===============
ว่าโดยจิตใจและนิสัยแล้ว เย่ว์หยางไม่ใช่คนที่มีเกียรติแน่นอน ช่วยคนอื่นอย่างกล้าหาญโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง ผดุงความยุติธรรมอย่างกล้าหาญ เสียสละตนเองเพื่อช่วยคนอื่นคือสิ่งที่เย่ว์หยางยังห่างไกลที่จะมี
ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาจะพิจารณาถึง ก็คือตัวเขาเอง
จากนั้นเขาจะคิดถึงแม่สี่ เย่ว์ปิงและคนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
สำหรับความลับของตนเอง เขาจะโกหกคนที่เกี่ยวข้องกับเขา ใช้การโกหกสีขาวเพื่อปิดบังตัวเอง
สำหรับพวกคนที่เข้ามาขวางเขา เขาจะยกดาบของเขาและฆ่าเบิกทางตรงไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ ไล่ศัตรูออกจากตระกูลเย่ว์ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ในโลก แม้ว่าทั้งโลกจะกลายเป็นศัตรูของเขา เขาก็จะไม่ลังเล
อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ซึ่งเขาไม่ได้มีความคุ้นเคยด้วย..
แม้ว่าคนเหล่านี้จะได้รับความนับถืออย่างสูงหรือยิ่งใหญ่ เย่ว์หยางจะปฏิบัติต่อพวกเขาไม่เหมือนกัน
เขายอมรับนับถือการอุทิศตนที่เหล่าทหารผ่านศึกได้แสดงออกมาและยกย่องทัศนคติของพวกเขาสำหรับการเสี่ยงตายอยู่ในแนวหน้า เย่ว์หยางนับถือชื่นชมพวกเขาจากก้นบึ้งหัวใจ พวกเขาทำให้จิตใจของเขาสะท้านไหวเลือดลมร้อนระอุ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องทำอะไรแบบนั้นไปด้วย ไม่จำเป็นต้องพูดว่า เขาไม่มีความสามารถช่วยทหารได้หมด 3 พันคน ต่อให้เขาทำได้ เย่ว์หยางไม่กล้าทำอะไรที่ใหญ่โตเกินไป เมื่อเขายังไม่มีความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองเต็มเปี่ยมในตอนนี้ ถ้าเย่ว์หยางแข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้วและสามารถรักษาคนทั้ง 3 พันคนได้ทั้งหมด อย่างนั้นบางทีเขาอาจจะทำ แต่ตอนนี้เขายังไม่มีพลังระดับนั้น
โลกเต็มไปด้วยการแข่งขันชนิดต่างๆ เป็นที่ๆ มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้
นี่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติเลือกไว้ เย่ว์หยางไม่ต้องการทำลายมัน และเขาก็ไม่มีความสามารถจะทำลายสภาพที่เป็นอยู่นี้ด้วย
เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาคนอื่นๆ ได้เลย สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนได้ก็คือตัวเขาเอง เขาจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด เพื่อที่ว่าเขาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้มากกว่าใครๆ นี่เป็นเพียงวิธีที่ทำให้เขาสามารถจัดการกับชีวิตตนเองได้ รวมทั้งมีความสามารถเพื่อจะปกป้องญาติของเขาเองด้วย
ภายใต้การแนะนำของบุรุษเกราะดำตาอินทรี เย่ว์หยางเดินไปข้างหน้าเตรียมจากไป
แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เย่ว์หยางหยุดอีกครั้ง
“ขุนพลเตาฟง ถ้าท่านต้องการมันจริงๆ บางทีข้าอาจพยายามรักษาบาดแผลท่านได้ หรือไม่ก็ข้าอาจลองรักษาคน 2-3 คนที่ท่านเลือกไว้ก็ได้ ข้าต้องบอกไว้ก่อนว่า ข้าไม่รู้วิธีรักษาใดๆเลย” เย่ว์หยางจะจากไปอยู่แล้ว แต่เขาหันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าขุนพลเฒ่าผู้นั้น มันเป็นเพราะจู่ๆ เย่ว์หยางรู้สึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ใช่เครื่องจักรสงครามที่เอาแต่ทำตามอุดมการณ์ของตนเอง แต่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อ
เขาอาจจะไม่สามารถดำเนินการบางอย่างได้ดีเลิศเหมือนเครื่องจักร แต่มันอาจไม่จำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องทำเช่นนั้น
แต่อย่างน้อยที่สุด เขาต้องมีหัวใจเพื่อจะลองและทำมันให้ได้
บางครั้งเย่ว์หยางก็รู้สึกว่าตัวเขาค่อนข้างจะเป็นคนซับซ้อนและขัดแย้งกันเอง อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่า มันน่าสนใจยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ขณะที่เขาพอใจ
เขาสามารถคงหลักการของตัวเขาเองเอาไว้ได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาต้องทำตามทุกอย่างตลอดเส้นทางจนถึงปลายทางที่มืดมนที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาถามแล้ว อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมรับ.. แต่นี่ก็แค่เป็นความรู้สึกแบบหนึ่งของอีกฝ่าย
ขุนพลเฒ่าโบกมือหัวเราะลั่น “ดีมาก! ข้าเข้าใจจิตใจเจ้าดี! ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้านึกไม่ถึงเลยว่าข้าจะได้พบเด็กที่น่าสนใจอย่างเจ้าก่อนตาย จริงๆ แล้วข้าก็ขำจนเกือบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่รู้วิชาแพทย์ แล้วเจ้าจะช่วยชีวิตคนอื่นได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ข้าเข้าใจและข้าก็มีความสุขมาก เจ้าสิ่งนี้คือความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ถ้าขุนพลปีศาจตนหนึ่งล้มลงกับพื้นโดยไม่มีโอกาสช่วยเหลือได้ พวกปีศาจในแดนปีศาจจะกินขุนพลปีศาจที่ตายโดยไม่มีความลังเลใจใดๆ เลย แล้วเปลี่ยนพลังขุนพลปีศาจให้เป็นพลังของตนเอง บอกตามตรงนะว่าวิธีนั้น น่าจะเหมาะสมมากกว่า อย่างไรก็ตาม ข้ายังชอบพฤติกรรมโง่เขลาของมนุษย์เรามากกว่า ฮ่าฮ่า, เด็กน้อย! บอกเจ้าตามความสัตย์ ความตายไม่สำคัญมากอะไรเลย เจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่โบราณกาลมา มีคนตายในสงครามกี่คนแล้ว? ถ้าเจ้าได้ไปถึงสนามรบและเห็นทหารราบเป็นล้านคนตายลงอยู่ต่อหน้าเจ้า กองซากศพทับซ้อนสูงขึ้นไปเป็นเนินเขา หัวใจเจ้าจะไม่ชาด้านหลังจากนั้นหรือ? มีการรบแล้วไม่มีคนตายจะหาได้จากที่ไหน? ถ้ามนุษย์ปรารถนาจะรอด พวกเขาต้องแข่งขัน และพวกเขาต้องสู้ ความตายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน แม้ว่าพวกเราทั้งสามพันคนจะตายเพราะต้องพิษ ก็จะเป็นเหมือนเหยื่อล่อที่มีชีวิต เราประสบความสำเร็จในการสังหารปีศาจเป็นหมื่นๆ เราไม่ได้ตายอย่างสูญเปล่า! นานแล้วก่อนที่จะล่อศัตรูมาที่นี่ เรารู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องห่วง ให้เราคนแก่จากไปอย่างสงบสุขเถอะ เราแก่แล้วและเราไม่สามารถทำอะไรให้ประเทศได้มาก นี่คือเกียรติยศสุดท้ายของเรา”
“……” เย่ว์หยางเงียบ หลังจากได้ฟังคำนี้
“เด็กน้อย! ถ้าเจ้าไม่ต้องการถูกกำจัดเหมือนอย่างพวกเราในกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นจงจำไว้เพียงอย่างเดียว จงแข็งแกร่ง, จงแข็งแกร่งกว่าใครๆ” ขุนพลเฒ่าให้โอวาทเย่ว์หยางด้วยปัจฉิมวาจาของเขา
เย่ว์หยางผงกศีรษะเล็กน้อย หลังจากขบคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าหัวหน้าแพทย์หญิงสูงวัย
เขาล้วงเอาด้วงหยกขาวออกมาจากกระเป๋าหลังของเขา และถามเบาๆ “ท่านหมอ, ข้าพบเจ้าสิ่งนี้ในแดนปีศาจ บอกข้าทีได้ไหม สิ่งนี้คืออะไร?”
สีหน้าของหมอหญิงสูงวัยเปลี่ยนแปลงทันทีเมื่อนางเห็นมัน นางรีบบอกเย่ว์หยางให้เก็บด้วงหยกขาว “เด็กน้อย! อย่าใช้สิ่งนี้ช่วยคนเด็ดขาด! นี่คือแมลงที่น่ากลัวชนิดหนึ่ง ภายนอกมันดูเหมือนด้วงทองศักดิ์สิทธิ์มาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษาและล้างพิษได้ แต่ทว่าภายในร่างนี้ มีปีศาจที่น่ากลัวถูกผนึกไว้ภายใน แม้แต่เหล่านักสู้ที่แข็งแกร่งสูงสุดยังไม่สามารถฆ่ามันได้ ปีศาจเหล่านี้สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ด้วยวิธีการบางอย่าง ดังนั้นเพื่อจะหยุดพวกมันจากการกลับมาเกิดใหม่ เหล่านักสู้ระดับสุดยอดจะผนึกพวกมันไว้ในสิ่งของหรือสัตว์มีชีวิตต่างๆ”
เย่ว์หยางกระโดดผางทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ “ผนึกเหรอ?”
ทันใดนั้นเขาคิดถึงนางพญาเฟ่ยเหวินหลี ราชินีอสรพิษผู้ถูกผนึกไว้ในจี้หยกดำของเขา พลังความแข็งแกร่งของนางไม่สามารถจินตนาการได้
แม้ว่านางไม่มีร่างหยาบเหลืออยู่แล้ว แต่ความสามารถของนางเพียงพอที่จะส่งเย่ว์หยางออกมาจากหลุมดำได้
เขาไม่คิดเลยว่านอกจากจี้หยกดำแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อื่นอีกได้ถูกผนึกไว้ในด้วงหยกขาวนี้เช่นกัน โชคดีที่เขายังไม่ได้ใช้มันช่วยคน, หรือว่ามันไม่ได้รับภัยพิบัติใดๆ พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เย่ว์หยางถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นทันที
ถ้าเขาปลดปล่อยนักสู้เหนือมนุษย์ออกมา อย่างนั้นมันก็อาจเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาปลดปล่อยนักสู้เผ่าพันธุ์ปีศาจ อาจกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่ก็ได้
มันจะเป็นด้วงหยกขาวนี้ได้อย่างไร นั่นดูผิวเผินก็ไม่น่าเป็นอันตรายนี่ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเชียวหรือ?
“อาจารย์ของข้าได้ยกหัวข้อเรื่องผนึกนักรบขึ้นมาพูดเมื่อนานมาแล้ว มันจำแนกออกเป็น 5 ชั้น ชั้นแรกแและสำคัญที่สุดเป็นรูปแบบสัตว์ ตัวผนึกเองจะดูดกลืนพลังงานจากสัตว์เป้าหมายเพื่อความคงอยู่ยั่งยืนของมัน เหมือนอย่างด้วงหยกขาวของเจ้า ต่อจากนั้นก็เป็นรูปแบบพืช, รูปแบบสมบัติ, รูปแบบแก้วผลึก, และรูปแบบกักพื้นที่ ผนึกที่น่ากลัวที่สุด กล่าวกันว่าคือรูปแบบผนึกกักพื้นที่ ข้าไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสุดยอดนักสู้ที่สามารถสร้างพื้นที่อย่างหลุมดำ และจับศัตรูใส่เข้าไปแล้วผนึกหลุมดำทำให้ศัตรูอยู่ในสถานะถูกทำลายตลอดกาล จะมีพลังมากขนาดไหน นอกจากฆ่าคนที่สร้างผนึกด้วยตัวเขาเอง ก็ไม่มีพลังอื่นสามารถทำลายผนึกพื้นที่อย่างนี้ได้ ผนึกชั่วนิรันดร์แบบนี้เป็นวิชาผนึกที่ไม่มีใครทำลายได้ เรียกกันว่า “ผนึกนิพพาน” สำหรับผนึกบนตัวด้วงหยกขาว เรียกกันว่า “ผนึกกักวิญญาณ” โดยปกติแล้ว ที่ชั้น 8 ของหอทงเทียนและที่สูงกว่า เหล่านักสู้ผู้แข็งแกร่งผู้เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้จะใช้วิธีนี้กำจัดศัตรูของพวกเขา” ขณะที่หมอหญิงพูดคำนี้ เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อยะเยียบอีกครั้ง ผนึกที่ถูกนำมาใช้กับนางพญาเฟ่ยเหวินหลีดูเหมือนจะเป็นผนึกกักพื้นที่ระดับสูงสุด “ผนึกนิพพาน”
“เราจะต้องทำอะไรถึงจะฆ่าปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ภายในได้?” เย่ว์หยางรีบถามถึงวิธี
“ก่อนที่นักสู้ผู้สร้างผนึกใช้พลังของตน ข้าไม่รู้วิธีอื่นที่จะฆ่ามัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าสามารถรอจนกระทั่งนักสู้ผู้ใช้พลังของเขาสร้างผนึกได้ เจ้าด้วงหยกขาวนี้บางทีอาจจะตายก็ได้ และปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ข้างในอาจตายไปพร้อมกันก็ได้ นี่คือเหตุผลที่วิธีที่ดีที่สุด ป้องกันไม่ให้มันดูดกลืนพลังรอบด้าน ก็คือหลีกเลี่ยงการใช้มันช่วยชีวิตผู้คน มิฉะนั้น ถ้าพลังผนึกถูกใช้จนหมด อย่างนั้นปีศาจที่ถูกผนึกไว้ภายในก็จะหนีออกมาได้” คำพูดของหมอชราทำให้เย่ว์หยางรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้หยิบเผือกร้อนขึ้นมา ไม่สามารถจะโยนทิ้งได้ทั้งจะเก็บไว้ก็ไม่ได้
ทันใดนั้น แสงเทเลพอร์ตสีขาวก็ฉายแว่บขึ้น
นักรบวัยกลางคนที่ตลอดทั้งตัวของเขาเปล่งแสงสว่าง มีแสงวงแหวนหลายวงที่สวยงามอยู่เหนือตัวของเขา เสียงของเขาคำรามลึกเหมือนเสียงฟ้าร้อง ในขณะที่เขาตะโกนว่า “ทุกคน! ไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
หน้าของแพทย์หญิงชราดำคล้ำและพึมพำว่า “ผู้ฒ่าเทียนเจิ้นหรือ? ฝ่าบาทไปขอร้องนิกายหมอกอีกแล้วหรือ? ดูเหมือนตอนนี้ สมบัติของอาณาจักร มุกมังกรขาวตกไปอยู่ในมือของนิกายหมอกหรือ…เฮ้อ.. ดูเหมือนว่านิกายหมอกยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ต้าเซี่ยก็ยิ่งอยู่ในอันตราย…”
“เทียนเจิ้น, เจ้ามาที่นี่ทำไม? ตาแก่ผู้นี้ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารักษา รีบไสหัวไปซะ!” ขุนพลเฒ่าเอ็ดตะโรลั่น
“เป็นฮ่องเต้ต้าเซี่ยของเจ้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านประมุขไป่หยุน เป็นเพราะท่านประมุขนิกายไป่หยุนสมเพชเจ้า เขาถึงได้ส่งข้ามาที่นี่ เจ้าคิดหรือว่าข้ายินดีจะช่วยสวะอย่างเจ้า? พวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร ออกไปเดี๋ยวนี้! ข้าจะอัญเชิญแสงศักดิ์สิทธิ์มาใช้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะช่วยเจ้าได้หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” นักรบวัยกลางคนยิ้มและตอบอย่างยโส ต่อจากนั้นเขาคำรามเสียงสนั่นซึ่งสั่นสะท้านกายและใจของทุกคนจนพวกเขาหูอื้อ
“ข้าบอกไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารักษา ไสหัวไปได้แล้ว” ขุนพลเฒ่า ต่อต้านอย่างโกรธเคือง เขาต้องการจะยืนขึ้น แต่ทหารของเขาเองหลั่งน้ำตากดตัวเขาไว้จนสุดชีวิต
“เตาฟง, ผ่านไป 200 ปีแล้ว ดูซิว่าเจ้ากลายเป็นอะไรไปแล้ว? เจ้าคิดหรือว่าเจ้ายังคงเป็นเตาฟงที่อยู่ยงคงกระพันจนวาระสุดท้ายหรือ? ตอนนี้เจ้าเป็นแค่หมาแก่ที่น่าสมเพช แม้ว่าข้าจะใช้แค่นิ้วเดียว แต่ข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากนัก เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถคำรามใส่ข้าจนวาระสุดท้ายได้หรือ? 200 ปีผ่านไปเจ้าไม่รู้เรียนรู้วิธีทำให้แข็งแกร่งอีกหรือ? ไม่เป็นไร ข้าจะยกโทษให้เจ้า เป็นความผิดของข้าเองที่ดันเป็นสหายกับเจ้า” นักรบวัยกลางคนเปล่งประกายแสงที่ชุดวงแหวน ผู้เฒ่าเทียนเจิ้นเรียกคัมภีร์ชั้นแพลตตินัมออกมาแล้วเรียกกลองทองยักษ์ออกมาอีกใบ เขายกกลองและตีกลองทองทันที
ด้วยเสียงสนั่นกึกก้องทำให้ทหารทั้งหมดเป็นลมล้มลงกับพื้น
แม้แต่เย่ว์หยางยังรู้สึกว่าศีรษะของเขาถูกคนทุบ หูของเขารู้สึกเจ็บปวด ศีรษะก็รู้สึกกำลังหมุน
กลองทองใบนี้ใช้วิธีที่แตกต่างเพื่อให้บรรลุผลเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนกับคลื่นเสียงร้องของนางพญากระหายเลือด นางพญากระหายเลือดไม่สามารถใช้คลื่นเสียงได้ยาวนาน นอกจากนี้ นางยังได้รับบาดเจ็บหนัก เกินกว่าจะปล่อยเสียงกรีดร้องได้อย่างทรงพลัง
กลองทองเป็นสมบัติชนิดหนึ่ง ตราบใดที่ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นมีพลังภายในเพียงพอ อย่างนั้นกลองก็สามารถใช้ได้อย่างไม่สิ้นสุด มันยังสามารถอยู่ได้ตลอดไปโดยไม่เปลืองพลังเลย
นอกจากหมอหญิงสูงวัย, บุรุษตาอินทรีและเย่ว์หยางแล้ว ทุกคนในตอนนี้ รวมทั้งขุนพลเฒ่าเตาฟงที่ได้รับบาดเจ็บ ต่างล้มลงกับพื้น ทหารที่อ่อนแอที่สุดมีเลือดไหลออกจากหู และสลบไปจากอาการบาดเจ็บ
“เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตคนหรือฆ่าคนกันแน่?” บุรุษตาอินทรีชักกระบี่เล่มใหญ่และวิ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้ากำลังท้าทายด้วยพลังฝีมืออย่างเจ้าน่ะหรือ? เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” วงแหวนไฟของผู้อาวุโสเทียนเจิ้นกระพริบและเขายิ้มอย่างหยิ่งผยอง
เขาเรียกงูยักษ์ขาวที่พุ่งออกมาจากท้องฟ้า
ขณะเดียวกัน มันอ้าปากกว้าง ตั้งใจจะกินบุรุษตาอินทรีให้ได้ในคำเดียว
พอเจอการจู่โจมในอากาศ ตอนแรกบุรุษตาอินทรีกระโดดขึ้นไปตามสัญชาตญาณและหลบพ้นปากมรณะของงูยักษ์ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้างูขาวจะเจ้าเล่ห์มาก เนื่องจากมันพลาดกลืนกินเขาไม่ได้ มันกวาดหางยักษ์ใส่เขาทำให้บุรุษตาอินทรีปลิวกระเด็นออกไปด้วยพลังที่น่ากลัว เขากระแทกกับผนังดังบึ้ม จนผนังศูนย์พยาบาลพัง แรงกระแทกของเขาทำลายเสาต้นกลาง ขณะที่ร่างของเขาไปตกอยู่บนยอดเนินอีกด้านหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่างูยักษ์ อสูรเงินระดับ 8 จะทำร้ายเขาได้สำเร็จ มันก็ยังไล่ตามเขาโดยไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นมองดูหมอหญิงสูงวัย “หน้าที่ของข้าคือ ช่วยผู้คนมาเอาชีวิตเจ้า ตอนนี้ เจ้าตายได้แล้ว”
หมอหญิงชรายิ้มอย่างใจเย็น “ข้าคิดมานานแล้วว่า เจ้าจะต้องมาเสนอเงื่อนไขเหล่านี้ เจ้ามักเป็นคนเช่นนั้น ฆ่าคนให้มากตามที่เจ้าต้องการ เมื่อโอกาสมาถึง ผู้เฒ่าเทียนเจิ้น ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เจ้าจะไม่มีทางกลายเป็นนักสู้ระดับสูงสุด เพราะเจ้าไม่มีหัวใจนักสู้ที่แท้จริง”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว! ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรก็ตาม เจ้าจะต้องตายวันนี้แน่นอน” ผู้เฒ่าเทียนเจิ้นเรียกอสูรที่มีครึ่งตัวล่างเหมือนหมอก และสั่งให้มันบินไปหาหมอหญิงชรา นางยิ้มนุ่มนวลและส่ายศีรษะเบาๆ ขณะที่หลับตานางรอเจอมันโดยไม่ต่อต้าน ได้แต่หลับตารอความตายเท่านั้น ปีศาจหมอกไม่ได้ฆ่าหมอหญิงทันที แต่กลับปล่อยหมอกขาวแทนจนกลืนตัวนางอยู่ในนั้น ดูเหมือนว่ามันจะใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุด ทำให้นางหายใจไม่ออกจนค่อยๆ ตาย…
ในที่สุด ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นค่อยใช้ทักษะตรวจหนึ่งในสี่ กวาดมองดูทั้งพื้นที่ เขาเห็นเย่ว์หยาง และดูเหมือนจะสงสัยเล็กน้อยว่า เจ้าหนอนอ่อนแอนั่นยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร?
เย่ว์หยางจะไม่ยอมรามือรอความตายแน่นอน
ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูชนิดไหน รวมทั้งปีศาจอย่างจ้าวปีศาจฮาซิน, ราชาผีอมตะลิชกรุน เขาก็ยังไม่ยอมถอย
เย่ว์หยางรู้ว่าเจ้าผู้นี้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยเผชิญหน้าจากบรรดาศัตรูที่เป็นมนุษย์ เจ้าผู้นี้ใช้การช่วยชีวิตเป็นข้ออ้าง เพื่อสังหารผู้อาวุโสจากอาณาจักรต้าเซี่ย อย่างเช่นขุนพลเฒ่าเตาฟงและหัวหน้าหมอหญิง ขณะที่เขาเป็นคนที่มาเจอสิ่งที่เขาไม่ควรเจอ เขาเป็นแค่คนผ่านทางที่ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นต้องฆ่าเพื่อปิดปากพยาน
พอเห็นเย่ว์หยางค่อยๆ ชูดาบวิเศษฮุยจินของเขา รังสีต่อสู้ที่น่ากลัวก็ห่อหุ้มตัวเขา ผู้อาวุโสเทียนเจิ้นหัวเราะลั่น
“ข้าดูผิดไปหรือเปล่านี่? แทนที่จะเก็บชีวิตตัวเองไว้ เจ้าคิดจะสู้กลับหรือ?” ผู้อาวุโสเทียนเจิ้น ที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีสวยงาม ดูเหมือนกับว่าได้เห็นสิ่งที่น่าสนุกสนานที่สุดในโลก ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ
“ถ้าเจ้าต้องการสู้, ข้าก็จะสู้” เย่ว์หยางคำรามอย่างเย็นชา พร้อมกับกระตุ้นเพลิงสีม่วงบนดาบฮุยจิน
“นักเรียนคนหนึ่งจากสถาบันต้องการท้าทายข้าหรือ? ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ข้าชื่นชมความกล้างี่เง่าของเจ้านะ ตายซะเถอะ ไอ้หนอนน้อย!” ผู้เฒ่าเทียนเจิ้นเรียกนักรบหัววัวถือขวานโลหิตเล่มหนึ่ง จากนั้นออกคำสั่งว่า “ตัดเจ้าหนอนน้อยให้เป็น 18 เสี่ยง ไม่ให้มาก ไม่ให้น้อยกว่านั้น”
เย่ว์หยางเคยเห็นคนหยิ่งยโสมามาก แต่ไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งยโสจัดขนาดผู้อาวุโสเทียนเจิ้นมาก่อน
เขายิ้มมุมปาก ยิ่งศัตรูเย่อหยิ่งมากเท่าไหร่ พวกมันจะดูถูกเขา และโอกาสที่เขาจะเอาชนะพวกมันได้ก็สูงขึ้นเท่านั้น
ฮุยไท่หลางโกรธ มันคำรามและกระโจนขึ้นในท้องฟ้า
ปราณปีศาจบนตัวมันระเบิดออก และเปลวไฟสีดำพ่นออกมา ความรุนแรงของมันประหนึ่งว่ารับช่วงมาจากจ้าวปีศาจ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอสูรเงินระดับ 4 แต่มันไม่สนใจระดับที่แตกต่างกันยังคงปล่อยแรงกดดันใส่นักรบหัววัวอสูรเงินระดับ 6
ตอนแรกนักรบหัววัวถูกฮุยไท่หลางข่มขู่จนกลัวจริงๆ ถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พอมันเห็นว่าฮุยไท่หลางมีระดับที่ต่ำกว่ามันมาก มันคำรามด้วยความโกรธ
ด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง มันใช้กีบวัวย่ำทำลายพื้นผิวหิน และพุ่งเข้าหาฮุยไท่หลาง ทิ้งรอยหินแตกเป็นทางยาว
เย่ว์หยางพุ่งขึ้นไปในอากาศขณะเดียวกัน เห็นว่านักรบหัววัวฟันขวานฝ่าอากาศมาอย่างบ้าคลั่ง เขากระแทกใส่นักรบหัววัวไม่ยอมถอย ตั้งใจทำให้มันบาดเจ็บด้วยการโจมตีครั้งเดียว เขาปล่อยทักษะโซ่ล่องหนของเสี่ยวเหวินหลีทันที จำกัดความเคลื่อนไหวของนักรบหัววัว ใช้มือขวาฟันดาบฮุยจินของเขา เขาสร้างเปลวเพลิวม่วงจนเต็มท้องฟ้าบังตัวเขาเองไม่ให้ศัตรูมองเห็น ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ถูกยิงออกจากมือขวาเจาะเข้าตรงระหว่างคิ้วของนักรบหัววัวอย่างไร้ความปราณี
********************