===============
นางเซียนหงส์ฟ้ายังคงแปลกใจเล็กน้อยในตอนแรก เหมือนกับว่านางไม่อาจเชื่อได้ว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากเย่ว์หยางในสภาวะคลั่งจะรุนแรงถึงขอบเขตนี้ได้ นางรู้สึกได้ลางๆ ว่าทักษะเสน่ห์ซึ่งเป็นทักษะธรรมชาติของนางจะเข้ากันได้กับสภาวะคลั่งของเจ้าเด็กนี่ ตราบใดที่นางใช้ทักษะเสน่ห์กับเขา อย่างนั้นเขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกครั้งที่เขาคลั่ง ทุกครั้งที่เขาระเบิดพลังออกมา ร่างของเขาจะผสานเข้ากับอักขระโบราณ ยิ่งผสานมากขึ้นพลังก็ยิ่งมากขึ้น ขณะที่เพลิงอมฤตที่ซ่อนอยู่ในร่างของเขา ก็ยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาอีกด้วย
อนาคตของเขาไม่มีขีดจำกัด
ตราบใดที่ร่างของเขาไม่ต่อต้านเสน่ห์ของนางมาก พลังของเขาก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นไปได้อีก
มิน่าเล่าพี่สาวของนางถึงได้สนใจเขา และรับเป็นผู้แนะนำให้เขา กลับกลายเป็นว่า เจ้าเด็กนี่ซุกซ่อนศักยภาพมหาศาลอย่างนั้นไว้นี่เอง
นางเซียนหงส์ฟ้าพบว่านางก็ไม่สามารถพบเห็นศักยภาพของเย่ว์หยางจนกระทั่งบัดนี้ อักขระโบราณและเพลิงอมฤตสามารถประสานเข้าด้วยกันแบบนี้ได้อย่างไร? ทำไมทั้งสองจึงไม่ต่อต้านกันและกัน? นอกจากนี้ เจ้าเด็กนี่ฝึกฝนทักษะปราณก่อกำเนิดมาแบบไหนกันแน่? นี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่เขายังฝึกฝนทักษะของเขาไม่สำเร็จ เขาไปรู้จักพลังที่น่ากลัวมาจากไหน และอยู่ในตัวของเขาได้อย่างไร ร่างของเขาครอบครองพลังทำลายล้างที่แตกต่างกันสองชนิดอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร? ทักษะของเขาต้องสูงสุดยอด เป็นทักษะวิเศษ มันอาจเป็นทักษะโบราณชนิดหนึ่งก็ได้ มิฉะนั้น เขาคงไม่ผิดธรรมดามากขนาดนี้
สหายน้อยที่น่าสนใจ เจ้าซ่อนความลับไว้มากมายขนาดไหนกันแน่?
นัยน์ตานางเซียนหงส์ฟ้าเต็มไปด้วยแววขบขัน
“อ๊าาาาค!”
เย่ว์หยางคำรามราวกับสายฟ้า เขาดูดเพลิงอมฤตทั้งหมดกลับมารวมไว้ในมือของเขา
ในเวลานี้ ถูเฉิงยังจะกล้าสู้กับเขาได้อย่างไร? เขากลัวหนักแทบจะวิ่งหนีทันที
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางที่โกรธจัดยังไวกว่าแสงเป็นพันเท่า และในทันใดนั้นเขาไล่ตามถูเฉิงผู้ใช้ปีกมังกรยักษ์บินหนีได้ทัน แค่เย่ว์หยางโบกมือเท่านั้น ร่างของถูเฉิงที่มีอสูรภูเขาไฟปกป้องก็ถูกไฟอมฤตในมือของเย่ว์หยางทำลาย
เขาถูกตัดเป็นสองส่วนร่วงลงไปบนพื้น
นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่ล้อมรอบพื้นที่อยู่กลืนน้ำเอื๊อกอย่างหวาดกลัว แข็งแกร่งมาก… นี่คือไฟอมฤตของจริง ความร้อนของอสูรภูเขาไฟยังกลายเป็นตัวตลกเมื่ออยู่ต่อหน้าไฟอมฤต
ถูเฉิงหลบหนีออกมาจากร่างมังกรยักษ์และปีศาจยักษ์โบราณที่เสริมพลังสามชั้นของเขา ร้องลั่นอย่างโหยหวน แต่ก่อนที่เขาจะหนีไปได้ไกล เขาก็โดนหมัดคลั่งของเย่ว์หยางอีกครั้ง
หอกเพลิงอมฤตที่เขายิงออกมาจากมันของเขาได้ฉีกร่างมังกรยักษ์และอสูรยักษ์โบราณ
ตายทันที
หัวใจของประมุขนิกายพันปีศาจสั่นสะท้าน แม้อยู่ในสภาวะคลั่ง แต่เจ้าเด็กนี่ยังสามารถทำอย่างที่ถูเฉิงทำได้เมื่อสักครู่ หอกเพลิง ความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็วแบบนั้นน่ากลัวจริงๆ
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” ถูเฉิงคิดว่าเขาอยู่ในขอบเหวแห่งความตาย ถ้าเขาไม่อ้อนวอนขอชีวิต เขาคงได้ตายจริงๆ
“ใครก็ตามที่พยายามฆ่าแม่สี่ของข้า จะไม่ได้รับการอภัย อ๊าาาา!” แม้ว่าเย่ว์หยางจะโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียเหตุผลไปโดยสิ้นเชิง สภาวะใจของเขามุ่งมั่นอยู่กับการฆ่า จะขอร้องเขาตอนนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเงื้อมือขวาที่ถือเพลิงอมฤตกระแทกใส่ศีรษะของถูเฉิง ไม่มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่อยู่รอบๆ กล้าเข้ามาห้ามเขา รวมทั้งประมุขนิกายพันปีศาจ
เขามั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะเย่ว์หยางในปัจจุบันนี้ได้ แต่เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากพลังโจมตีด้วยไฟอมฤตของเย่ว์หยาง
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่สามารถพบความหมายของวงจักรอักขระโบราณขนาดยักษ์ที่หลังของเย่ว์หยาง ถ้าวงจักรนั่นคือ “วงจักรล้างโลก” หรือเป็น “วงจักรอมตะ” ในตำนาน อย่างนั้นก็ถือว่าเขาประสบเคราะห์หนักจริงๆ แม้ว่าเขาจะสามารถหลบออกมาจากวงแหวนคร่ากุมเหล่านั้นได้ แต่พลังของเขาจะลดลงอย่างมาก
ถ้าเขาช่วยบริวารเขาในตอนนี้ เขาอาจต้องตกอันดับจากสิบสุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น พอเห็นปีศาจกฎฟ้ากำลังหัวเราะคิกคัก ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บ นางจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ งั้นหรือ? ยังมีจักรพรรดินีราตรีผู้จับตามองดูเขาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ประมุขนิกายพันปีศาจลอบหวั่นใจเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้
ยักษ์เงินขวงจั่นเป็นน้องชายของถูเฉิง พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เขาก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวก่อนที่จะลังเลในที่สุดแล้วตะโกนออกมาแทน
เขาต้องการช่วยพี่ชายของเขา เขาโกรธเย่ว์หยางที่ยังคลั่งอยู่ รังสีฆ่าฟันในดวงตาของเย่ว์หยางแผ่ออกมา “ฆ่ามัน, ใครก็ตามที่ต้องการฆ่าแม่สี่ มันต้องตาย!” เขาคลั่งอีกครั้งหนึ่ง ไฟอมฤตในมือของเขาลุกพรึ่บรุนแรงและวงแหวนที่ด้านหลังของเขาสองวงก็หมุนตามความต้องการของเขาทันทีและพุ่งตรงเข้าหาเจ้ายักษ์เงินขวงจั่น
“จะอยู่หรือตาย!” เจ้ายักษ์เงินขวงจั่นรู้ได้ทันทีเกรงว่าเขาจะไม่สามารถหลบการโจมตีของเย่ว์หยางได้ ดูเหมือนว่าเขาตกเป็นเป้าของวงจักรแล้ว เขาจำต้องเสี่ยงทุกอย่างที่มีชักดาบที่ด้านหลังของเขาฟันใส่วงจักรแสงที่วงจักรเวทใหญ่ยิงออกมา
วงจักรแสงที่ถูกยิงออกมาจากวงจักรใหญ่ผ่านร่างของเขาไปโดยไร้เสียงและพุ่งออกไปไกลร้อยเมตร ก่อนที่จะแตกกระจายเป็นอักขระโบราณนับไม่ถ้วนกลับเข้ามาในร่างของเย่ว์หยาง
ร่างของยักษ์เงินขวงจั่นถูกจักรแสงที่ยิงออกมาจากวงจักรเวทอักขระโบราณขาดเป็นสองท่อน ล้มลงพื้นเสียงดังสนั่น
ตายทันที
นักสู้ปราณก่อกำเนิดทุกคนสั่นสะท้านด้วยความกลัว
ชื่อของวงจักรอักขระโบราณที่ประมุขนิกายพันปีศาจพูดออกมาอย่างมั่นใจทำให้พวกเขาสั่นยิ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะประมุขนิกายพันปีศาจพูดออกมาว่า “วงจักรล้างโลก”
นอกจากนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 และเหนือกว่า ถึงจะพอจะหลบพ้นวงจักรล้างโลกได้ ส่วนคนอื่นๆ ต้องพบกับจุดจบเหมือนเจ้ายักษ์เงินขวงจั่น ถูกวงจักรล้างโลกตัดจนขาด.. วงจักรล้างโลกไม่ใช่อาวุธที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 หรือต่ำกว่าจะหยุดมันได้ แล้วนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่ง ใช้มันออกมาง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?
ไม่มีใครสามารถหาคำตอบนั้นได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธความจริง
ศพของยักษ์เงินขวงจั่นคือหลักฐานที่ดีที่สุด
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน!” เย่ว์หยางที่โกรธเกรี้ยวเหินขึ้นไปบนฟ้า วงจักรล้างโลกที่หายไปแล้ว ตอนนี้ได้ก่อรวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังขยายขนาดใหญ่กว่าเดิม และมีสายของเพลิงอมฤตอยู่ที่ขอบ ดูเหมือนว่าหลังจากใช้มันไปครั้งหนึ่งแล้ว เย่ว์หยางควบคุมมันได้ดีขึ้น นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่มุงดูอยู่ถึงกับเหงื่อตก มันไม่ใช่เด็กธรรมดาแล้ว เขายังใช้วงจักรนั้นได้อีกหรือนี่? นี่มันนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งจริงๆ หรือ? แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 5 ยังปล่อยวงจักรล้างโลกได้เพียงครั้งเดียว! ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเจ้าเด็กนี่แล้ว ทุกคนไม่เคยเห็นใครใช้วงจักรล้างโลกโดยไม่ได้รับความทรมานจากแรงสะท้อนหรือผลกระทบที่รุนแรง … ห้าร้อยปีที่แล้ว มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เป็นบ้าค้นคว้าอักขระโบราณได้สำเร็จ เขาแค่ใช้วงจักรล้างโลกไปเพียงครั้งเดียว ก่อนที่ร่างปราณก่อกำเนิดระดับ 6 ของเขาจะระเบิดจากผลสะท้อนของทักษะแบบนั้น ในที่สุดมีแต่หัวกระโหลกของเขาเท่านั้นที่เหลืออยู่
เจ้าเด็กนี่ใช้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยังไม่เป็นไร เขายังจะใช้มันเป็นครั้งที่สองอีกหรือนี่?
เห็นได้ชัดว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดทุกคนไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายสังหาร พวกเขารีบออกไปจากมิติประลอง ตอนนี้ถูเฉิงตายไปแล้ว ถ้าพวกเขาไม่ไปจากที่นี่โดยเร็ว คนต่อไปที่อาจต้องตายอาจเป็นพวกเขาก็ได้…
ใครกันที่อยากจะสู้กับเจ้าเด็กผิดปกติ บ้า คลุ้มคลั่งกันเล่า?
แม้แต่ประมุขนิกายพันปีศาจผู้มีความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดมองดูเย่ว์หยางอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะวาดวงเวทอักขระโบราณเปิดช่องมิติจากไปทันที
พอเห็นทุกคนจากไปและสูญเสียเป้าหมาย เย่ว์หยางก็สูญเสียสภาวะคลุ้มคลั่งทันที
ขณะที่เขารู้สึกหน้ามืดวงจักรอักขระโบราณและไฟอมฤตก็หายกลับเข้าไปในตัวของเย่ว์หยาง เย่ว์หยางไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ร่วงลงมาจากอากาศ ผู้เฒ่าไห่เสี่ยงเข้าไปรับเขาไว้ในอ้อมแขน ยังไงเด็กนี่ก็คือหลานชายของเขา ต่อให้เย่ว์หยางมีไฟอมฤตท่วมตัว เขาก็จะไม่ปล่อยเย่ว์หยาง จุนอู๋โหย่ว์ฮ่องเต้ยังคงปลื้มใจอยู่ พระองค์เป็นคนที่สองที่มาถึงข้างตัวเย่ว์หยางขณะที่พระองค์ยังปรบมืออย่างตื่นเต้นร่าเริง
“ท่านดีใจอะไรกัน? เจ้าเด็กนี่อวดพลังมากเกินไป บางทีคงไม่สามารถใช้พลังระดับปราณก่อกำเนิดได้อีกสามเดือน เป็นอย่างนั้นเขาคงลำบากแน่” นางเซียนหงส์ฟ้าลอยตัวมาใกล้เย่ว์หยางและก้มมองดูหน้าของเขา ดวงตาที่มีเสน่ห์ของนางจ้องมองเขา “เป็นอย่างไรบ้างที่รัก? รู้สึกปลอดโปร่งหลังจากปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดของเจ้าทั้งหมดหรือยัง? ร่างของเจ้าอาจเจ็บปวดเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเจ้ายังไม่สามารถใช้พลังปราณก่อกำเนิดได้อีกสามเดือน มิฉะนั้น ร่างที่อ่อนแอของเจ้าจะระเบิดได้!”
“เป็นความผิดของท่านคนเดียว!” เย่ว์หยางรู้สึกว่าร่างของเขาเจ็บปวดเหลือประมาณ ความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าได้ท่วมทับตัวของเขา ถ้าเขายังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ เขาคงตบนางเซียนหงส์ฟ้ากระเด็นไปแล้ว อย่างน้อย เขาจะจับหน้าอกนางให้ได้สักครั้ง และจะไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะยกมือขึ้นในตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
สององครักษ์พิทักษ์ฟ้าแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยผลัดกันปลอบใจเย่ว์หยางแทน “ไม่เป็นไรหรอก ตอนแรกร่างกายของเจ้าไม่เคยได้ใช้พลังปราณก่อกำเนิดของเจ้า ก็ต้องทรมานจากอาการเจ็บปวดอย่างนี้แหละ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งใช้พลังมากเกินไป นักสู้ปราณก่อกำเนิดธรรมดาอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูเป็นปี แต่เจ้าคงต้องใช้เวลาสักเดือนหนึ่ง แค่นั้นก็เร็วมากแล้ว ไม่ต้องกังวล จงพักฟื้นอย่างสงบเถอะ ใช้ช่วงเวลานี้ทำความเข้าใจสภาพของเจ้าในตอนนี้ นั่นน่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับเจ้า!”
“ข้าไม่มีเวลา ข้าต้องไปช่วยแม่สี่!” เย่ว์หยางกระหืดกระหอบ เขาต้องการช่วยแม่สี่ เขายังคงห่วงนาง
“ถ้าเจ้าช่วยข้า, ข้าจะรับพิจารณาส่งเจ้าไปเทือกเขาสุนัขโหย!” นางเซียนหงส์ฟ้าพูดไม่ทันจบก่อนที่เย่ว์หยางจะรวบรวมแรงทั้งหมดกระโดดออกจากอ้อมแขนผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และผลักนางลงกับพื้น มือของเขาจับอกที่ยังสั่นไหวของนางพลางตะโกนว่า “หยุดทำตัวเหลวไหลต่อหน้าข้าเสียที ข้าไม่ต้องการขุดคุ้ยคนแบบเจ้า”
นางเซียนหงส์ฟ้าคิดไม่ถึงเลยว่าเย่ว์หยางยังสามารถทำอะไรลามกอย่างนั้นได้ หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มาแล้ว
ทันทีที่นางชะงักค้าง นางก็ถูกเย่ว์หยางผลักล้มคงกับพื้นแล้ว
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และคนอื่นๆ ตกใจเมื่อพวกเขาเห็นแบบนี้ แต่เมื่อพวกเขาได้สติ พวกเขาก็ทำเป็นหันหน้าไปคุยกันเรื่องอื่นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางเดินออกไป จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ตรัสกับผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ว่า “วันนี้อากาศช่างดีเหลือเกิน!”
เฟิงขวงตอบ “ฝ่าบาท, วันนี้ฟ้าปลอดโปร่งจนเห็นได้ไกลเป็นพันกิโลเมตร ดวงตะวันก็สดใส อากาศอย่างนี้เหมาะที่จะไปตกปลาในทะเลนะพะย่ะค่ะ”
สำหรับผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ ท่านพยักหน้าเห็นดีด้วย “ข้ามีเรือสำราญเตรียมพร้อมไว้แล้ว”
สององครักษ์พิทักษ์ฟ้าและมหาอำมาตย์ก็เข้ามาสมทบด้วย “นานแล้วนะที่พวกเราไม่ได้ออกไปสังสรรด้วยกัน ผู้เฒ่ากระดูกผุเหล่านี้แทบจะถูกสนิมเกาะแล้ว
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้เปิดม้วนเทเลพอร์ตขณะที่พระองค์เชิญชวนคนอื่นๆ “งั้นพวกท่านยังจะรออะไรอีก? เฟิงขวง ไปเตรียมเครื่องดื่ม!”
พวกเขาทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่เพียงเย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าที่ยังอยู่ใต้ตัวของเขา ขณะที่พวกเขาจ้องหน้าโดยไม่พูดอะไร เหล่าผู้อาวุโสเริ่มเดินออกไปแล้ว และทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไร มือซุกซนของเย่ว์หยางยังกดอยู่ที่เนินอกของนางเซียนหงส์ฟ้า เมื่อคนทั้งสองได้สติ เย่ว์หยางรีบดึงมือตนออก เขาพบว่าเขาคว้าเข้าเต็มมือแล้ว หน้าอกขาวราวหิมะของนางเซียนหงส์ฟ้าเป็นรอยแดงเพราะแรงของเขา
“เมื่อเริ่มแล้วก็ต้องสานต่อให้จบ” เย่ว์หยางรู้สึกว่ากายของนางเซียนหงส์ฟ้านุ่มนิ่ม หัวใจของเขาเต้นแรงและเขาตัดสินในใจว่าเขาอาจจะปล้ำสาวดุนางนี้ให้ได้
“ดะ..เดี๋ยวก่อน เจ้าจะทำอะไร?” นางเซียนหงส์ฟ้าลนลานเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นเย่ว์หยางฉีกเสื้อผ้านาง นางร้องออกมาอย่างประหลาดใจทันที
“ข้าจะทำอะไรน่ะหรือ? ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรล่ะ?” เย่ว์หยางคิดว่านางพูดไร้สาระ พวกเขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมนางถึงต้องแกล้งทำแบบนี้ด้วย? ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม นางคงไม่สูญเสียอะไรอีกแล้ว ถ้าพวกเขาจะมีอะไรกันอีก
“ข้าน่ะ ไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่เจ้าไม่ต้องไปช่วยแม่สี่ของเจ้าแล้วหรือ?” นางเซียนหงส์ฟ้าทำเหลือกตา เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนี้ เขารีบดึงกางเกงและโดดขึ้นยืนทันที คำรามอย่างโกรธเคืองว่า “ไป ข้าละเกลียดผู้หญิงเจ้าเล่ห์และเจ้าเสน่ห์อย่างเจ้าจริงๆ เจ้าปล่อยให้ข้าค้างอีกแล้ว ครั้งต่อไปเมื่อท่านพบข้า ก็ปล่อยข้าเลยนะ มิฉะนั้น ข้าจะปล้ำเจ้าทันทีที่เห็น”
เย่ว์หยางดุใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่เขารู้สึกผิดที่ลืมแม่สี่ และอดงงงวยไม่ได้กับความหื่นของตนเอง
เขารีบเปิดม้วนเทเลพอร์ตและเรียกประตูเทเลพอร์ตออกมา และเข้าไปยังแนวเขาสุนัขโหยโดยตรง
******************