===============
“ทหารที่อยู่ในลานจัตุรัสสมัครใจยกเลิกการรักษา ดังนั้นพวกเขามาที่จตุรัสแห่งนี้เพื่อบอกลาครอบครัวพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย” บุรุษนัยน์ตาอินทรีตอบเพิ่มอีกประโยค
“……” ในชั่วครู่นั้น หัวใจเย่ว์หยางรู้สึกนับถือคนเหล่านี้อย่างสุดซึ้ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทหารทั้งลานจัตุรัสจะดูค่อนข้างแก่ แต่ละคนดูมีอายุ มีผมขาวแซม ปรากฏว่า พวกเขาคือทหารแก่ที่สมัครใจเสียสละตนเองนั่นเอง
เย่ว์หยางตื้นตันใจกับจิตวิญญาณที่เสียสละของพวกเขา
ต่อหน้าความเป็นและตาย จะมีกี่คนที่ทำได้อย่างนี้? ในเมืองจีน มีเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ที่ผู้คนได้แต่ยืนดู พูดแต่ว่า “ไม่ใช่ธุระอะไรของฉัน” ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือทั้งที่เห็นคนกำลังจะตายต่อหน้าพวกเขา ผลของความเย็นชาและเห็นแก่ตัวทุกอย่างในสังคม ได้ปิดผนึกหัวใจเย่ว์หยางไว้อย่างแน่นหนา สิ่งที่เขาเห็นมามากก็คือการเนรคุณ, ทรยศหักหลังและตอบแทนความเมตตาด้วยความรุนแรง สิ่งที่เขาเห็นมามากที่สุดก็คือคนชั่วหาทางคุกคามคนจิตใจดีงามจนต้องร้องไห้เสียน้ำตา เหตุการณ์ที่น่ารังเกียจ มืดมนทุกประเภทเหมือนกับการกระทบกระแทกสิ่งของที่เปราะบาง ตายด้วยโรคซึมเศร้า ตายเพราะฝันร้าย ดักทำร้าย ตีคนโดยไม่เห็นเลือดและเกี่ยวข้องกับเรื่องทำนองนั้น ทำให้เย่ว์หยางหนาวสะท้านในหัวใจ
ความกรุณาน่ะหรือ? ความซื่อสัตย์น่ะหรือ?
สิ่งเหล่านี้เป็นจุดอ่อนที่ทำให้ตกเป็นเหยื่อโดยถูกคนที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเองนำมาใช้ไม่ใช่หรือ?
เขามักคิดว่าจิตวิญญาณเสียสละตนเองเพื่อคนอื่นๆ ถูกผู้คนปฏิเสธไปเรียบร้อยแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทำอะไรแบบนั้น
การเรียนรู้จากเรื่องเหลยเฟิงเป็นเรื่องที่ดีจริง เป็นสิ่งดีที่สอนเรื่องราวในอดีต ตอนนี้ถ้ามีใครพยายามทำความดีเสียสละ นั่นก็เท่ากับว่าถามหาความตาย แน่นอนว่าคงมีคนที่ยังทำแบบนั้นอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับตอบแทนจากมันก็คือน้ำตา ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ยกตัวอย่าง ถ้ามีคนพบเห็นว่ามีการตีชิงวิ่งราวอยู่ต่อหน้า เขาจึงเข้าไปปกป้องผู้อ่อนแออย่างกล้าหาญ อาจจะถูกมีดแทงก็ได้ แม้แต่คนที่ถูกปล้นจี้ก็ไม่เห็นการกระทำที่กล้าหาญ และบางทีอาจคิดว่าเจ้านี่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้ามีคนช่วยผู้หญิงแก่คนหนึ่ง เขาอาจต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก ถ้ามีคนพบกระเป๋าเงินแล้วเอาไปให้เจ้าหน้าที่ เขาอาจจะถูกสงสัยว่ายักยอกทรัพย์ไว้บางส่วนเพื่อตน
หลังจากเดินทางข้ามมิติ เขาก็มาถึงทวีปมังกรทะยาน
เย่ว์หยางพบว่าโลกที่นี่แตกต่างจากโลกที่เขาเคยรู้จัก
ในเมืองจีนคนที่มีพฤติกรรมอย่างเขาจะมีอยู่ทั่วไป แต่หลังจากมาที่นี่ เขากลายเป็นคนประหลาด เขาเป็นคนประหลาดที่มักเอาแต่ปกป้องตนเอง ไม่ยอมให้คนอื่นทำร้ายและมักจะปกป้องผลประโยชน์ตนเองก่อนเป็นอันดับแรก ในเมืองจีน เย่ว์หยางเชื่อว่าคนที่คิดเหมือนกับเขา ในทางปฏิบัติแล้ว มีนับจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ในทวีปมังกรทะยานกลับตรงกันข้าม อาหญิงสี่ยอมเสียสละโชคลาภของครอบครัวนางทั้งหมดให้เขาได้เงินหนึ่งพันเหรียญทองที่นางเก็บออมเอาไว้หลายปีไปซื้อยาปลุกพลังวิญญาณสัตว์อสูรเพื่อบุตรบุญธรรมของนาง นางปล่อยให้ธิดาแท้ๆ ของนางไม่มีเงินเรียนทักษะพิเศษเพิ่มเติม
ถ้าอาหญิงสี่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวของนาง อย่างนั้น..สิ่งที่ทหารแก่เหล่านี้ทำเล่า?
ทหารแก่แต่ละคนอาบเลือดในสนามรบมาอย่างโชกโชน โซซัดโซเซอยู่กับกองซากศพ พวกเขารอดชีวิตกลับมาอย่างยากลำบาก ในห้วงเป็นตายแห่งชีวิต พวกเขาไม่ลังเลใจที่จะเลือกเสียสละตนเองให้คนอื่นๆ ละทิ้งโอกาสรอดของตนมอบให้คนอื่นรอดชีวิต สำหรับทหารหนุ่มที่ยังมีความหวังมากกว่า
ถ้าเขาไม่เห็นเรื่องนี้กับตาตนเอง บางทีเย่ว์หยางอาจจะไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่จริง
ประเทศจีนก็เคยมีบทฝึกให้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น มีการสืบทอดนับไม่ถ้วนจากเผ่าเหยียนและหวง ได้มีการรวบรวมชนเผ่ารอบด้าน จนไฟอารยธรรมขยายกลายวงเป็น 4 ชนชาติใหญ่
ในแผ่นดินมังกรทะยาน สำหรับอาณาจักรต้าเซี่ยสามารถยืนหยัดมาได้หลายพันปีไม่ล่มสลาย ก็คงเป็นเพราะการดำรงคงอยู่ยาวนานของจิตวิญญาณดังกล่าว
ต้องเป็นเพราะความจงรักภักดีและเสียสละที่ทำมาโดยคนรุ่นก่อนแน่นอน
นั่นคือสาเหตุทำให้คนรุ่นหลังสามารถเติบโตและสืบทอดปณิธานจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง
“ไปกันเถอะ, เราทำของเราอย่างดีที่สุดแล้ว” บุรุษตาอินทรีตบไหล่เย่ว์หยางและโบกมือออกคำสั่งนักเรียนชั้นมรณะ “ทุกคน! กลับไปที่สถาบันได้แล้ว เราค่อยฝึกกันต่อพรุ่งนี้ การแข่งขันเป็นเรื่องโหดร้ายแบบนี้แหละ ถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการถูกคว่ำจนต้องออกจากการแข่งขันโดยการคัดเลือกของธรรมชาติ อย่างนั้นพวกเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่าใครอื่น ต้องโดดเด่นกว่าใครคนอื่น”
เย่ว์หยางก้าวยาวๆ ขณะที่ขบวนจะออกจากที่นั้น เขาสำรวจดูรอบๆ ทหารที่ถูกพิษ
เขาพบว่าแม้ว่าทหารแก่เหล่านี้จะมีหน้าดำคล้ำ แต่สีหน้าของเขาเบื่อหน่ายความสงบ และแม้แต่ความภูมิใจ
ทหารหลายคนที่ล้อมรอบพวกเขา ช่วยทหารแก่เหล่านี้เปลี่ยนเครื่องแบบชุดใหม่ อกของทหารบางคนประดับไปด้วยเหรียญตราแพรวพราวเหมือนดวงดาว เย่ว์หยางเห็นเจ้าหน้าที่แพทย์นำจอกเหล้าอำลามาให้พวกเขา โดยส่งต่อให้ทหารแก่ทีละคนๆ แม้กระทั่งทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่ไม่สามารถถือจอกได้ เจ้าหน้าที่เสนารักษ์ทำนิ้วของพวกทหารนั้นให้เปียกแล้วแตะที่ริมฝีปากพวกเขาเบาๆ ด้วยทั้งน้ำตาคลอ
“ท่านขุนพล…” ทหาร 2-3 คนวางทองและป้ายตราให้ขุนพลเฒ่าผู้มีผมหงอก หนึ่งในนั้นที่อายุน้อยที่สุดทำตาแดงๆ แล้วเริ่มเช็ดน้ำตาตนเอง
“เจ้าหนู! จะโหวกเหวกไปเพื่ออะไรกัน ไสหัวไปซะ, อย่าทำให้ข้าขายขี้หน้า ข้าน่ะได้เงินมาคุ้มค่าแล้ว” เสียงของผู้เฒ่าเบา แต่มีอำนาจดุจราชสีห์
“ท่านขุนพล! ท่านจะตายอย่างนี้ไม่ได้นะ ท่านจะต้องนำเราต่อสู้ต่อไป ถ้าท่านตายจะให้เราทำยังไง?” ทหารอายุน้อยที่สุดนั้นเริ่มร้องไห้อย่างปวดร้าวใจ
“ข้าเหนื่อยแล้ว, ข้าไม่อยากจะสู้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าแค่ต้องการงีบอย่างสบาย ข้าไม่เคยพักมาก่อนเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทุกๆ วันต้องต่อสู้ในสนามรบตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ข้าได้เหรียญตราเป็นกองพะเนิน แต่ข้าไม่เคยมีเวลาได้หลับสนิทเลย เพราะเด็กๆ อย่างพวกเจ้าทุกคนทำให้ข้าห่วงตลอดเวลา กวนใจข้าได้ทุกวัน และหลังจากผ่านความยากลำบากข้าก็เปลี่ยนพวกเจ้าทุกคนจากคนขี้ขลาดกลายเป็นทหารที่แท้จริง ตลอดหลายปีมานี้ ข้าเหนื่อยจริงๆ พวกเจ้าทุกคน จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดี อย่าทำให้ข้าเสียหน้า มิฉะนั้น แม้ข้าจะถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน ข้าจะลุกขึ้นมาเตะตูดพวกเจ้า.. ขอเหล้าอีกก๊งซิ..เนื่องจากว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ข้าอุตส่าห์ทำตามหมอให้เลิกดื่ม ข้าก็เลยไม่ได้ดื่มเหล้าซักหยดมาตั้งสามเดือน ตอนนี้ ข้าสามารถตายได้แล้ว ข้าไม่สนอีกต่อไปแล้ว เอาเหล้ามาให้หมด ณ.ที่ประตูแห่งความตาย ข้าก็ยังเป็นไอ้ขี้เมาตัวจริง ฮ่า อ่า ฮ่า” เมื่อผู้เฒ่าเปลี่ยนไปอยู่ในชุดขุนพลแล้ว เย่ว์หยางเห็นว่าร่างของเขาเต็มไปด้วยจุดหนาและรอยบาดเจ็บ แผลบาดเจ็บบางส่วนน่ากลัว มีบาดแผลรอยฟันลึกจนเห็นกระดูก
ขุนพลผู้ต้องพิษไม่สามารถรักษาได้หรือ?
แน่นอน นั่นเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันไม่ใช่เป็นเพราะเขาปฏิเสธการรักษาส่วนตัวในตอนแรก คนแรกที่ควรรับการรักษาควรจะเป็นเขา
แต่ทำไมเขาถึงปฏิเสธการรักษา? เป็นการให้โอกาสคนหนุ่มและเขาเสียสละแทนจริงๆ หรือ?
เย่ว์หยางสงสัยเล็กน้อย เมื่อทำอะไรไม่ได้เขาจึงก้าวเข้าไปถาม “ท่านเป็นขุนพลจริงๆ หรือ?”
พอได้ยินเช่นนี้ ขุนพลเฒ่าประหลาดใจ จากนั้นเขาหัวเราะออกมาดังๆ โดยไม่ได้ตั้งใจและย้อนถามว่า “สหายน้อย! เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ? ดี ดี, เจ้าเด็กนั่น จุนอู๋โหย่วเคยยกย่องข้าและบอกว่าไม่มีบุรุษใดที่ไม่รู้จักข้าหรือไม่ได้ยินชื่อข้าในทั่วทั้งอาณาจักรต้าเซี่ย ข้ารู้ว่า เขาพูดเกินจริงไปหน่อย วัตถุประสงค์ของเขาคือหลอกประชาชนเคราะห์ร้ายให้เสี่ยงชีวิตทำงานให้เขา โชคดีที่ข้าไม่ค่อยพอใจคำพูดของเขเท่าไหร่ มิฉะนั้นข้าคงเสียหน้าไปเยอะแล้ว ตอนนี้”
บุรุษเกราะดำนัยน์ตาอินทรีปรากฏตัวด้านหลังเย่ว์หยาง และใช้น้ำเสียงที่แสดงความเคารพว่า “ท่านผู้นี้คือขุนพลเตาฟง ท่านเป็นหนึ่งในสิบยอดขุนพลของอาณาจักรต้าเซี่ย”
“ยอดสิบขุนพลอะไรกัน เราทุกคนเป็นแค่คนแก่ใกล้ตาย ถ้าพวกเราน่ากลัวมากจริงๆ ก็คงไม่มีเพียงข้าคนเดียวที่เหลืออยู่ตามลำพังจาก 10 คน พวกเขาตายกันหมดแล้ว ข้ามีชีวิตเพียงคนเดียวมาตลอดหลายปีนี้เพียงพอแล้ว พวกเขาทุกคนสนุกกับการถูกประดิษฐาน เคารพบูชาอยู่ในหอวิญญาณนักรบกล้าทุกวัน แต่ข้ายังอยู่นี่ ใช้ร่างกายคร่ำคร่าเหนื่อยล้ากับการต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย แม้แต่เย่ว์ไห่ยังโยนผ้ายอมแพ้ แล้วข้าจะทนมีชีวิตในนรกแบบนี้ไปทุกวันทำบ้าอะไร? ให้ประชาชนเรียกข้าว่าเป็นหนึ่งในสิบยอดขุนพลแล้วจะทำให้ข้าหายเจ็บบาดแผลบนตัวงั้นหรือ? ข้าไม่สามารถดื่มเหล้าได้แม้แต่จอกเดียว มันไม่มีความหมายที่มีชีวิตอยู่อย่างนี้ ข้าอาจจะไปอยู่รวมกับสหายเก่าในโลกโน้นก็ได้..” ชื่อของขุนพลเฒ่าผู้นี้ทำให้เย่ว์หยางฟุ้งซ่าน ชื่อของขุนพลเฒ่าเตาฟงท่านนี้ แม้แต่เขาจะเป็นนักท่องเที่ยวมาจากต่างมิติและมาถึงที่นี้ได้ไม่นาน ก็เคยได้ยินมา
ขุนพลเตาฟงเป็นหนึ่งในสิบยอดขุนพลของอาณาจักรต้าเซี่ยและเป็นคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่
อายุของขุนพลเฒ่าผู้นี้ยังไม่เป็นที่รู้แน่ กล่าวกันว่าเกิน 200 ปีไปแล้วและมีประสบการณ์ยาวนานที่สุดในกองทัพ เขาเข้ามาในกองทัพตอนอายุ 18 ปีเพื่อฝึนฝนและเลื่อนเป็นขุนพลเมื่ออายุ 40 จากนั้นเขาต่อสู้ต่อเนื่องมาจนถึงบัดนี้ และประสบความสำเร็จได้รับรางวัลมากมายและมีส่วนร่วมในสังคม ตำนานของเขายาวนานมากจนหนังสือไม่กี่เล่มก็เขียนเรื่องราวของเขาไม่พอ
เดิมทีด้วยความสำเร็จและความสามารถของเขา เขาสามารถรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งราชอาณาจักรก็ได้
แต่เป็นเรื่องแปลกที่ท่านปฏิเสธการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการถึง 10 ครั้งและยืนยันที่จะเป็นเพียงขุนพลคนหนึ่ง เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังไม่มีการบอกให้ทุกคนรู้ มีเพียงจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ที่เสนออย่างแข็งขันให้ท่านได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพเท่านั้นที่รู้เหตุผล ขุนพลเตาฟงผู้นี้ แท้จริงแล้วมีลักษณะเป็นวัตถุโบราณในอาณาจักรต้าเซี่ยและถือว่าเป็นขุนพลที่เป็นมงคลด้วยในขณะเดียวกัน เขาหนีออกมาจากสถานการณ์ที่ยากจะรอดชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน เขาออกศึกมาเป็นพันครั้งในชีวิและไม่เคยมีประสบการณ์พ่ายแพ้สิ้นเชิงเลย แม้แต่ในสภาพที่เกือบจะพ่ายแพ้ย่อยยับ เขาก็ยังสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกองทหารบริวารเขาไว้ได้
กองกำลังเตาฟงจัดตั้งเป็นการส่วนตัว โดยมีเขาจัดระเบียบ ฝึกอบรมด้วยตัวเอง กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสามกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต้าเซี่ย
มันยากที่จะจินตนาการที่บุคคลระดับตำนานแบบนั้นจะปฏิเสธการรักษา ทิ้งโอกาสมีชีวิตเพื่อบริวารและทหาร แล้วมานอนรอความตายที่จัตุรัสเอง…
“ทำไมล่ะ? การมีชีวิตย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอ? ไม่มีท่านอยู่ด้วย ใครจะนำทหารของท่านออกรบ? ท่านมั่นใจมากถึงขนาดมอบกองกำลังเตาฟงให้คนอื่นเหรอ?
“ข้ากำลังจะตาย, ยังจะสนใจอะไรอีก?” ขุนพลเฒ่าพูดเปิดใจแล้ว
“จะเป็นยังไง หากท่านยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้?” เย่ว์หยางหยุดถาม
“ความจริงข้าเบื่อที่จะมีชีวิตต่อไป ถ้าข้ายังอยากจะมีชีวิต ข้าก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้.. แต่ในโลกนี้ ใครบ้างที่จะไม่ตาย? มีชีวิตมานานถึง 200 ปีก็ยังต้องสู้ในสงครามกันอยู่ มันมากเกินไปสำหรับข้า ข้าเป็นทหารคนหนึ่ง, ทหารแก่ๆ, ข้าควรจะตายกับชัยชนะในสนามรบ ข้าไม่ต้องการตายบนเตียงสบายๆ สงครามนี้ แม้ว่าแดนปีศาจจะเล่นงานบริวารของข้าไปถึง 3 พัน แต่ข้าไม่ได้แพ้อย่างสิ้นเชิง ข้าสังหารทหารฝ่ายโน้นไป 30,000 และฆ่าขุนพลปีศาจไป 2 นาย ดังนั้นตอนนี้ แม้ข้าจะตายก็ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าข้าต้องรอจนแก่กระทั่งยกดาบไม่ไหว อย่างนั้นข้าคงต้องถูกไอ้ไก่อ่อนฆ่าตายแน่ นั่นคือสิ่งที่น่าสมเพช…” ขุนพลเฒ่าพยายามที่จะนั่ง ตอนแรกเขาทอดสายตาไปไกล จากนั้นรั้งสายตากลับมามองที่เย่ว์หยาง “สหายน้อย! ข้าเข้าใจความคิดของเจ้า เจ้าต้องการทำให้ข้าหมดสติแล้วค่อยแอบรักษาข้าไม่ใช่หรือ ลูกเล่นแบบนี้ไม่มีประโยชน์กับข้า.. ช่างเถอะ สำหรับทหารแก่ตายในช่วงรุ่งโรจน์ เป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
เย่ว์หยางผู้มีทักษะญาณทิพย์ระดับ 3 สามารถเห็นความจริงได้
ผู้เฒ่าท่านนี้ ขุนพลเตาฟงผู้ลือชื่อท่านนี้ นอกจากต้องพิษแล้ว เขายังได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก
เดิมที เขาก็ชราภาพมากอยู่แล้ว พอเพิ่มอาการบาดเจ็บและบาดแผลจากการรบรวมกัน ร่างกายที่แข็งแกร่งกลับอ่อนแออย่างมาก นอกจากนี้เขายังถูกศัตรูทำร้ายอย่างหนัก อวัยวะภายในของเขาได้รับทรมานจากอาการบาดเจ็บและพิษ สำหรับเขา แม้ว่าพิษจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่สภาพร่างกายของเขาอาจอยู่ได้ไม่เกินอีก 1 เดือน
นี่คือสาเหตุที่แท้จริงที่ขุนพลเฒ่าปฏิเสธการรักษา
หลังจากรู้ความจริง จู่ๆ ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นมาในหัวใจเย่ว์หยาง เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาจริงๆ หรือ?
ด้วงหยกขาวเพิ่มพลังปราณก่อกำเนิด สามารถล้างพิษและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากแผลในขณะเดียวกันได้
ใช้ปราณก่อกำเนิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจการเรียนรู้วิทยาศาสตร์การแพทย์ น่าจะเหมาะสมตอนนี้ก็ได้ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ในกรณีที่ คนที่สามารถดูแลรักษาม้าที่เกือบตาย ก็เหมือนกับรักษาม้าให้มีชีวิตอยู่ เย่ว์หยางคิดว่าบางทีเขาน่าจะลองดูด้วยตัวเอง
**********************