เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ – ตอนที่ 197 – ตอนที่ 186 ประลองตัดสิน P1

===============
ทันใดนั้น ประตูเทเลพอร์ตสีแดงกับวงแหวนคู่ปรากฏอยู่เหนือมือขวาของนางมารร้อยร่างทันที

เย่ว์หยางสะดุ้งเล็กน้อยคิดว่านางต้องการหนี

เขาแค่นเสียงและยื่นมือขวาที่ปกคลุมด้วยอักขระลึกลับและโน้มตัวไปข้างหน้าคว้าคอของนางมารร้อยร่างไว้แน่น จากนั้นยกนางขึ้นก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงนางออกไปอีกด้านหนึ่ง

บึ้ม!

ท้องพระโรงสั่นสะเทือนไปทั้งหมด เสียงดังกึกก้องขณะที่ร่างของนางมารร้อยร่างฟาดลงกับพื้น เสียงสะท้อนดังก้องเป็นเวลานาน พื้นหินอ่อนแตกร้าวเป็นรอยขยายออกไปถึงข้างนอก พอเห็นประตูเทเลพอร์ตวงแหวนคู่สีแดงปรากฏ อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพาเย่ว์ปิงและเด็กหญิงออกไปทันที จุนอู๋โหย่ว, มหาอำมาตย์, ผู้เฒ่าไห่และเฟิงขวงเตรียมพร้อม เหมือนกับกังวลว่าศัตรูเข้มแข็งจะปรากฏตัว

สิ่งที่แปลกและผิดปกติก็คือพวกเขาไม่ได้พยายามจะหยุดประตูเทเลพอร์ตเลย พวกเขาไม่ได้ทำลายประตูเทเลพอร์ตวงแหวนคู่สีแดงแต่อย่างใด

นางมารเฒ่าร้อยร่างแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเย่ว์หยางกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว เขาพบว่าเขามีระดับพลังที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งแผ่นดินได้ โดยเฉพาะเมื่อได้เพิ่มพลังจากอักขระโบราณและเงาปีศาจยักษ์

เดิมทีก็คิดว่า นักสู้ระดับ 7 และระดับ 8 แข็งแกร่งจนดูเหมือนไม่มีใครทำลายได้

แต่ด้วยผลของพลังที่น่ากลัวของเขาและพลังโซ่ล่องหนของเย่ว์หยาง เห็นได้ว่าเขาสามารถฆ่านักสู้ระดับ 8 ได้อย่างง่ายดาย

“อ๊าาา…” นางมารร้อยร่างร้องไห้กับชะตาที่ขมขื่นในใจนาง นางรู้ว่าศัตรูเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด นางหมดหวังเสียแล้ว

ไม่ว่าศัตรูจะอายุมากหรืออายุน้อย ตราบใดที่เขาคือนักสู้ปราณก่อกำเนิด พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่นางจะต่อกรเอาชนะได้เลย แน่นอนว่า ตอนแรกนางไม่คิดว่าพลังของนางจะอ่อนแอกว่า แม้พยายามจะหลบหนีก็ตาม ถ้านางรู้สึกว่าไม่สามารถเอาชนะได้ กระนั้นนางคิดว่านางสามารถหลบหนีจากพระราชวังต้าเซี่ยได้แน่นอน แต่เมื่อเจ้าผู้นี้เริ่มจู่โจมใส่นาง นางก็พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง เจ้าเด็กนี่รู้จักทักษะที่พันธนาการความเคลื่อนไหวของนางได้เด็ดขาด… ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหลบหนีเท่านั้น นางไม่สามารถจะดิ้นรนต่อต้านได้ การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ถือเป็นความโชคร้ายที่สุดในชีวิต ความหวังเดียวตอนนี้ก็คือข้อตกลงของนักสู้ปราณก่อกำเนิดจะสามารถผูกมัดเขาได้

“พูดออกมา, มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเสียใจที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้!” เพราะแม่สี่ัยังอยู่ในเงื้อมมือศัตรู เย่ว์หยางถึงได้เดือดดาลมาก

เขาบิดมือขวาของนางมารร้อยร่างและเริ่มหักกระดูกของนางทีละท่อนโดยเริ่มจากนิ้วมือ ทีละข้อ ทีละข้อ เขาหักกระดูกนิ้วมือขวาของนางมารเฒ่าร้อยร่างจนนางเจ็บปวดมากแทบจะขาดใจตาย

แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การเริ่มต้น ความทรมานที่แท้จริงอยู่ที่ปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยาง มันแล่นไปตามเส้นประสาทของกระดูกที่หักและแตกออก

นางมารเฒ่าร้อยร่างไม่เคยประสบความเจ็บปวดที่เกาะกระดูกสะท้านวิญญาณขนาดนี้มาก่อน

เย่ว์หยางไม่มีความเมตตาใดๆ เพียงเพราะศัตรูเป็นสตรี

ในสายตาของเขา ศัตรูก็คือศัตรู ไม่มีความแตกต่างระหว่างชายหรือหญิง ต่อให้ศัตรูเป็นกระเทย เขาก็ยังฆ่าได้ไม่ลังเล

“เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ แต่เข้าไม่รู้เบาะแสของแม่สี่ของเจ้าจริงๆ นั่นไม่ใช่ภารกิจที่ข้ารับผิดชอบอยู่ นั่นเป็นงานของมารร้อยปีกแะมารร้อยเนตร ซึ่งไม่ได้มีการเปิดเผยกับข้า ภารกิจของข้าคือดึงดูดความสนใจของเจ้าและลักพาตัวเย่ว์ปิงและเย่ว์ซวง นอกจากนั้นข้าไม่รู้จริงๆ” นางมารร้อยร่างที่ตอนแรกไม่ยอมพูดมาก แต่กลายเป็นว่านางรู้ทันทีว่าความกล้าหาญเป็นเรื่องไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง

นั่นเป็นเพราะ เย่ว์หยางเตรียมจะหักกระดูกในตัวนางทั้งหมดและเลาะมันออกมาทั้งที่นางยังมีชีวิต

คำพูดของนางดูเหมือนไม่ได้โกหกเย่ว์หยาง

เขายกมือข้างขวาและคำรามลั่น “ถ้าเป็นอย่างนั้น เจ้าก็ตายได้แล้ว!”

ได้รับข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์จากนางมารเฒ่าร้อยร่างบวกกับความวิตกกังวลที่ต้องการช่วยเหลือแม่สี่ เย่ว์หยางตัดสินใจสังหารนางมารเฒ่าปีศาจร้อยร่างให้ตายด้วยหมัดเดียว

มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากเบื้องหลังของเย่ว์หยาง “เจ้าไม่กลัวใช่ไหม? พ่อหนุ่ม ถ้าเจ้าไม่รู้กฎเกณฑ์ขอบเขตนักสู้ปราณก่อกำเนิด อย่างนั้นรุ่นอาวุโสจะสั่งสอนเจ้าเอง!”

มือขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงสีทองยื่นออกมาจากด้านหลัง คว้าข้อมือของเย่ว์หยางที่เงื้อค้างอยู่

มันรุนแรงกว่าฟ้าผ่า ไวกว่าฟ้าแล่บ

หมัดซ้ายของเย่ว์หยางเกร็งพลังดุจสายฟ้าไว้ เขาไม่ยอมออมพลังไว้ กลับต่อยไปที่ศัตรูเต็มกำลัง

บึ้ม!

เสียงจากการปะทะกันดังก้องไปทั่วท้องพระโรง เสียงนั้นมีแรงกดดันจนอึดอัดและคลื่นไส้

เย่ว์หยางตกใจจนกระเด็นถอยหลังเพราะพลังแบบนี้ไม่สามารถป้องกันต่อต้านได้ ตอนแรกเขาชนเสาจนขาดสะบั้นก่อนที่จะกระแทกเข้ากับผนัง เขาหยุดได้ก็เมื่อเกือบจะทะลุไปออกผนังอีกด้านหนึ่ง ผนังเป็นรอยจมลึกลงไป อิฐหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก มีรอยแตกร้าวอยู่ทั่วผนัง ขยายออกไปเหมือนกับงูเลื้อย

บนพื้น ปรากฏเป็นรอยครูดลึกจนเห็นได้ชัด

นั่นเป็นผลมาจากการที่เย่ว์หยางพยายามใช้ขาของตนยืนหยัดให้มั่นคง ถ้าเขาไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิด ถ้าเขาไม่ใช้พลังทั้งหมด บางเขาจะกระเด็นออกนอกวังล้มลงแล้ว

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ศัตรูของเขาเป็นสีทอง ยังคงเสียหลักถอยหลังไปห้าก้าว

รอยเท้ากดพื้นหินอ่อนจนมองเห็นได้ชัด

มีรัศมีสวยงามอยู่ที่ใต้เท้าของยักษ์สีทอง เขาสวมชุดเกราะชั้นทองที่มีสีทองสุกปลั่งเป็นพิเศษ มีดาบใหญ่ห้อยอยู่เอวเขาและมีผ้าคลุมอยู่บนหลังของเขา ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากทองปิดทับไว้ ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสถานะที่แท้จริงของเขาได้ สามารถประเมินพลังความแข็งแกร่งของพวกเขาได้จากสัญลักษณ์จันทราเงินดาราแฝดที่หน้าอกของเขา

จันทราเงินดาราแฝดจะแสดงขอบเขตที่คนผู้นี้เข้าถึง เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 2!

ด้านหลังยักษ์ทอง ยังคงมีภาพเงาเลือนรางที่ยังถูกปิดบังไว้ส่วนมาก แต่เป็นคนที่ยังเห็นได้อย่างคลุมเครือ

ถ้าคนที่ไม่ได้ให้ความสนใจ พวกเขาอาจคิดว่าเงานี้เป็นอสูรของเจ้ายักษ์ทอง

ในความเป็นจริง เย่ว์หยางพบว่า เงาที่เห็นรางๆ นี้เป็นศัตรูที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

ขอบเขตการบรรลุของเจ้าเงาเลือนรางนี้ ไม่สามารถเห็นได้ชัดแม้จะผสานทักษะญาณทิพย์ระดับ 3 และเนตรสลายสิ่งปิดบังเข้าด้วยกัน แต่เขารู้เพียงอย่างเดียวแน่นอน เทียบเจ้ายักษ์ทองกับเงาเลือนรางนี้ เจ้ายักษ์ทองไม่อาจเทียบกับมือข้างเดียวของเงาผู้นี้

ช่องว่างเช่นนี้บางทีคงเป็นเช่นเดียวกับช่องว่างระหว่างเขากับนางเซียนหงส์ฟ้า

“ข้าขอแสดงความคารวะฝ่าบาทจุนอู๋โหย่ว เราไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกวังของฝ่าบาท เพื่อก้าวก่ายเรื่องการปกครองที่ฝ่าบาทรับมืออยู่” เงาเลือนรางนั้นดูเหมือนจะโค้งคำนับน้อยๆ ต่อจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ เขาใช้น้ำเสียงที่ลึกลับพูด “ข้าเสียใจด้วย ที่เราต้องทำแบบนี้ เราไม่สามารถนั่งอย่างเกียจคร้านดูนักสู้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่ชายขอบ ปราณก่อกำเนิดต้องถูกสังหารโดยคนในวังของท่าน บางทีนางอาจจะก่อความผิดพลาดไปบ้าง… อย่างไรก็ตาม ตามข้อตกลงที่เราเหล่านักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ทำไว้ในหลายประเทศ เรามีสิทธิ์ที่จะกอบกู้รุ่นน้องที่โดดเด่นของเรา แน่นอน โปรดยื่นเงื่อนไขให้พวกเรา พวกเราจะไม่ละเลยเกียรติจะยอมหารือกับพระองค์เหล่าฮ่องเต้ตามกฎรหัสโบราณและบรรพบุรุษของเรา อย่างไรก็ตาม โปรดใคร่ครวญถึงสถานะของท่านให้ดี”

“เนื่องจากท่านได้ประกาศสงครามกับต้าเซี่ยเช่นกัน ข้าไม่เห็นด้วยที่่ปล่อยนางผู้นี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาระหว่างพวกเจ้านักสู้ปราณก่อกำเนิด นี่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับทวีปมังกรทะยาน พวกเจ้าเหล่านักสู้ปราณก่อกำเนิดสามารถทำอะไรตามต้องการได้ที่ชั้นหกหอทงเทียนหรือเหนือกว่านั้นได้ แต่เนื่องจากแต่เดิมทีทวีปมังกรทะยานมีกฎหมายไว้คอยปกป้องอยู่ ที่สำคัญคือประเทศของเราไม่ได้ถูกนักสู้ปราณก่อกำเนิดควบคุม พวกเจ้านักสู้ปราณก่อกำเนิดไม่สามารถก้าวก่ายการตัดสินใจของพวกเราได้ นอกจากพวกเจ้าประกาศสงครามและฆ่าพวกเราให้ตายทั้งหมด มิฉะนั้น เจ้าไม่สามารถพาตัวนางมารเฒ่าร้อยร่างหนีไปได้” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ยืนกรานเป็นพิเศษ แม้ว่าพระองค์จะเป็นเพียงนักสู้ระดับ 7 (ยอดมนุษย์) แต่ต่อหน้านักสู้ปราณก่อกำเนิด พระองค์ไม่ทรงแสดงความอ่อนแอใดๆ เลย

“ยุ่งยากเสียจริง หากว่าเราต้องการจะนำคนไป พวกเจ้าคิดว่าจะหยุดเราได้หรือ?” ยักษ์สีทองแค่นเสียง

เขากระทืบพื้นและสะบัดมือ

คลื่นวงแหวนทองถูกปล่อยออกมาจากตัวของเขา จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้, ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และเฟิงขวงถูกคลื่นกระแทกถอยออกไปหลายก้าว

มีเพียงคนที่สามารถยืนอยู่โดยไม่เคลื่อนไหวสักก้าวก็คือมหาอำมาตย์ผมขาว

ยักษ์ทองงอตัวลงเตรียมจะคว้าตัวนางมารเฒ่าปีศาจร้อยร่าง แต่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าที่หลังของนางมารร้อยร่างอย่างแรงป้องกันไม่ให้นางลุกขึ้น

เป็นเย่ว์หยางนั่นเอง

มือของยักษ์ทองไม่สามารถขยับได้

เขาไม่ทันได้เห็นไม่ทันได้ตระหนัก เมื่อเย่ว์หยางผู้โดนต่อยกระเด็นไปแล้วจะมายืนอยู่ใกล้ๆ เขา เขาเกิดความไม่พอใจ นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 2 อย่างเขาถูกทารกปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ข่มเหงได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่โต้ตอบการกระทำทั้งหมดนี้ เขาคงได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงมิใช่หรือ?

“เจ้ากำลังหาที่ตาย!” เจ้ายักษ์ทองยืดตัวตรงช้าๆ และพ่นคำเหล่านี้ใส่เขา

“เจ้าโง่!”

เย่ว์หยางเห็นด้วยในลักษณะที่ยั่วเย้า หมัดของเขาโจมตีใส่หน้าของยักษ์ทองแล้ว

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น

หน้าของยักษ์ทองมีหน้ากากสวมปิดไว้จึงทนต่อหมัดของเย่ว์หยาง เย่ว์หยางคำราม “เจ้ามีพลังมากขนาดนั้นใช่ไหม?”

ทักษะธรรมชาติโซ่ล่องหนระเบิดออกไปในเวลาเดียวกันกับการใช้พลังของเขา ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว ส่งผลให้ยักษ์ทองปลิวไปชนเพดานพระราชวัง เมื่อยักษ์ทองเกิดความสับสนมึนงงร่วงลงมาบนพื้น เย่ว์หยางจงใจหาเรื่องทะเลาะ “สำหรับเจ้า แค่นั้นก็น่าจะพอ!”

“ฮึ่ม, เจ้ากำลังหาเรื่องตาย!” เจ้ายักษ์ทองกระโดดลุกขึ้นยืน เขาไม่เคยโดนดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน

“เจ้าตัวน่าเกลียด!” เย่ว์หยางรับการโจมตีของยักษ์สีทองได้ ร่างของเขาหายวับและไปปรากฏที่หลังของยักษ์ทองทันที เจ้ายักษ์ทองคิดหาวิธีต่างๆ นานาที่จะหันไปโจมตีเย่ว์หยางให้ได้ แต่เขาไม่สามารถขยับร่างได้แม้แต่นิ้วเดียว ได้แต่ทนดูเย่ว์หยางระดมหมัดต่อยใส่หลังศีรษะของเขาเต็มแรงโดยทำอะไรไม่ได้ เจ้ายักษ์ทองรู้สึกขัดใจ เขาโกรธและเสียหน้าจัดขณะที่เขาพุ่งเข้าหาผนังกระแทกจนทะลุไปออกด้านตรงข้ามของผนังที่หนา

“ทักษะธรรมชาติที่ดี!” เงาเลือนรางชมเชยเขา “เนื่องจากเจ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่งแล้ว อย่างนั้นข้าก็มีเหตุผลที่จะฆ่าเจ้าแล้ว ไปลงนรกซะเถอะ!”

แสงสีดำยิงออกมาจากนิ้วมือของเงาเลือนลางนั้น

ลำแสงนี้มีพลังมากสามารถทะลุผ่านได้เหมือนกับเลเซอร์ อย่างไรก็ตาม ลำแสงดำนั้นบางผิดปกติ

ในชั่วแว่บหนึ่งนั้น เย่ว์หยางต้องการจะหลบมันให้พ้น แต่เขาพบว่าเขาต้องแปลกใจที่ลำแสงดำสามารถโค้งงอได้ แค่เมื่อเขาเตรียมจะรับมือมันด้วยปราณกระบี่ของเขา ก็มีมือที่เหี่ยวย่นมีอายุยื่นออกมาจากด้านหลังเขารับแสงมรณะสีดำนั้นไว้ ด้วยความเข้าใจแสงนั้นดี บุรุษชราที่ปรากฏตัวเบื้องหลังเย่ว์หยางกะทันหัน พลางจับแสงสีดำไว้เหมือนกับว่าเขากำลังจับงูสีดำ

พอใช้มือบีบเข้าด้วยกัน จากนั้นแสงสีดำก็หายไปในอากาศ

อย่างไรก็ตาม จากนั้นมือของเขาก็มีควันดำลอยขึ้นมา มือของเขาเปลี่ยนเป็นไหม้เกรียมเหมือนกับว่าถูกเผาด้วยเหล็กร้อนกลิ่นผิวไหม้ลอยออกมา

ชายชราที่ดูเหมือนธรรมดาค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังของเขาช้าๆ เขาพูดอย่างมีมารยาทว่า “เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ถ้าเจ้าฆ่าเขาแบบนี้โดยไม่มีคำอธิบาย ตาแก่ผู้นี้จะถือเหมือนว่าเจ้าประกาศสงครามกับต้าเซี่ย นอกจากนี้บรรดาสหายคนอื่นๆ ที่ให้ความสนใจก็จะเข้าร่วมการต่อสู้กับตาแก่นี้ด้วย? เมื่อมีพลังเพิ่มขึ้น ข้าอาจไม่ใจดีเหมือนเจ้าก็ได้ ในเมื่อมันกลายเป็นอำนาจของประเทศ ต้าเซี่ยแม้จะมีฝีมือห่างกับเจ้ามากเมื่อเทียบกันแล้ว แต่เมื่อต้องทุ่มเททำอะไรสักอย่าง ลูกหลานต้าเซี่ยเราไม่เคยแพ้คนอื่น จะสู้ต่อหรือจะถอนถอย เจ้าตัดสินใจด้วยประโยคเดียว!”

ที่ด้านหนึ่งของเย่ว์หยาง บุรุษชราผอมสูงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขามองดูคล้ายบัณฑิต

เขายิ้มสุภาพเต็มใบหน้าตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม เขายังแตกต่างจากบัณฑิต เขามองดูเหมือนเพชฌฆาตมีนัยน์ตาที่เปล่งรังสีฆ่าฟัน เขาพึมพำว่า “พวกเจ้ากำลังรังแกต้าเซี่ยเราหรือ? เจ้าเศษสวะ มาหาข้าเลย จะเอายังไงก็ได้ไม่ว่าจะเป็นตัวต่อตัวหรือตะลุมบอน เราจะสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด ข้อตกลงระหว่างนักสู้ปราณก่อกำเนิด แล้วยังไงเล่า? นั่นก็แค่คำพล่ามไร้สาระไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าไม่ออกไปจากที่นี่ทันที เราจะสู้กันเดี๋ยวนี้ เจ้าคิดว่านิกายราชันย์พันปีศาจจะขู่เราได้หรือ? หรือว่าจะเป็นหอปีศาจเล่า? พวกเจ้าพยายามจะขู่ใคร? พวกเจ้าคิดว่าเราเป็นแค่เด็กสามขวบหรือ?”

บุรุษชราผอมสูงที่ดูสุภาพนี้ยังคงพูดตรงไปตรงมาจากนั้นใช้มือแตะไหล่เย่ว์หยางเบาๆ เหมือนกับเป็นการบอกใบ้ไม่ให้เย่ว์หยางพูด

“องครักษ์พิทักษ์ฟ้า โปรดระงับโทสะ เรามีเหตุผลในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถปัดสวะทิ้งได้” มหาอำมาตย์ไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

“เจ้าเพิ่งจะพูดว่าต้าเซี่ยเจ้าที่ป่าเถื่อนยังมีเหตุผลอยู่อีกหรือ? น่าขัน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าไปอยู่เสียที่ไหน? ในวังต้าเซี่ย นักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่งต้องการฆ่าเตรียมนักสู้ปราณก่อกำเนิด ไม่เพียงเจ้าไม่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง แต่เจ้ากลับแอบช่วยเหลือกันเอง นั่นมีเหตุผลตรงไหนกัน? ข้อตกลงของนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่มีไว้ว่า นักสู้ปราณก่อกำเนิดคนใดก็ตาม นอกจากองครักษ์พิทักษ์ฟ้าจะเคลื่อนไหวได้เมื่อประเทศตกอยู่ในวิกฤติ ไม่มีใครสามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเฉพาะของทวีปมังกรทะยาน แต่ถ้าเขาฆ่าว่าที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดรุ่นน้องตามอำเภอใจ เขาจะกลายเป็นศัตรูของนักสู้ปราณก่อกำเนิดทุกคน เจ้าก็ลงชื่อรับรองข้อตกลงนี้ จึงยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้ากลับผิดคำพูด เจ้าแสดงตัวเหมือนว่าเป็นคนซื่ออย่างผิวเผิน แต่ลับหลังกลับมีการกระทำที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันจะผิดตรงไหนกัน ถ้าเราพยายามช่วยเหลือสหายของเรา? ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น เรายังคงให้เกียรติประเทศต้าเซี่ยของท่านอีกด้วย เราแค่ต้องการมารับตัวนางมารร้อยร่างคืนเท่านั้น แต่เจ้าก็ยังบีบบังคับเรา มีความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน?” ขณะเดียวกัน บุรุษร่างยักษ์สวมหน้ากากเงินปรากฏตัวข้างเงาเลือนลางนั้น เขาโต้เถียงคำพูดที่มหาอำมาตย์กล่าวออกมา

“โอว, มีนิยายชีวิตให้ดูในตอนนี้ด้วย เฮ้อ.. เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรา เราแค่มาที่นี่เพื่อหาดูเรื่องสนุก!” เงาสีแดงและดำปรากฏอยู่เหนือราชวัง

“พวกเราคนของวังปีศาจ ขอวางตัวเป็นกลางต่อสถานการณ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำลายสนธิสัญญา” อีกครั้งที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เปล่งแสงสีเขียว น้ำเงินและม่วงได้ปรากฏตัวด้านข้างพระราชวัง

“สามต่อสี่ไม่ยุติธรรมนี่ นิกายพันปีศาจมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดสามคน และต้าเซี่ยมีสี่คน ครั้งนี้ข้าจะช่วยนิกายพันปีศาจ” บุรุษที่มองดูเหมือนปีศาจมีเขาโค้งใหญ่คู่หนึ่ง มีกงเล็บแหลมคม มีหางยาวและเปลวไฟลุกไหม้รอบตัวเดินเข้ามาอยู่ข้างเงาเลือนลาง เขาส่งสัญญาณให้ทราบว่าเขาเสียสละตนเองเพื่อแก้ไขความอยุติธรรมครั้งนี้

“บังอาจ! เจ้าไม่มีคุณสมบัติในการควบคุมเรื่องที่เกิดขึ้นในทวีปมังกรทะยาน, เจ้าปีศาจ!” จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ตวาดลั่น

“ฝ่าบาทจุนอู๋โหย่ว โปรดใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้เป็นตัวแทนของแดนปีศาจแล้ว เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ ข้าตัดขาดกับแดนปีศาจไปแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ข้าก็ชอบอยู่ในโลกมนุษย์ ถ้าข้าดูไม่ดีหรือสถานะของข้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานของท่าน อย่างนั้นข้าก็เสียใจด้วย บางทีนักสู้ปราณก่อกำเนิดสาวสวยจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์อาจทำให้ท่านชอบมากขึ้นก็ได้ แต่เสียใจที่ข้าไม่ใช่ ฮ่าฮ่าฮ่า!” นักสู้ปราณก่อกำเนิดฝ่ายปีศาจนั้นโค้งให้จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้เล็กน้อย อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขา แสดงออกมาเหมือนว่าไม่สนใจอะไร

“….” เย่ว์หยางมีเรื่องจะพูด อย่างไรก็ตาม องครักษ์พิทักษ์ฟ้าคนผอมและสูงเขียนคำไม่กี่คำลงบนหลังของเขา บอกว่าเขายังไม่ต้องพูดทันที

“สำหรับเรื่องที่ไตตันน้อยของพวกเราต้องการฆ่านางมารร้อยร่าง นอกจากข้า, ฝ่าบาท, องครักษ์พิทักษ์ฟ้าทั้งสองคนก็เป็นเหมือนกับแม่ทัพไห่และขุนพลเฟิงขวงก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิด เหตุผลก็ง่ายมาก เป็นเพราะนางมารร้อยร่างต้องการฆ่าครอบครัวของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะสังหารฆาตกรผู้ทำร้ายญาติของเขา พวกเจ้าก็จะทำเช่นเดียวกันถ้ามันเกิดกับพวกเจ้า ประเด็นที่ว่าเขาเพิ่งเลื่อนขึ้นมาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนใหม่ เขาไม่เคยลงชื่อรับรองข้อตกลงของนักสู้ปราณก่อกำเนิดมาก่อน เขายังไม่รู้จักผู้ที่จะแนะนำเขาด้วยซ้ำ บางทียังไม่มีใครบอกเขาเรื่องข้อตกลงของนักสู้ปราณก่อกำเนิด แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เขาต้องการฆ่านางปีศาจร้อยร่าง ลองถามเด็กหนุ่มคนหนึ่่งผู้เพิ่งจะฝึกฝนตนเองจนบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดดูสิ ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่มีผู้แนะนำ เขาจะไปรู้เรื่องสนธิสัญญานักสู้ปราณก่อกำเนิดได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะการจับนางมารร้อยร่างในวันนี้ เราก็คงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา ทุกท่าน! ถ้าพวกท่านไม่ต้องการประกาศสงครามกับต้าเซี่ย อย่างนั้นโปรดกลับไป ถ้าพวกท่านต้องการทำลายสนธิสัญญานักสู้ปราณก่อกำเนิดและประกาศสงครามกับต้าเซี่ย อย่างนั้นก็เชิญเลยตามสะดวก ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถในการฆ่าพวกเราคนแก่รวมทั้งฝ่าบาทด้วย แล้วเราจะไม่ปริปาก ยอมถูกทุบตีจนตาย เราย่อมเชื่อในเกียรติยศของนักสู้ของเราแน่นอน” ขณะที่มหาอำมาตย์พูดประโยคสุดท้ายเขาโบกมือและปล่อยพลังคลื่นกระแทกออกมา

………….

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์

LLS, Triệu Hoán Vạn Tuế, Zhaohuan Wansui, 召唤万岁
Score 7.6
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2010 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Long Live Summons เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ทวีปมังกรทะยานคือโลกแห่งการอัญเชิญ คุณจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ ถ้าเพียงแต่คุณเป็นผู้อัญเชิญ! ยิ่วหยางเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาถูกส่งเข้ามาในโลกนี้อย่างฉับพลันทัน ด่วน เมื่อเขาฟื้นขึ้นกลับได้พบใบหน้าของหลายคนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และพบว่าเขาเป็นตัวตนของอีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นบุตรที่ไม่เอาไหนของตระกูลยิ่ว จนถึงกับโดดน้ำตายเพราะถูกปฏิเสธการหมั้น อีกทั้งไม่สามารถจะทำพันธสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้ แต่ยิ่วหยางกลับประสบความสำเร็จทำสัญญากับคัมภีร์ ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ขอเชิญติดตามดูครับ ความจริงในการแปลครั้งนี้มาจากแรงบันดาลใจที่ไม่ได้จะเป็นนักเขียนนักแปล หรอกครับ เกิดจากการอ่านมันฮัวการ์ตูนของจีนแล้วชอบ พยายามหาดูที่แปลเป็นอังกฤษ ก็แปลกันไปได้น้อยนิด แต่พอดูฉบับนิยายรู้สึกว่าเขาแปลไปได้เยอะ จึงลองเข้าอ่าน แต่เพราะความที่ภาษาไม่แข็งแรง จึงต้องดูไป เปิดดิคฯ ไปใช้โปรแกรมแปลช่วยบ้าง มีความรู้สึกว่าอ่านไม่ต่อเนื่อง จึงคิดว่าน่าจะแปลข้อมูลเก็บไว้ในเว็บๆ หนึ่งแล้วค่อยอ่านเป็นตอนๆ ให้ต่อเนื่องไปเลยดีกว่า แล้วก็นึกถึงที่นี่

Comment

Options

not work with dark mode
Reset