===============
“เกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนาน ทุกคนควรจะรู้ว่าพวกเขามีอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้นมีมนุษย์หลายคนที่รู้วิธีบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเศร้า วิธีเหล่านี้ไม่มีประโยชน์สำหรับคนทั่วไป ก็เหมือนกับคนทั่วไปกับคัมภีร์อัญเชิญนั่นแหละ พวกเขารู้ว่าคัมภีร์อัญเชิญมีอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถทำสัญญากับมันได้” แม่เฒ่าอู่เถิงยิ้ม “ถ้าพวกเจ้าต้องการรู้วิธี อย่างนั้นพวกเจ้าต้องเข้าใจเสียก่อนว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์คืออะไร และจะประเมินพวกเขาได้อย่างไร”
ไม่ใช่แค่เย่ว์หยางเท่านั้น แม้แต่เย่ว์ปิง, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ตั้งใจฟังจนหูตั้งกันทุกคน
เหลือแต่เพียงเจ้าอ้วนไห่เท่านั้นที่ยังฝันหวานอยู่ แถมยังกรนเสียงดังสนั่นอีกด้วย เสียงกรนของเขาดังไปจนถึงชั้นฟ้า
แม่เฒ่าอู่เถิงไม่ถือสาที่เจ้าอ้วนไห่หลับฝันหวาน นางกลับมองมาที่เย่ว์หยางแทน จากนั้นก็เย่ว์ปิงก่อนที่จะผงกศีรษะเบาๆ
เย่คงรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นเพราะเย่ว์หยางและเย่ว์ปิงตั้งใจฟังอยู่ในชั้นเรียน แม่เฒ่าอู่เถิงจึงตัดสินใจเล่าความลับนี้ มิฉะนั้น ถ้าเป็นเพียงนักเรียนธรรมดา พวกเขาจะไม่มีทางได้ยินเรื่องแบบนี้เลย
“ความจริงเงื่อนไขอสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเภท, ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับชั้นของอสูร, ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนา อสูรศักดิ์สิทธิ์ความจริงแล้วเป็นขอบเขตอย่างหนึ่ง อสูรใดๆ ก็ตามที่มีสติปัญญาสูง จัดว่าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นชั้นสามัญ, ทองแดง, เงิน, ทอง, แพลตตินัมหรือว่าเพชร ตราบใดที่พวกเขามีสติปัญญาสูงส่งพอ พวกเขานับได้ว่าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์แน่นอน คงเป็นเรื่องยากสำหรับอสูรที่มีชั้นต่ำกว่าแพลตตินัมจะมีสติปัญญาสูงส่งได้ ดังนั้น สัตว์อสูรชั้นต่ำกว่าแพลตตินัม ที่จะกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น นอกจากอสูรระดับ 10 ที่มีชีวิตอยู่ในโลกตามธรรมชาติมาเป็นพันๆ ปี หรือกระทั่งหมื่นปีก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่สัตว์อสูรจะเข้าถึงขอบเขตอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ ความพิเศษของอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็คือพูดได้ เรียนรู้ได้ เนื่องจากสติปัญญาของพวกเขาสูงส่ง อสูรศักดิ์สิทธิ์สามารถพูดภาษามนุษย์และในขณะเดียวกัน ก็สามารถเรียนรู้ทักษะของมนุษย์ได้ เพียงแต่เมื่ออสูรของเจ้าไปถึงขอบเขตระดับนั้นเจ้าจะเข้าใจตามความเป็นจริง ความจริงขอบเขตอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่จุดเริ่มต้นสำหรับอสูรที่จะพัฒนาไปถึงระดับสูงสุด..”
“อย่างนั้นอสูรในตำนานจะเป็นเช่นไร?” ใจจริง เย่ว์หยางก็อยากรู้เหมือนกัน นางพญากระหายเลือดมีความฉลาดและสามารถพูดภาษาปีศาจได้ จะถือว่าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่? หรือไม่ก็นางแค่ถึงระดับเคาะประตูเขตแดนอสูรศักดิ์สิทธิ์ แล้วเริ่มพัฒนาไปเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์กันแน่?
“เกี่ยวกับเรื่องอสูรในตำนาน ข้ารู้มาไม่มากขนาดนั้น” แม่เฒ่าอู่เถิงหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดเรื่องอสูรในตำนาน จากนั้นนางพูดต่ออย่างราบเรียบว่า “ข้าได้ยินมาว่าอสูรในตำนานก็เหมือนกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ มีสติปัญญาระดับสูง อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างอสูรในตำนานและอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็คือ อสูรในตำนานนั้นมีคัมภีร์อัญเชิญเป็นของตนเอง” คำพูดของแม่เฒ่าอู่เถิงทำให้เย่ว์หยางสะดุ้งเฮือกด้วยความประหลาดใจ
ครอบครองคัมภีร์อัญเชิญหรือ?
อสูรที่ครอบครองคัมภีร์อัญเชิญด้วยตนเอง เรียกว่าอสูรในตำนานหรือ?
ถ้าเป็นแบบนั้น เสี่ยวเหวินหลี..เธอ…
“อสูรในตำนานสามารถครอบครองคัมภีร์ได้ด้วยตนเองหรือ? เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?” เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ตกใจสุดขีด พวกเขาไม่สามารถทำใจเชื่อเรื่องแบบนั้นได้เลย
แม่เฒ่าอู่เถิงโบกมือเล็กน้อย ชี้ไปทางเย่ว์หยางแล้วบอกให้นั่ง “ข้ายังไม่ยืนยันให้แน่ชัดลงไป ข้าไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ เมื่อเจ้าสามารถไปถึงขอบเขตเช่นนั้น เจ้าจงค้นคว้าดูด้วยตนเอง
เย่ว์หยางชักกังวลใจเล็กน้อย กลัวว่าแม่เฒ่าอู่เถิงจะมองเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขา
เรื่องที่เสี่ยวเหวินหลีครอบครองคัมภีร์อัญเชิญเป็นของตนเองนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้นเย่ว์หยางพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “อย่านั้นท่านบอกเรื่องอสูรศักดิ์สิทธิ์เพิ่มอีกได้ไหม?
“อสูรศักดิ์สิทธิ์นอกจากจะมีสติปัญญาระดับสูงแล้ว พวกเขาเรียนรู้และพูดได้ นอกจากนี้พวกเขายังมีความสามารถอย่างอื่นอีก นั่นก็คือแปลงเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเดิมทีร่างของเขาจะดูเหมือนราชสีห์, อินทรี หรือสัตว์อสูรอย่างอื่น พวกเขาสามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ พวกเขาจะค่อยๆ พัฒนาไปจนดูเหมือนมนุษย์ พูดภาษาเราและเรียนวิทยายุทธ์ของพวกเราก็ได้ อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่า จะพัฒนาไปเป็นมนุษย์ได้สมบูรณ์ยิ่งกว่า และพวกเขาจะดูเหมือนกับพวกเรามาก ถ้าอสูรศักดิ์สิทธิ์พัฒนาไปถึงขั้นที่ 9 ได้ อย่างนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนกับเรา พวกเขาสามารถมานั่งที่นี่กับเราและฟังคำบรรยายก็ได้ โดยที่พวกเราไม่สามารถแยกความแตกต่างได้เลยว่าใครเป็นอสูร ใครเป็นมนุษย์” คำพูดของแม่เฒ่าอู่เถิงทำให้เย่ว์หยางตะลึง
นางพญากระหายเลือด, เสี่ยวเหวินหลี, โคเงาและแม้กระทั่งต้นดอกหนามของเขา เมื่อเวลาผ่านไป พวกนางจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนมนุษย์มากขึ้นๆ
ไม่ใช่เพียงแต่ทักษะของพวกนางเท่านั้น แม้แต่ความฉลาดและอารมณ์ของพวกนางก็พัฒนาต่อเนื่องด้วย
เป็นไปได้ว่าวิธีบ่มเพาะนางพญาดอกหนามมงกุฎทองก็คือวิธีบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์วิธีหนึ่งหรือ? เป็นไปได้ว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์และอสูรในตำนาน คงไม่ใช่แค่อสูร 9 และ 10 ดาวธรรมดาๆ พวกเขายังมีการแบ่งชั้นย่อยลงไปอีกหรือ?
บรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถแบ่งประเภทเป็นแข็งแกร่งและอ่อนแอได้อย่างไร?
เย่ว์หยางรีบถามว่า “บรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์ สามารถจัดแบ่งพวกเขาตามระดับชั้นด้วยหรือ? จัดเป็น ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม และต่อๆ กันไปอย่างนั้นหรือ?
แม่เฒ่าอู่เถิงพยักหน้ายืนยัน “การจัดอันดับของอสูรศักดิ์สิทธิ์แตกต่างจากที่ใช้จัดกับอสูรสามัญ ปกติจะจัดอันดับอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็น 9 ชั้นแตกต่างกัน แม้ว่าจะเป็นอสูรสามัญชั้นแรก แต่พลังต่อสู้ของมันอาจจะพอๆ กับอสูรสามัญระดับ 9 ก็ได้ อย่างไรก็ตาม พลังรบของพวกเขามีมากเกินไป มันเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการถึง นักรบทั่วไปไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องทั้งหมดนี้ สรุปว่าการจัดชั้นอันดับอสูรศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วไป จัดเป็น 9 ดาว แน่นอนว่าการแบ่งชั้นเป็น 9 ดาวนี้แตกต่างจากอสูรระดับชั้นสามัญ ระดับ 9 อย่างสิ้นเชิง เมื่ออสูรของพวกเจ้าบรรลุขอบเขตนั้นได้ เจ้าจะเข้าใจด้วยตนเอง”
เย่คงและคนอื่นๆ ฟังจนกระทั่งรู้สึกหัวสมองแทบระเบิด ถ้าอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรกมีความแข็งแกร่งเท่ากับอสูรสามัญระดับ 9 แล้ว อย่างนั้น อสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 9 จะมีพลังที่น่ากลัวขนาดไหน?
ยิ่งไปกว่านั้น เหนืออสูรศักดิ์สิทธิ์ ยังมีอสูรในตำนาน ไม่ต้องสงสัยเลยที่พวกเขาพูดกันว่า การเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการบรรลุพลังขั้นสูงสุด เรื่องนี้ สำหรับนักรบธรรมดายากจะจินตนาการได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักสู้ผู้เข้าถึงพลังสูงสุดจะพากันคิดว่านักรบที่มีระดับนักสู้ต่ำกว่าระดับ 6 เป็นแค่เพียงมดแมลงเท่านั้น
และแล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แว่บเข้ามาในใจของเย่ว์หยาง ทำไมเขาไม่ถามเกี่ยวกับอสูรลี้ลับที่สามารถสังหารอสุรกายดำได้ทันทีเล่า? “นอกจากอสูรในตำนานแล้ว ยังมีอสูรที่แข็งแกร่งกว่าโดยเฉพาะหรือไม่?”
“มีคำกล่าวว่านอกเหนือจากอสูรในตำนานแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่คงอยู่เรียกกันว่า “อสูรเหนือตำนาน” มันเป็นอสูรที่ถือกำเนิดด้วยปราณก่อกำเนิดของเจ้านายมัน สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอสูรชนิดนี้ ตำนานกล่าวไว้ว่าทุกๆ หมื่นปี จะมีผู้มีวาสนาปรากฏในทวีปมังกรทะยาน แต่ก็เป็นเพียงตำนานเล่าขานและไม่มีบันทึกเกี่ยวกับอสูรในตำนานในโลกนี้ เกี่ยวกับเรื่องอสูรในตำนาน ข้าไม่ค่อยเข้าใจดีนัก ข้าสามารถสอนได้เพียงอสูรศักดิ์สิทธิ์ในฐานะที่เป็นประเด็นหลักของการบรรยายครั้งนี้”
“อสูรเหนือตำนาน…” เย่ว์หยางคิดในใจ ก่อนที่เขาจะฟื้นสติกลับคืนมา เป็นไปได้ว่าอสูรลี้ลับที่มาปรากฏตัวและสังหารอสุรกายดำทันที น่าจะเป็น..
เป็นไปได้หรือว่า ผู้มีวาสนาที่ไม่ได้ปรากฏตัวในทวีปมังกรทะยานมานานถึงหมื่นปี จะเป็นเขาไปได้?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนจากทวีปมังกรทะยานแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่ท่องเที่ยวข้ามมิติ แม้ว่าคนที่มีวาสนาปรากฏตัว จะกลายเป็นเขาผู้ท่องเที่ยวข้ามมิติไปได้อย่างไร?
ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจก็คือ เสี่ยวเหวินหลี ที่เป็นเจ้าของคัมภีร์เพชร อาจเป็นอสูรในตำนานตนหนึ่งก็ได้
เธออาจเป็นอสูรเหนือตำนานในอีกฐานะหนึ่งก็ได้
แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มาจากโลกอื่นและไม่ได้ให้กำเนิดอสูรเหนือตำนานก็ตาม แต่เขาได้เคยพบนางพญาเฟ่ยเหวินหลีผู้ถูกผนึกมานานถึงหมื่นปีแล้ว เขาร่วมมือกับนางช่วยให้เสี่ยวเหวินหลีฟักตัวจากไข่ นี่อาจจะเข้ากับคำนายที่ว่าผู้มีวาสนาที่จะให้กำเนิดอสูรเหนือตำนานจะปรากฏตัวหมื่นปีต่อครั้ง เขาคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเหวินหลีกับตัวเขา เหมือนกับเป็นไปตามคุณสมบัติที่อสูรเหนือตำนานต้องการ…
เย่ว์หยางตัดสินใจเงียบๆ ว่าไม่ว่าเสี่ยวเหวินหลีจะมีความดำรงคงอยู่แบบไหนก็ตาม เขาจะค่อยๆ บ่มเพาะอบรมนาง
สำหรับคัมภีร์เทพฤทธิ์นั้น เขาจะสามารถเปิดมันได้ในที่สุด เมื่อเขาบ่มเพาะฝึกฝนกระบี่ไร้ลักษณ์ปราณก่อกำเนิดได้มากเพียงพอ
ในขณะนั้น เขาสามารถมองดูบันทึกของคัมภีร์เทพฤทธิ์ได้
เขาเชื่อว่าคำถามทั้งหมดของเขาจะได้รับคำตอบเมื่อถึงเวลานั้น
นัยน์ตาของแม่เฒ่าอู่เถิงที่เต็มไปด้วยภูมิรู้ปัญญา มองดูหน้าของเย่ว์หยางพลางยิ้มกล่าวว่า “เกี่ยวกับเรื่องการบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ ความจริง ก็มีคนที่รู้วิธีบ่มเพาะอยู่หลายคน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีพลังพอที่จะทำอย่างนั้น เมื่อฟังเรื่องนี้อย่างระมัดระวังแล้ว บางทีพวกเจ้าอาจจะบ่มเพาะฝึกฝนอสูรศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตก็ได้”
“ค่ะ!” เย่ว์ปิงรู้สึกว่าคงเป็นไปไม่ได้สำหรับนาง แต่อาจเป็นไปได้สำหรับพี่ชายของนาง ที่เป็นเจ้าของนางพญากระหายเลือด เนื่องจากสัญชาตญาณของนาง ทำให้นางฟังบรรยายด้วยความสนใจ
“ในการบ่มเพาะอสูรในตำนาน ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเป็นอสูรพิทักษ์ เพราะพวกเขาจะไม่ตายจริงๆ หรือทรยศเจ้านายของตน! ถ้าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อสูรพิทักษ์ไม่สามารถทำการบ่มเพาะได้ พวกเจ้าสามารถบ่มเพาะอสูรอื่นๆ ได้เช่นกัน วิธีบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้อสูรของพวกเจ้ามีระดับพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มทั้งความฉลาดและทำให้พวกเขาวิวัฒนาการจนเหมือนมนุษย์มากขึ้น มันก็เหมือนกันสำหรับอสูรทุกประเภท ในหอทงเทียนมีภารกิจอย่างหนึ่งชื่อว่า โลกพฤกษาซึ่งจะทำให้เจ้าได้รับผลปัญญาเป็นรางวัล นี่เป็นหนึ่งในวิธีเพิ่มสติปัญญาให้อสูร นอกจากนี้ ในหอทงเทียนชั้นที่หนึ่ง ที่วิหาร 12 นักษัตร ทุกๆ ครั้งที่การท้าประลองจบลงด้วยผลงานที่สำเร็จ 100% ผู้ท้าประลองจะได้รับรางวัลอย่างหนึ่งจากรหัสโบราณ ถ้าภารกิจสำเร็จมากกว่า 100% เขาอาจสามารถเพิ่มความฉลาดให้อสูรของเขาก็ได้… แน่นอนว่า ถ้ามีคนที่สามารถท้าประลองในวิหาร 12 นักษัตรและผ่านการประลองได้ทุกวิหาร เขาน่าจะสามารถบ่มเพาะจนได้อสูรศักดิ์ที่มีสติปัญญามาตนหนึ่ง” คำพูดของแม่เฒ่าอู่เถิงทำให้เย่ว์หยางตระหนักได้ทันทีว่า การท้าประลองที่ยากเย็นแสนเข็ญเหล่านั้นจะช่วยให้คนได้บ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ จึงไม่น่าแปลกใจที่มีความเสี่ยงมากผิดปกติ
“ตราบใดที่มีคนประลองสำเร็จแล้วและได้รับรางวัลตอบแทนความสามารถระดับสูงไปแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นพวกเขาจะไม่สามารถกลับไปท้าประลองซ้ำได้อีก พวกเขาทำได้แค่ไปยังวิหารต่อไป ถ้าสำเร็จภารกิจทั้ง 12 วิหารหมดแล้ว พวกเขาสามารถไปต่อยังชั้นสองของหอทงเทียนและทำภารกิจในหอฟ้า, ดิน,และมนุษย์ให้สำเร็จ ทั้ง 3 หอนี้ก็มีรางวัลเช่นกัน ชั้นที่สูงขึ้นไป ก็ยังคงมีภารกิจต่อเนื่องอย่างภารกิจโลกพฤกษา และภารกิจยากๆ อื่นอีก คนรุ่นก่อนได้ฝากคำเตือนใจเหล่านี้ไว้ก่อน “ยิ่งความเสี่ยงสูง สิ่งตอบแทนก็ยิ่งสูง” ถ้าเจ้าต้องการบ่มเพาะอสูรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจำเป็นต้องไปท้าแข่งท้าประลองนับครั้งไม่ถ้วน และประสบการณ์การต่อสู้ก็จะเพิ่มมาก จากนั้นอสูรของพวกเจ้าก็จะยกระดับให้สูงขึ้น การบ่มเพาะนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกตนเองของแต่ละคน พวกเจ้าสามารถทำภารกิจได้มากแค่ไหน พวกเจ้าสามารถทนต่อความยากลำบากได้มากแค่ไหน พวกเจ้าสามารถเผชิญหน้าต่อสู้ได้มากแค่ไหนและพวกเจ้าสามารถบ่มเพาะอสูรของพวกเจ้าได้มากแค่ไหน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ไม่มีใครช่วยเจ้ากับอสูรเหล่านั้นได้ ไม่มีทางลัดในการบ่มเพาะหรอกนะ….นักเรียน คนอายุเยาว์วัยระดับพวกเจ้า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตัวพวกเจ้าเอง ดังนั้น เจ้าต้องเห็นคุณค่าของความเยาว์วัยของพวกเจ้าและโอกาสของพวกเจ้า!” คำพูดของแม่เฒ่าอู่เถิงเปิดประตูความรู้บานใหม่ให้เย่ว์หยาง, เย่ว์ปิง, เย่คงและคนอื่นๆ
แม้ว่าพวกเขายังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนั้น แต่พวกเขาก็ยังได้ความรู้ ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่ามีขอบเขตอื่นที่สูงกว่าดำรงอยู่ เป็นโลกที่น่าอัศจรรย์อีกโลกหนึ่งไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะคิดได้
ทวีปมังกรทะยานเป็นแค่จุดเริ่มต้น
สถานที่แท้จริงสำหรับนักสู้ก็คือหอทงเทียนระดับที่สูงๆ ซึ่งเป็นโลกที่เป็นของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่แท้จริง
สำหรับ 3 วันต่อมา เย่ว์หยางและคนอื่นๆ ทุกคนมาฟังบรรยายของแม่เฒ่าอู่เถิงตั้งแต่เช้า ความรู้ของนางลึกซึ้งเหมือนมหาสมุทร ช่วยเสริมความรู้พื้นฐานที่อ่อนด้อยของเย่ว์หยางและคลายความสงสัยทุกอย่างในปัญหาที่เย่ว์หยางหาคำตอบไม่ได้ เย่ว์หยางรู้สึกเหมือนว่าเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และทำให้เขาก้าวหน้าในแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมตนเองหรือสัตว์อสูรของเขา หรือการสู้กับจุดอ่อนของอสูรของคู่ต่อสู้ เย่ว์หยางมีความก้าวหน้าที่โดดเด่น
ตอนนี้ เย่ว์หยางก็รู้ตัวเองได้ในที่สุดว่าเขายังคงอยู่แค่ในจุดเริ่มต้นของเส้นทางเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่ง
พร้อมกับความรู้เช่นนี้ เขาจึงกลายเป็นเหมือนเสือติดปีก สามารถทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
การพัฒนาต่อไปของเขา ควรจะเป็นเร็วๆ นี้
ความจริง คำพูดของแม่เฒ่าอู่เถิงไม่ได้ช่วยเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่มากนัก เพราะความสามารถของพวกเขายังห่างกันไกลมาก ระดับอสูรของพวกเขาก็ยังห่างจากการได้เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ราวฟ้ากับดิน พวกเขาเป็นเหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถมที่เข้าไปนั่งฟังบรรยายในมหาวิทยาลัย แม้ว่าพวกเขาจะได้รับความรู้มาบางส่วน แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเข้าใจได้ไม่มากนัก แต่เย่ว์หยางกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ความสามารถของเขาแทบจะไล่ทันเรื่องที่แม่เฒ่าอู่เถิงบรรยายไว้ แทบจะทุกคำพูดที่นางบรรยายช่วยให้เขาก้าวหน้าอย่างมาก หลายๆ อย่างที่เย่ว์หยางสับสนในตอนแรก ก็มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเหมือนกับเมฆถูกสายลมพัดปัดเป่าจนเห็นแสงอาทิตย์ที่สดใส
เวลาส่วนใหญ่ของการบรรยาย จะกลายเป็นว่าเย่ว์หยางปุจฉาถาม แม่เฒ่าอู่เถิงวิสัชนาตอบ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การบรรยายของแม่เฒ่าอู่เถิงเหมือนกับสอนให้เย่ว์หยางคนเดียวมากกว่า เนื้อหาคำบรรยายของนางเกือบทั้งหมดเหมือนเป็นหลักสูตรจัดมาสอนเย่ว์หยางโดยเฉพาะ สำหรับเย่คงและคนอื่นๆ พวกเขาแค่จำเอาไว้ในใจ แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ ต่อเมื่อความสามารถของพวกเขาเพิ่มขึ้นจึงมีความเข้าใจดีขึ้น
“สำหรับวันนี้ จะหยุดบทเรียนไว้เพียงเท่านี้ เพื่อจะได้นำความรู้ที่เราพูดคุยกันในชั้นเรียนไปสู่ภาคปฏิบัติ ข้าตัดสินใจจัดเตรียมการบ้านให้พวกเจ้า จงไปที่หุบเหวสิ้นหวังและนำหญ้าฟ้าประกายดาวกลับมาให้ได้ ถ้าพวกเจ้าทำได้สำเร็จ ข้าจะมอบอสูรให้พวกเจ้า 1 ตัวพร้อมกับโชคอย่างหนึ่งจากทักษะธรรมชาติมีโชคของข้า” ความจริง ภารกิจของแม่เฒ่าอู่เถิงมุ่งจัดเตรียมให้เย่ว์หยาง เย่คงและคนอื่นๆ รวมทั้งเย่ว์ปิง คงไม่มีความสามารถไปหุบเหวสิ้นหวังเพื่อเก็บหญ้าฟ้าประกายดาวได้ มีแต่เย่ว์หยางเท่านั้นที่มีความสามารถชนิดนั้น
“ได้เลย” แน่นอนว่า เย่ว์หยางเข้าใจความตั้งใจของแม่เฒ่าอู่เถิงอย่างถ่องแท้ นางต้องการช่วยให้เขาก้าวหน้า
“ข้าจะให้เวลาเจ้า 1 เดือน อีก 1 เดือนเราค่อยมาพบกันที่นี่” แม่เฒ่าอู่เถิงค้อมหัวให้เย่ว์หยางเล็กน้อย ขณะค่อยๆ จากไป
เดือนหนึ่งเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่า แม่เฒ่าอู่เถิงรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อเก็บหญ้าฟ้าประกายดาวในเหวสิ้นหวังหรือ? หุบเหวสิ้นหวังเป็นที่แบบไหนกันแน่?
แม้แต่เย่ว์หยางผู้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ก็ยังตกใจกับเรื่องนี้
********************