เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 13 – เป้าหมาย

===============
เทพธิดากระบี่มองไม่เห็นเย่ว์หยางผู้กำลังปลาบปลื้มใจ เหมือนกับว่านางมองไม่เห็นเย่ว์หยางเลย

มือขาวนวลราวกลีบบัวของนางถือจี้หยกดำเส้นนั้น สายตานางสำรวจดูอย่างใคร่รู้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เย่ว์หยางจะโผโอบแขนเข้าหานาง พอตะโกนว่า “ที่รักจ๋า!” นางก็หายวับไปในอากาศ

เย่ว์หยางคว้าได้แต่เพียงจี้หยกดำที่นางทิ้งไว้ เขาแปลกใจเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตจากจี้หยกดำ

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่เขาสะดุ้งเพราะตกใจที่พลังที่เขารู้สึกนั้นได้ ไหลบ่าเข้ามาในใจเขาทันที เป็นไปได้ว่าเทพธิดากระบี่ช่วยเขาทำลายผนึกจี้หยกดำกระมัง?

ด้วยจี้หยกดำนี่เอง เย่ว์หยางดำเนินการฝึกในความฝันอย่างต่อเนื่องมีผลเป็นทวีคูณ เมื่อสวมจี้หยกดำ เขาสามารถดูดซึมพลังภายในจากโลกและบรรยากาศได้ง่ายมาก และยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ดูดซับพลังภายในที่เก็บไว้ภายในจี้นั้นเอง

คราวนี้ เขาสามารถดูดซับพลังได้มากกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับการฝันในครั้งก่อน

โดยไม่รู้ตัว พลังปราณสายที่ 2 ของเขา เส้นปราณหัวใจตอนนี้เชื่อมเข้าด้วยกัน เย่ว์หยางคิดว่าเป็นแบบนี้่ต่อไป เขาจะสามารถเชื่อมเส้นปราณหลักทั้ง 12 สายในกายเขาเข้าด้วยกันได้ทั้งหมดภายในเวลา 1 เดือน เมื่อเขาควบคุมได้อย่างนั้น เขาจะสำเร็จชั้นปราณก่อกำเนิด กระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ 1 และเข้าสู่ขอบเขตชั้นปราณก่อกำเนิด

เมื่อเย่ว์หยางตื่นขึ้นในตอนเช้า ก็พบว่ามีบางอย่างแปลกไป

เมื่อเขามองจี้หยกดำที่สวมอยู่ที่คอ มันยังคงสภาพเหมือนเมื่อก่อน สีดำสนิท แตกต่างจากที่ปรากฏในฝันของเขา เขาไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายเขามีพลังภายในไร้ขีดจำกัดเหมือนที่รู้สึกในฝัน หรือว่าเขาคงใช้จี้หยกดำนี้ในความฝันได้อย่างเดียว? หรือว่าจี้หยกดำนี้ถูกทำลายผนึกโดยเทพธิดากระบี่ฟ้าในฝันของเขา?

วัตถุนี่เต็มไปด้วยความลึกลับ คนธรรมดาคงจะไม่เคยรู้เรื่องของมันหรือสามารถใช้มันได้ ทำไมบิดามารดาของเจ้าคนที่น่าสงสารถึงได้ทิ้งเอาไว้ให้เขา?

ยังจะมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ในบันทึกทั้ง 2 หรือไม่?

จี้หยกดำนี้เป็นสมบัติเช่นใดกันแน่? มันเป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้จริงๆ หรือ?

ไม่ว่าเขาจะพยายามค้นหาอย่างหนักเพียงใด เย่ว์หยางก็ยังไม่เข้าใจจี้หยกดำลึกลับนี้

อย่างไรก็ตาม ตามปกติเย่ว์หยาง เขาจะเลิกคิดเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้ไว้ก่อน เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้ค้างคาอยู่ในใจเขา

เวลาผ่านไป

เย่ว์หยางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเขาเปลี่ยนไปเท่าไหร่, แต่ในสายตาของหญิงงามและเย่ว์ปิงเห็นว่า เขาเปลี่ยนแปลงทุกวัน

ช่วงเวลาที่เขาดูดซึมพลังวิญญาณในจี้หยกดำ สภาพร่างกายเขาแข็งแรงขึ้น ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพลังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า พวกนางคิดว่าเย่ว์หยางอารมณ์ดีตั้งแต่ทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผิวพรรณของเขาดูดี อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่วันมานี้ ผิวของเย่ว์หยางเริ่มลอก ตอนแรกเริ่มจากที่มือของเขา จากนั้นที่ขาและที่ลำตัวและท้ายสุดคือที่หน้าของเขา ผิวของเขาลอกไปทุกตารางนิ้วเผยให้เห็นผิวใหม่ในภายใต้ หลังจากผิวของเขาลอกไปหมดแล้ว ผิวของเย่ว์หยางกลายเป็นดูเปล่งปลั่งและขาวนวลเหมือนหยก มันดูขาวพอๆ กับผิวสีขาวหิมะของเย่ว์ปิง มันสมบูรณ์เปล่งปลั่งบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีแข็งแรง

เย่ว์หยางยังเปลี่ยนไปกลายเป็นเก็บตัวมากขึ้นเมื่อผ่านไปหลายวัน

ถ้าหญิงงามไม่เห็นเขาเติบโตเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน นางคงไม่มีทางเชื่อเลยว่าซานเอ๋อจะเปลี่ยนไปได้มากในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน

“ซานเอ๋อ! เจ้าไม่สบายหรือเปล่า? บางทีเจ้าน่าจะพักสัก 2-3 วันนะ ข้าเกรงว่าร่างกายของเจ้าจะทนไม่ได้ หากว่าเจ้าฝึกหนักเกินไป หรือเจ้าจะพยายามตายด้วยวิธีนี้?” เมื่อตอนที่หญิงงามเห็นเย่ว์หยางผลัดสีผิวที่มือตอนแรก นางคิดว่า เขาทำสัญญากับโรคบางอย่าง หรือว่าเขาฝึกหนักจนร่างกายรับไม่ไหว และแสดงผลข้างเคียงออกมา ในที่สุด เพียงเมื่อนางเห็นเขาดีขึ้นมากและดูเหมือนคนใหม่ตอนที่เขาผลัดผิวทั้งหมด นางจึงค่อยรู้สึกสบายใจ มันแทบจะคล้ายได้เห็นวงจรชีวิตของหนอนที่กลายเป็นผีเสื้อ นางคิดว่ามันคงไม่แย่ขนาดนั้น

“ข้าสบายดี, สบายดี…” เย่ว์หยางรู้ว่านี่เป็นผลข้างเคียงของการย่างเข้าสู่ขอบเขตปราณก่อกำเนิด

พอได้ผ่านการดูดซึมพลังภายในบริสุทธิ์จากจี้หยกดำเป็นปริมาณมาก เขาเกือบจะสำเร็จวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ ปราณก่อกำเนิดขั้นแรกได้ นั่นหมายความว่าเขาเกือบถึงขอบเขตปราณก่อกำเนิดแล้ว นั่นคือสาเหตุทำให้ผิวของเขาลอกออกและทำการผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น ซึ่งก็หมายถึงการเกิดใหม่อันเป็นผลข้างเคียงจากการย่างเข้าสู่ดินแดนปราณก่อกำเนิดนั้น

ผิวลอกออก และดูสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ หญิงงามกับเย่ว์ปิงสามารถมองเห็นจากภายนอกได้

แต่ร่างกายของเย่ว์เปลี่ยนเป็นแข็งแรงขึ้น มีพลังขึ้นแและภายในสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในวันแล้ววันเล่า

นอกจากนี้ กล้ามเนื้อของเย่ว์หยางไม่เหมือนกับนักเพาะกล้าม มันดูสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า ตอนนี้ กล้ามเนื้อของเขาค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นมา ท้องเขาตึงแข็งกว่าเดิมและไม่มีไขมันในร่างกายอีกต่อไป แขนขายังคงดูผอมเหมือนก่อน แต่ก็เริ่มแข็งแรงและหนาขึ้นทุกวัน เย่ว์หยางเห็นมันเองตอนที่เขาอาบน้ำ นับแต่เขาฝึกวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิด ร่างกายเขาเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน

เขาสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทุกวัน

เขาไม่ได้มีกล้ามเนื้อใดๆ มากขึ้นแม้ว่าเขาจะครอบครองพลังมหาศาล เย่ว์หยางไม่แปลกใจที่เขาเปลี่ยนไปอย่างนั้น เพราะเขาได้เห็นตัวเองจากการเห็นเทพธิดากระบี่ฟ้านั้น มือที่เรียวและยาว อาจทำให้มีอำนาจทำลายดังกล่าว ตั้งแต่เขาฝึกกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นปราณก่อกำเนิด ถือเป็นเรื่องปกติที่เขาไม่ต้องทำอะไรกับกล้ามเนื้อเลย

กระบี่ไร้ลักษณ์ชั้นปราณก่อกำเนิดเป็นวิชาที่ไม่ง่ายที่นักสู้ระดับ 3 จะเรียนรู้ได้

เย่ว์หยางอารมณ์ดีขึ้นทุกวัน ขณะที่เขาเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าในแต่ละวัน

กลับกลายเป็นว่าเจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นี้มีแต่ความลับ ไม่เคยพูดอะไรให้หญิงงามหรือคนอื่นๆ ฟังเลย

เวลาเดือนหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเย่ว์หยางเชื่อมเส้นพลังลมปราณหลักทั้ง 12 ถึงกันหมด เส้นไท่อินที่แขน ไท่อินที่เท้า ไท่หยางที่มือ ไท่หยางที่เท้า เส้าอินที่มือ เส้าหยางที่เท้าและเส้นปราณอื่นๆ อีก เย่ว์หยางในปัจจุบันนี้เกือบจะสำเร็จกระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิดขั้นที่ 1 แล้ว เหลือแต่เพียงก้าวย่างสุดท้าย คือเชื่อมเส้นลมปราณทั้ง 12 เข้าด้วยกันกับเส้นปราณพิเศษอื่น จากนั้นถึงจะสำเร็จวิชาขั้นแรก และย่างเข้าสู่เขตแดนปราณก่อกำเนิดที่นักสู้ระดับสูงทุกคนใฝ่ฝัน

แม้แต่นักสู้ผู้มีพรสวรรค์ในแผ่นดินมังกรทะยานจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปีถึงจะสามารถย่างเข้าเขตแดนปราณก่อกำเนิดได้

อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางจำเป็นต้องใช้เวลาฝึกวิชาปราณธรรมชาติของเขานี้ ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ แม้ใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน เขาก็เข้าไปถึงระดับผู้มีปราณธรรมชาติก่อกำเนิดแล้ว ทั้งที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีเพื่อฝึกให้ได้ จากตรงนี้ จะเห็นได้ว่ากระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิดเป็นวิชาที่สูงสุดยอดอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น สำหรับเย่ว์หยางตอนนี้ วิชาทวนตระกูลเย่ว์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นวิชาระดับสูงในแผ่นดินมังกรทะยาน กลับเป็นเรื่องง่ายเหมือนอ่านหนังสือเด็กประถม 4 หรือ 5 สำหรับผู้ที่ตอนนี้เป็นเหมือนคนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้ถ้าเอาไปเทียบกับวิชาระดับ 3 ที่นักรบได้เรียนรู้แล้ว สำหรับเขาแล้วเหมือนความรู้ชั้นอนุบาล เย่ว์หยางคิดว่า วิชาทวนนั่นคงจะเป็นวิชาระดับปราณธรรมชาติก่อกำเนิดแท้ๆ ถ้าไม่ได้สูญหายไปหลายชั่วคน อย่างดีก็เหมือนกับเป็นวิชาระดับมัธยมต้นหรือไม่ก็มัธยมปลาย วิชาเหล่านั้นรวมกันแล้วยังเทียบไม่ได้กับปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นก่อกำเนิดที่เขาได้เรียนรู้มา

ตอนนี้ เย่ว์หยางเกิดสงสัยเกี่ยวกับเทพธิดากระบี่ฟ้าขึ้นมาทันที นางเป็นใครกันแน่?

เปรียบเทียบนางกับนักสู้ระดับสูงในโลกนี้แล้ว อย่างนั้นนางอยู่ที่ไหน และอยู่ในชั้นอะไร?

“พี่สาม! ข้าจำเป็นต้องกลับไปในเมืองเพื่อสอบในสถาบัน ข้าจะกลับพรุ่งนี้แล้ว เกี่ยวกับพื้นฐานวิชาอัญเชิญ ท่านคุ้นเคยกับมันดีแล้ว ท่านน่าจะเข้าชั้นเรียนปี 2 ในสถาบันได้อย่างไม่มีปัญหา, พี่สาม! เรื่องที่น่าเสียดายเรื่องเดียวคือ ตอนนี้ท่านยังไม่สามารถเรียก “หมอก” สัตว์อสูรผู้พิทักษ์ออกมาได้ ฝึกสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ท่านให้ดี มันจะไม่หักหลัง ไม่หนีหายไป นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านต้องทำ หลังจากข้าไปแล้วอย่าเรียกต้นดอกหนามพ่นพิษออกมาอีกเลย ท่านควรจะใช้ทอง 100 เหรียญที่ได้รับมาซื้อสัตว์อสูรดีกว่า ชนิดที่ดีที่สุดน่าจะเป็นสายสัตว์ร้ายหรือสายวิหคอย่างสุนัขป่าวายุ ราชสีห์เพลิง, วิหคสายฟ้า, เหยี่ยวทอง เสียดายจริงๆ.. ถ้าเพียงแต่ยาปลุกพลังวิญญาณสัตว์อสูรไม่ถูกลุงรองเบียดเบียนไปให้น้อง 9 แล้วล่ะก็ พี่สามอาจอัญเชิญสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ของตนเองได้ รังแกกันชัดๆ ปีหน้าแข่งขันในตระกูล ข้าจะไม่เมตตาแล้วจะต้องสั่งสอนพวกเขาให้หลาบจำเสียบ้าง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านปู่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในตระกูลจะได้เลิกดูถูกพวกเราตระกูลสาขาที่สี่เสียที

ก่อนที่เย่ว์ปิงจะแยกจากไป นางย้ำเตือนเย่ว์หยางอีก

ในใจนาง นางเห็นใจเย่ว์หยางจริงๆ เพราะนางรู้สึกเหมือนมองเห็นตัวเอง อัจฉริยะผู้ถูกตระกูลตัวเองดูถูกดูแคลน

นางทุกข์ใจอย่างมากกับธรรมเนียมแผ่นดินมังกรทะยาน เรื่องให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และสถานะของนางเป็นม่าย (ขันหมาก) ตั้งแต่อายุยังน้อย นางไม่กล้าปฏิเสธในครั้งล่าสุด แต่พี่สามในตอนนี้คืออนาคตของครอบครัวนาง ถ้าเขาไม่มีอะไรดี อย่างนั้นนางคงพูดอะไรไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคืออัจฉริยะ และเขายังโดนดูหมิ่นจากตระกูลและปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม นี่ทำให้นางรู้สึกผิดอย่างมาก

เย่ว์หยางลูบศีรษะเย่ว์ปิง แต่ไม่ได้พูดอะไร

เขารู้จักความสามารถตัวเองดี และสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ของเขาจริงๆแล้วไม่ใช่ “หมอก” แต่เป็นเงาปีศาจ บางทีเขาคงไม่สามารถเรียกหมอกที่เป็นสัตว์อสูรผู้พิทักษ์ออกมาได้จนกระทั่งโลกแตกเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เงาปีศาจดีกว่า “หมอก” ถึง 10 เท่า

เขาเรียกเงาออกมาได้ครั้งละ 10 วัน ซึ่งก็หมายความว่าเขาอาจเรียกเงา 10 สายออกมาซ้อนทับกันก็ได้ การรวมเงาทั้ง 10 เข้าด้วยกัน อาจเพิ่มความสามารถของพวกมันได้ถึง 50% เพิ่มกับการที่เขาฝึกพลังปราณได้สำเร็จแม้แต่เขาก็จินตนาการไม่ออกว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขา ถูกยกระดับขึ้นจนสูงขนาดไหน?

พอเห็นเย่ว์ปิงจากไป เย่ว์หยางไม่ได้รีบซื้อหมาป่าวายุ ราชสีห์เพลิง วิหคสายฟ้าหรือเหยี่ยวทองแต่อย่างใด

ในสายตาเขา ดอกหนามพ่นพิษดีกว่าหมาป่าวายุหรือราชสีห์เพลิงมากนัก

ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝึกกระบี่ไร้ลักษณ์ปราณธรรมชาติก่อกำเนิดให้สำเร็จให้ได้ เขาเหลือเพียงก้าวสุดท้ายก่อนเข้าสู่เขตแดนปราณก่อกำเนิด

************************

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset