เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 130 – ตอนที่ 127 ตระหนักรู้จุดเปลี่ยนของคนๆ หนึ่ง

===============
เมื่อเย่ว์หยาง, เย่คงและสหายมาถึงจัตุรัสหินดำ พวกเขาเห็นบุรุษคนหนึ่งรูปร่างสูงเป็นพิเศษอยู่ในชุดเกราะดำกำลังยืนรออยู่

บุรุษผู้นี้มีร่องรอยความรุนแรงปรากฏอยู่บนสีหน้า กับรอยแผลเป็นที่น่ากลัวเกลื่อนเต็มใบหน้าของเขา ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นปีศาจ ตอนแรก เย่คงไม่เชื่อว่าครูผู้สอนจะฆ่านักเรียนได้จริงๆ แต่พอเห็นท่าทางดุร้ายของบุรุษเกราะดำแล้ว เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่สงสัย บางทีคนผู้นี้อาจจะฆ่าคนที่ท้าทายคำสั่งของเขาก็ได้ ตาของบุรุษเกราะดำเหมือนกับตาอินทรีซึ่งเฉียบคมราวกับจะมองเจาะเข้าไปในใจมนุษย์ อย่าว่าแต่นักรบธรรมดาเลย แม้เมื่อเย่ว์หยางสบตากับเขาครั้งหนึ่ง เขายังรู้สึกสะท้านใจ รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายที่น่ากลัวจากสายตานั้นได้ เย่ว์หยางเคยเห็นสายตาเช่นนี้มาก่อน 2 คน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ที่เคยต่อสู้ในสนามรบฆ่าคนมานับไม่ถ้วนแม้แต่ในแดนอเวจี อีกคนหนึ่งก็คือผู้ที่มีฉายาว่า พันกระดูกผุ เฟิงขวง

ถ้าเขาไม่เคยฆ่าคนตัดศีรษะคนมาหลายหมื่น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสะสมรังสีฆ่าฟันไว้มากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าบุรุษนัยน์ตาอินทรีที่อยู่ต่อหน้าเขายังคงเป็นทหารผู้เสียสละเลือดเนื้อในสนามรบมามาก หนีพ้นความตายมาได้ด้วยตนเองอย่างหวุดหวิด

รังสีฆ่าฟันแบบนั้นแตกต่างจากที่นักรบธรรมดาสะสมไว้จากการล่าสัตว์

ถ้ารังสีฆ่าฟันของบุรุษเกราะดำนี้เป็นดาบสำหรับฆ่าคน อย่างนั้นรังสีฆ่าฟันของนักรบธรรมดาก็เปรียบเหมือนกับมีดปอกผลไม้เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติที่จะเอาทั้งสองมาเปรียบเทียบในระดับเดียวกัน

นักเรียนในชั้นเรียนมรณะมารวมตัวกันโดยเร็ว พวกเขาต่างจากเย่ว์หยางและสหายที่เพิ่งเข้ามาร่วม คนพวกนี้จะจัดแถวเป็นตอนลึก 2 แถวแทบจะทันทีที่มาถึง บรรดานักเรียนทั้งหมด มีบุรุษเป็นจำนวนน้อยมาก คือมีเพียง 6 คนเท่านั้น เกือบทั้งหมดเป็นเด็กผู้หญิงมีประมาณ 20 กว่าคนจากทั้งหมด สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือ ยังคงมีเด็กเล็กอีก 5 คน

มีทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และที่โตที่สุดในหมู่พวกเขามีอายุไม่เกิน 10 ปี

แต่พวกเขาทั้งหมดเคร่งขรึมและจริงจัง พวกเขาเชิดหน้าน้อยๆ กันสลอน หลังของพวกเขาตั้งตรงดั่งท่อนไม้ และขาเหยียดตรง ทั้งหมดดูประหนึ่งนักรบที่มีคุณภาพ

“พวกเจ้าทั้ง 5 คนจัดกลุ่มตัวเองเป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วไปยืนข้างหลังโน่น” บุรุษเกราะดำนัยน์ตาอินทรีที่มีรังสีการฆ่าฟันรุนแรง ใช้เสียงที่แหบเล็กน้อยตะโกนไปที่เย่ว์หยาง หลังจากรอเย่ว์หยางและพวกจัดแถวได้อย่างถูกต้องแล้ว เขาใช้ตาอินทรีกวาดมองไปรอบๆ จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชาว่า “เหล่าทหารของเราวิ่งเข้าไปดักซุ่มเส้นทางลำไส้มังกร แม้ว่าพวกเขาจะได้ชัยชนะหลังการสู้รบนองเลือด มีคนถูกพิษ 300 คน พวกเขาถูกหนอนปีศาจชนิดพิเศษกัดเอา และมีปัญหาคือยาหลักที่หน่วยพยาบาลหลักขาดแคลน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถรักษาได้อย่างเหมาะสม ตอนนี้ เราต้องเข้าไปในแดนอเวจีของปีศาจเพื่อเก็บรวบรวมสมุนไพร เพื่อเอามารักษาทหารที่ถูกพิษ ผู้ที่ต้องการจะถอนตัวภายใน 10 วินาที เชิญไสหัวไปสนุกกับชีวิตต่อไป ส่วนนักรบผู้กล้าหาญที่ไม่กลัวตาย ตามข้ามา”

“……” ใจจริงของเจ้าอ้วนไห่ เขาต้องการจะถอนตัว นักเรียนกลุ่มใหญ่ ไปรวบรวมสมุนไพรในแดนปีศาจ ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ? แต่พอเห็นว่าเย่ว์หยางไม่ได้พูดอะไรและแม้แต่เด็กๆ ที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ยังมีสีหน้ามุ่งมั่น เขาพบว่ามันน่าอายเกินไปที่จะบอกว่า เขาไม่ต้องการไป

“……” เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ตรงกันข้าม พวกเขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ครั้งก่อนเมื่อพวกเขารุกโต้ตอบทหารปีศาจในดินแดนปีศาจ พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ใดๆ เลย เป็นเย่ว์หยางจัดการคนเดียว เขาเพียงลำพังฆ่าขุนพลปีศาจช่วยทุกคนมาได้

เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจตนเอง

พวกเขาอาจไม่มีคุณสมบัติและความแข็งแกร่งที่จำเป็นในการต่อสู้กับทหารปีศาจในแดนปีศาจ แต่เก็บรวบรวมสมุนไพรเพื่อช่วยชีวิตคน ก็ไม่ควรมีปัญหา

สำหรับเย่ว์หยาง มีเรื่องแปลกใจมากกว่า สถาบันมักจะพานักเรียนของพวกเขาออกไปหาประสบการณ์บ่อยๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม สถาบันตามปกติรวมทั้งสถาบันฉางจิงก็เพียงเดินทางไปหัวเมืองต่างๆ ในทวีปมังกรทะยาน ตัวอย่างเช่น ทุ่งม้าป่า, ลานน้ำแข็งหมีหิมะ, โตรกหมาป่า, อ่าวฉลามขาว หรือไม่ก็ผาเหยี่ยวหงอน เพื่อฝึกหาประสบการณ์ ที่สำคัญที่สุด พวกเขาเพียงไปที่หอทงเทียนชั้น 1 และชั้น 2 เพื่อฝึกหาประสบการณ์ แม้แต่ในชั้น 3 ก็เพื่อทำการทดสอบขอจบสำหรับนักเรียนปีสุดท้ายเท่านั้น

เขาไม่คิดเลยว่าสถาบันฉางชุนเฉิงนี้จะดิ่งตรงเข้าแดนปีศาจในวันแรกเลย..

แดนปีศาจเป็นที่แบบไหน? ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่เย่ว์หยางก็ยังเข้าใจว่า มันเป็นที่ๆ มีความตายวิ่งพล่านไปหมด

แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบกับทหารปีศาจ แต่ก็ต้องพบกับปีศาจหรือสัตว์ประหลาดทุกประเภทที่ยังอันตรายอยู่ดี

แค่เพื่อชีวิตทหารไม่กี่ร้อย สถาบันฉางชุนเฉิงถึงกับส่งเด็กที่โดดเด่น 30 กว่าคนไปเก็บสมุนไพรในแดนปีศาจด้วยหรือ? บรรดาคนชั้นสูงเหล่านี้ มีแม้กระทั่งพระธิดาของจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ เด็กหญิงตัวกะเปี๊ยกที่อยู่ข้างหน้ามีอายุน้อยที่สุด องค์หญิงเพ่ยเพ่ย เธอยังเล่นปั้นดินอยู่กับเย่ว์ชวงเมื่อคราวฉลองปีใหม่ที่ผ่านมานี่เอง

เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการว่า เด็กหญิงวัย 6 หรือ 7 ขวบต้องถูกส่งไปฝึกตัวในแดนปีศาจกันแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เธอทำคะแนนได้ถึง 80 คะแนนในการทดสอบข้อเขียนของเธอ นี่เป็นการศึกษาแบบไหนกันแน่?

หรือว่าเป็นระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับชื่อของมัน ชั้นเรียนมรณะ

เย่ว์หยางเหงื่อตกคิดว่า จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้อำมหิตจริงๆ เขาจะปูทางเป็นจักรพรรดิชัดๆ

หมอวัยกลางคนผู้รับผิดชอบอยู่ที่วงแหวนเทเลพอร์ตกำลังอธิบายความรู้เกี่ยวกับยาที่กำลังจะไปเก็บ เขาถือขวด 2 ขวดในมือแยกจากกัน

“สมุนไพรที่เราต้องไปรวบรวมมาก็คือ “กล้วยไม้หัวใจฝ่อกลีบดำ” มันเป็นสมุนไพรที่มีพิษมาก ก่อนที่จะกลั่นมัน ถ้าใครถูกมันหยดใส่ หรือติดเชื้อที่แผลแม้แต่น้อย เขาจะมีเลือดพุ่งออกทางทวารทั้งเจ็ดของศีรษะและตายภายในหนึ่งนาที ขณะเดียวกันมันคล้ายกับ “หญ้าบินลายหนู” เจ้าต้นที่เราต้องการใบแก่ๆ จะมีหนามแหลมอยู่มุมของมัน ขณะที่เจ้าหญ้าชนิดนี้จะมีขนขึ้นอยู่ที่มุมใบเหมือนกัน แต่ข้อแตกต่างเพียงเท่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ตาเปล่าจำแนกมันออกมาได้ ต้องมีการแตะต้องมันหรือใช้สัตว์อสูรที่มีสัมผัสพิเศษต่อมัน ขวดซ้ายมือคือ “กล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำ” ขณะที่ขวดขวามือคือ “หญ้าบินลายหนู” พวกเจ้าทุกคนลองให้สัตว์อสูรของพวกเจ้าดมกลิ่นมันไว้สักหน่อยก่อน หลังจากที่มันถูกกลั่น ความเป็นพิษของกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำจะลดลงอย่างมาก และเอามาใช้รักษาคนที่บาดเจ็บได้ แต่ความเป็นพิษของหญ้าบินลายหนูจะเพิ่มขึ้นมากหลังจากที่ปรุงแล้วและมันจะทำให้คนตายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีพืชชนิดอื่นที่งอกอยู่ใกล้ๆ มันด้วย ชื่อว่า “ดอกสาบสะเก็ดเงิน” ปกติจะเป็นพืชที่งอกสูงกว่ากล้วยไม้ใจฝ่ากลีบดำ แต่ก็ต้องสังเกตให้ดีว่า ต้นอ่อนของหญ้าบินลายหนูจะเตี้ยกว่าดอกสาบสะเก็ดเงินอยู่มาก” คำพูดของหมอวัยกลางคนผู้นี้ทำให้เย่ว์หยางเหงื่อตกต้นไม้ทั้งสามชนิดงอกอยู่ใกล้เคียงกันหรือ?

ถ้าพวกเขารวบรวมสมุนไพรผิดไปอย่างหรือสองอย่าง ก็เท่ากับวางยาพิษทหารขณะให้ยารักษาพวกเขา กลับกลายเป็นกวาดล้างกองทัพไปโดยปริยายกระนั้นหรือ?

ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องชีวิตของทหาร แต่การที่สถาบันปล่อยให้เด็กๆ 6 หรือ 7 ขวบเข้าไปในแดนปีศาจเพื่อเก็บสมุนไพร นี่ไม่น่าจะใช่ความคิดที่ดีแล้ว..

ถ้า ในช่วงที่เข้าไปอยู่ในแดนปีศาจ มีข้อผิดพลาด และองค์หญิงน้อยเพ่ยเพ่ยหรือเด็กคนอื่นไม่สามารถกลับมาได้ ทางสถาบันจะตอบคำถามจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ได้อย่างไร? นอกจากนี้ ในกลุ่มยังมีนักเรียนใหม่อย่างเขาที่ไม่เคยได้ยินหรือรู้จัก ดอกกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำ หรือ หญ้าบินลายหนูมาก่อน มีโอกาสเป็นไปได้ว่าอาจทำให้รวบรวมสมุนไพรไม่ถูกต้อง ถึง 90 % ด้วยวิธีแบบนี้ การเดินทางเข้าแดนอเวจีแบบนี้แทบจะหวังผลไม่ได้เลยจริงๆ

เหตุการณ์บีบบังคับไม่ให้เย่ว์หยางได้คิดนานเกินไป ลานเทเลพอร์ตขนาดยักษ์จะเปิดใช้ในทันทีแล้ว และมันจะคงอยู่เพียงหนึ่งนาที

ถ้าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จและกลับมาภายใน 2 ชั่วโมง อย่างนั้นทหารถูกพิษก็จะตายกันทั้งหมด

“ทุกคน หยิบม้วนเวทไปคนละหนึ่ง ถ้าพวกเจ้าพบปีศาจที่ไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเจ้าได้รับอนุญาตให้เปิดม้วนเทเลพอร์ตกลับไปที่สถาบันได้ ไปได้แล้ว” บุรุษตาอินทรีไม่พูดอะไรมาก พร้อมกับโบกมือ เขาพาทีมนักเรียนของเขาเดินออกไป

นักเรียนทุกคนในชั้นเรียนมรณะปล่อยให้อสูรของพวกเขาดมกลิ่นของเหลวใน 2 ขวด

นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ฮุยไท่หลางได้ดมมันด้วย เย่ว์หยางก็ดมเองด้วยเช่นกันรู้แต่ว่ามันเป็นกลิ่น เขาด่าหมอวัยกลางคนอยู่ในใจว่า ไอ้คนต้มตุ๋น

ของเหลวของกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำและหญ้าบินลายหนูทั้งสองนี้ แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย เพราะทั้งสองเป็นของเหลวไร้กลิ่น สีก็เหมือนกันและทั้งสองก็มีสีดำเล็กน้อยกับแสงออกสีม่วง ทำไมพวกเขาถึงมาขอคนอย่างเขาที่ยังไม่สามารถจำแนกความต่างระหว่างต้นตังเซียมกับรากปักตังเซียม หรือระหว่างรากชะเอมเทศกับต้นขอบชะนาง หรือแม้แต่ระหว่างเก๋ากี๊กับแมกโนเลีย ให้มาช่วยจำแนกระหว่างกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำและหญ้าบินลายหนูซึ่งดูผิวเผินแล้วคล้ายกันด้วยเล่า?

ความยากระดับนี้ ยากพอๆ กับขึ้นสวรรค์

แดนปีศาจ ดินแดนที่มีท้องฟ้าสีเลือด

อย่างไรก็ตาม สถานที่ๆ พวกเขาจะถูกส่งไปไม่ใช่สนามรบโบราณ แต่เป็นหุบเขาชุ่มน้ำที่ขมุกขมัวดูน่ากลัว

มีหนอนปีศาจนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ ขณะที่พวกมันกลัวสัตว์อสูรจำนวนมากของนักเรียนชาวมนุษย์ พวกมันจะไม่กล้าโจมตีชั่วคราว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเนื้อมนุษย์ที่สดและอร่อย พวกมันก็ไม่ยอมถอยเหมือนกัน

“หน่วยพยาบาลบอกว่า เราสามารถหาดอกกล้วยไม่ใจฝ่อกลีบดำในหุบเขาลึกที่มีแมลงรังควานนี้ สำหรับคนที่มีอสูรพาหนะ ก็ให้ขี่มัน ถ้าเจ้าไม่มี อย่างนั้นก็ตามเราและคอยวิ่งอยู่ข้างหลัง เวลาของเราต้องกระชับ นักเรียนที่หากล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำ จำเป็นต้องรวบรวมให้ได้ 10 ขึ้นไป แล้วรีบกลับมาทันที สมุนไพรหนึ่งชิ้นรักษาชีวิตทหารได้หนึ่งคน เวลาก็คือชีวิต ทำให้เร็วเท่าที่จะทำได้” บุรุษตาอินทรีหยิบแก้วผลึกของเขาออกมา แล้วเรียกอสูรหุ้มเกราะ ชั้นทองแดงระดับ 5 ออกมาแล้วขึ้นขี่มันและนำทางมุ่งตรงไปที่ส่วนลึกของหุบเขาแมลงรังควาน

“เหวอ.. ไม่มีการสาธิตให้ดูเลย แล้วเราจะเก็บยังไงกันนี่?” เย่ว์หยาง, เย่คงและสหายรีบวิ่งตามให้ทันเขา

แต่เย่ว์หยางยิ่งเดินทางลึกเข้าไปเท่าใด เขาก็ยิ่งงงเท่านั้น

เพราะเขาพบว่าตลอดทาง นอกจากฆ่าหนอนปีศาจอย่างต่อเนื่องแล้ว บุรุษตาอินทรียังคงรวบรวมสมุนไพรไปพร้อมกันด้วย และไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เขาจะไม่ยอมเหลือแต่ใบหญ้าทิ้งไว้แม้แต่ใบเดียว สมุนไพรและพืชทั้งหมดถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋าของเขา ถ้ามันเป็นเพียงภารกิจของนักเรียน ทำไมคนผู้นี้ถึงต้องการสมุนไพรมากนักเล่า? นอกจากนี้ เขายังไม่เก็บเพียงแค่ชนิดหรือสองชนิด แต่เก็บไปทั้งหมดซึ่งแปลกจริงๆ

ขณะที่เขาเดินไป เย่คงลดเสียงต่ำและพูดกับเย่ว์หยางว่า “มีกลิ่นทะแม่งๆ ข้าว่าจำนวนคนถูกพิษไม่ได้มีเพียง 300 คน…”

คำพูดของเขาทำให้เย่ว์หยางสะท้านใจ เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างทันที

ถ้าหากกองทัพประสบกับการซุ่มโจมตีและวางยาพิษ จำนวนคนที่ต้องพิษไม่น่าจะใช่ 300 คนแน่นอน เพราะกองทัพมนุษย์อ่อนแอกว่าปีศาจ เพื่อวัตถุประสงค์ในการยาตราทัพ พวกเขาจะต้องจัดทัพผู้คนนับหมื่นเพื่อที่ว่าในการจัดส่งกำลังถึงกันจะทำให้พวกเขาปลอดภัย ถ้ามีคนเพียง 300 คน ก็ยังไม่พอให้หนอนปีศาจเล่นงานด้วยซ้ำ ตามคำบอกเล่าของบุรุษตาอินทรี กองทัพมนุษย์แม้อยู่ในสถานการณ์ที่เจอการซุ่มโจมตีก็ยังสามารถเอาชนะมาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น กองกำลังของมนุษย์ ก็ต้องเป็นทหารที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ในสถานการณ์เช่นนั้น ทำไมจำนวนคนที่เข้ารบจึงมีเพียง 300 คน?

“งั้นเจ้าหมายความว่า เราเป็นเพียงคณะหนึ่งที่เข้ามาในแดนปีศาจเพื่อเก็บสมุนไพรก่อนหรือ? ยังคงมีคณะอื่นปฏิบัติภารกิจเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ใช่ที่นี่ใช่ไหม?” หลังจากเย่ว์หยางพูดอย่างนี้ เขาก็เข้าใจถึงเรื่องที่น่ากลัวอีกเรื่องทันที ถ้าพิษถูกปีศาจใช้โดยจงใจ อย่างนั้นกองทัพปีศาจและขุนพลปีศาจ คงเตรียมกองกำลังไว้ซุ่มโจมตีในจุดที่กล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำงอกขึ้นสินะ?

ถ้ามีการซุ่มโจมตีโดยแม่ทัพและขุนพลปีศาจในหุบเขาแมลงรังควาน กับการที่บุรุษตาอินทรีพาทุกคนเข้าไปในหุบเขาและตกเข้าไปในกับดักก่อน เท่ากับว่าเดินเข้าไปหาความตายมิใช่หรือ?

ทันทีที่เย่ว์หยางคิดเรื่องนี้ เขากำดาบวิเศษฮุยจินแน่นทันที และกำหนดดูสภาพแวดล้อมเตรียมคุ้มกันทันที

ในเรื่องการเก็บสมุนไพร เขาไม่สามารถช่วยได้มากนัก

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยเขาต้องปกป้องทุกคนให้เก็บรวบรวมดอกกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำและกลับไปได้

ตอนนี้ เย่ว์หยางก็ตระหนักถึงความสำคัญของความรู้พื้นฐานแล้ว ถ้าเขาสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างกล้วยไม้ใจฝ่อกลีบดำและหญ้าบินลายหนูได้โดยเห็นครั้งเดียว อย่างนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คนมากมายมาเสี่ยงชีวิตถูกโจมตีนี้ เขาสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว

โชคไม่ดี ที่เขาเป็นคนที่มาจากโลกอื่น ดังนั้นเขาจึงต้องศึกษาทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น…

เย่ว์หยางกำหนดรู้ในใจทันที บทเรียนวันนี้, การเดินทางเข้าสู่แดนปีศาจครั้งนี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเขา หลังจากกลับไปแล้ว เขาจะให้ความสำคัญในการฝึกวิทยายุทธก่อน จากนั้นมีสมาธิกับการศึกษาสมุนไพร ถ้าเขาสามารถศึกษาความรู้สมุนไพรได้ดี อย่างนั้นความรู้ลึกลับในใจเขาจะสามารถปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวของมันได้ ในอนาคตเขาจะสามารถสร้างยาที่ดีกว่ายาปลุกพลังวิญญาณสัตว์อสูร เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ใช่ตัวเขาเองเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ แต่ความสามารถของสัตว์อสูรของเขาจะพลอยเพิ่มตามไปด้วย

สำหรับความรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูร, กลไก, และอักขระโบราณ เขาจะไล่ตามศึกษาเพิ่มเติม

ถ้าเขารู้จุดอ่อนของสัตว์อสูรทั้งหมด และพบสัตว์อสูรที่ทรงพลังอีกครั้ง อย่างนั้นมันจะเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้เขาเสียเปรียบอีกต่อไป ถ้าเขาเชี่ยวชาญความรู้เรื่องกลไก ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถสร้างอสูรหุ่นได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถได้รับสืบทอดคัมภีร์ลับที่ภูตอัจฉริยะเย่กงทิ้งไว้ให้ในตำหนักหุ่นอีกด้วย สำหรับอักขระโบราณ ดูผิวเผินเหมือนจะไร้ประโยชน์ แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญในการเปิดแดนล่มสลายแห่งเทพเจ้า

“พี่ชาย! ท่านไม่รู้วิธีเก็บสมุนไพรใช่ไหม? พวกพี่ควรจะคอยคุ้มกันให้เราแล้วเราจะได้เสร็จภารกิจพร้อมกัน แต่พวกพี่ๆทุกคนต้องฟังคำแนะนำของเราด้วยนะ” เด็ก 2-3 คนขี่อสูรบินๆ มาอยู่ข้างๆ เย่ว์หยางและสหายและเริ่มเจรจาต่อรองเงื่อนไขขอให้เขาช่วยคุ้มกัน

“พวกเจ้าพบอะไรหรือเปล่า?” สมองของเย่ว์หยางทำงานไวกว่าใครอื่น และเขาเข้าใจขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำนี้ ปีศาจน้อยพวกนี้ต้องได้พบของดีบางอย่าง

เด็กพวกนี้ไม่ใช่รับมือง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เย่ว์หยางไม่กล้าดูถูกพวกเขามากนัก

ของดีอะไรที่พวกเขาไปพบมา?

***************************

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset