงๆ แต่ถ้าผนึกวิญญาณของมันเสียหาย ก็ไม่น่าจะฟื้นคืนสภาพภายในเดือนเดียว
แก่นเวทของหุ่นเกราะทองเสียหายและถูกทำลายไปแล้ว ส่วนอสูรน้ำแข็งทั้งสองเขา ตัวหนึ่งถูกเจ้าเด็กนี่ทำลาย อีกตัวหนึ่งผสานเข้ากับมังกรอสุภ เพื่อวิวัฒนาการเป็นมังกรเยือกแข็งยักษ์ และมันถูกตั๊กแตนมรณะฟันคอขาด ยิ่งไปกว่านั้น แก่นผลึกมังกรของมันถูกอสูรทองน้อยกินเข้าไป
โชคดีที่เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าหมอกมืดจะหายไปเมื่อไหร่ พลังปราณก่อกำเนิดสำหรับโจมตียังอยู่ในมือของเจ้าเด็กตัวแสบ มิฉะนั้น ถ้าเจ้าเด็กนั่นยืนเฝ้าและเตรียมซุ่มทำร้ายตัวเขา นั่นจะเป็นเรื่องอันตราย
การต่อสู้ครั้งนี้ เขาพ่ายแพ้แล้ว
การพ่ายแพ้ครั้งนี้จำต้องยอมรับ คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่แค่นักสู้ปราณก่อกำเนิดเท่านั้น แต่เขายังครอบครองอสูรที่แข็งแกร่งมากมายและปกปิดซ่อนแผนของตนเองตลอดเวลา ซัวจ์ทำผิดพลาดในตอนแรกที่ประเมินผิดและมุ่งเน้นโจมตีใส่อสูรทอง ระดับ 7 ตั๊กแตนมรณะแทน เจ้าเด็กบ้านั่นรอให้อสูรของเขาเผยจุดอ่อนก่อนจะออกมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมด
เขายอมรับการพ่ายแพ้ฝ่ายตรงข้ามอย่างแท้จริง
ในโลกนี้ นอกจากเขาและพ่อมดปีศาจอื่นไม่กี่คน ใครจะสามารถหลบหนีพ้นเงื้อมมือของนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้อย่างปลอดภัย?
พ่อมดปีศาจซัวจ์รู้สึกสบายใจขณะที่เขาคิดไปในทำนองนี้
เมื่อเขารายงานเรื่องนักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดมนุษย์น้อยผู้นี้ กษัตริย์ลิชจะต้องให้รางวัลเขาอย่างมากแน่นอน พอถึงตอนนั้น ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมาก ความพ่ายแพ้ครั้งนี้นำความสูญเสียมาให้เขาก็จริง แต่ถ้าเขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย อย่างนั้นเขาจะสามารถกลับมาได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเขาเห็นเย่ว์หยางทำท่าทางแปลกๆ และเริ่มยกมือป้องกัน เจ้าเด็กบ้านี่พยายามจะทำอะไร?
อาจเป็นได้ว่า เขาต้องการเจาะโล่เข้ามาโจมตีเขาหรือ?
เป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นไปไม่ได้
ก่อนที่ซัวจ์จะได้รวบรวมความคิดของเขา ร่างของคนผู้หนึ่งก็แว่บเข้ามาอยู่ต่อหน้าเขา
มีปราณกระบี่สายหนึ่งที่ดูเหมือนจะผ่านเข้ามาไม่ได้มาปรากฏต่อตาซัวจ์ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะทะลุผ่านโล่เข้ามาทำร้ายซัวจ์ได้ ซัวจ์มึนงง ไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลาก่อนที่ปราณกระบี่จะเข้ามาถึงเขาเร็วพอๆ กับสายฟ้า และหยุดขณะมันจ่อเข้าที่หน้าผากของเขา เขาตกใจมากจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
ความยาวของปราณกระบี่ยังขยายออกมาไกลไม่พอ มันเกือบจะคร่าชีวิตของซัวจ์ได้ ส่งผลให้ซัวจ์รอดพ้นจากความตายได้
เขาได้ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แต่เมื่อเมื่อปราณกระบี่แทงทะลุโล่ได้ ซัวจ์ถึงกับตัวสั่นทำแก้วตกจนตัวเปียกหล้า
เกือบไปแล้ว
เจ้าเด็กนี่เกือบฆ่าเราเสียแล้ว
ซัวจ์ตกใจมากจนตัวสั่นอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ เขายืนขึ้นทันทีและเดินถอยหลังจนชนเก้าอี้ล้ม
เข้าต้องรีบจากไปทันทีหรือมิฉะนั้นเขาจะตกอยู่ในอันตราย แต่หมอกมืดอยู่ในระยะไกล และใกล้ถึงขีดจำกัดเวลาแล้วและเขาไม่มีทางเรียกมันกลับมา ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่หมอกมืดหายไป โล่ของคัมภีร์ก็จะหายไปด้วย อยู่ต่อหน้านักสู้ปราณก่อกำเนิด ความล่าช้าแม้เพียงวินาทีเดียวก่อนเทเลพอร์ท ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก พ่อมดปีศาจซัวจ์เอื้อมมือออกไปถือคัมภีร์ทอง เตรียมเรียกอสูรตัวสุดท้ายของเขาออกมารักษาโล่ของเขาสัก 3 วินาทีก่อนที่อสูรหมอกมืดจะหายไป เขาจะเปิดการใช้งานลูกบอลเทเลพอร์ต
เขาหวังว่าอสูรตัวสุดท้ายจะสามารถยื้อเวลาให้เขาหลบหนีได้โดยปลอดภัย
ในทันทีที่ซัวจ์ตัดสินใจ ในทันใดนั้นแสงรัศมีอัญเชิญเปล่งออกจากมือของเสี่ยวเหวินหลี มันดูเป็นแสงบริสุทธิ์อย่างมาก ขณะที่มันก่อเป็นรูปร่างหนึ่งสูง 10 เมตร เป็นภาพของนักรบอสรพิษ
พร้อมกับเสียงดังแครกเหมือนไข่แตก โล่คัมภีร์ของซัวจ์เริ่มแตกหายไป
เขาไม่สามารถเรียกอสูรตัวสุดท้ายของเขาได้ไวพอ
“จบสิ้นกัน” พ่อมดปีศาจมองดูอย่างทำอะไรไม่ถูก ขณะที่โล่ของเขาแตกและดึงลูกบอลเทเลพอร์ตออกมาอย่างร้อนรน แต่ขณะที่เขาจะทุบเพื่อให้มันทำงาน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าทั้งร่างของเขาถูกตรึงไว้และไม่สามารถขยับได้
เย่ว์หยางเดินขึ้นมาช้าๆ และหักนิ้วของซัวจ์ขณะที่เขางัดลูกบอลเทเลพอร์ตออกมาจากมือของซัวจ์และโยนมันออกไป เขาฉีกยิ้มเหมือนปีศาจร้ายกล่าวว่า “โชคไม่ดีเลยนะ ข้าขอบอกข่าวร้ายบางอย่างให้เจ้า โซ่ล่องหนทักษะธรรมชาติของเสี่ยวเหวินหลีของข้าได้ยกระดับเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเครียดไป หากว่าเจ้าขยับไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าต้องการขยับ ข้าช่วยเจ้าได้ ยกตัวอย่าง ข้าคงยินดีที่จะใช้หัวของเจ้าต่างลูกฟุตบอล ท่านซัวจ์! สำหรับงานแบบนี้ละก็ ข้าทำให้ฟรีๆ เลย”
***************************