===============
ห้องโถงใหญ่ด้านนอก
เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงเดินออกมาพร้อมกับเย่คง, เจ้าอ้วนไห่, และพี่น้องตระกูลหลี่เข้าไปที่ห้องโถง ตามปกติพวกเขาเป็นรุ่นผู้เยาว์ ไม่มีคุณสมบัตินั่งร่วมสนทนากับญาติรุ่นอาวุโส อย่างไรก็ตาม หัวหน้าครอบครัวของอี้หนานประกาศว่าเขาต้องการพบเย่ว์หยางและปฏิเสธที่จะปล่อยให้เขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เย่ว์หยางเหงื่อตกเมื่อเขาเห็นว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเย่ว์หวี่ก็อยู่ที่นั่นด้วย กับแม่เสือสาว องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอยู่ที่นี่ด้วย ทำให้เขาไม่สะดวกที่จะพูดคำบางคำ
ดูเหมือนว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต้องอยู่เบื้องหลังในการทำลายและสร้างความเสียหายทำให้เย่ว์หยางต้องทำตัวเองเหมือนคนโง่
แม่เสือนี่คงจะไม่ทำจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้ไล่นางออกจากห้องก่อนหน้านั้น
เย่ว์หยางมีความคิดแว่บขึ้นมาเกี่ยวกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนคิดหาวิธีที่จะปล้ำนางให้ได้ แน่นอนว่าภายนอกเขาแสดงตัวออกมาว่าเป็นเด็กดีซื่อสัตย์ ถือมั่น
แม่สี่กำลังคุยกับสตรีงามนางหนึ่งมีผ้าคลุมหน้านางไว้ เย่ว์หยางได้ยินได้ดีขึ้น เขาสามารถได้ยินเรื่องที่สตรีทั้งสองคุยกัน แต่เขาไม่รู้สึกว่าพวกนางหมายถึงอะไร พวกนางใช้ภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เด็กหญิงกำลังกินขนมบางอย่างอยู่บนตักแม่สี่ ปากน้อยๆ ของเธอเปื้อนขนมที่กำลังกิน เมื่อเธอเห็นเย่ว์หยาง เธอรีบโดดลงมาทันทีและโผเข้าหาอ้อมแขนเย่ว์หยาง
เธอป้อนขนมสีน้ำตาลอ่อนที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งใส่ปากของพี่ชายเธอ
ในฐานะพี่สาว เย่ว์ปิงแบมือขึ้นทำท่าเหมือนว่าให้มอบให้นางแทน
ไม่รอให้เย่ว์ปิงได้ทำอะไรต่อ เธอชักมือกลับไปอีกแบบเอาแต่ใจตัวเอง เธอหลบเลี่ยงพี่สาวเต็มที่ ยืนกรานไม่ยอมให้ขนมที่เหลือแก่พี่สาว
เย่ว์ปิงจ้องมองเธออย่างหงุดหงิด ยื่นมือออกไปบีบจมูกของเด็กหญิง เธอหัวเราะร่วนขณะพยายามหลบหลีก เสียงหัวเราะของเธอดังเหมือนระฆัง ต่อนั้นเธอก็ซอยขาวิ่งหนีทันที… พี่สาวน้องสาววิ่งไล่จับกันรอบบ้าน ภาพนี้ทำให้เย่ว์หยางลอบถอนหายใจ บ้านที่อบอุ่นหลังนี้ก็ฟื้นคืนชีวิตชีวาและมีความสุขเหมือนเมื่อก่อนได้ในที่สุด
ภายในบ้าน นอกจากองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เย่ว์หวี่ญาติผู้พี่ของเขา, แม่สี่และผู้หญิงมีผ้าคลุมหน้าแล้ว ยังมีอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, และครูตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเว่ยเลี่ย
เจ้าอ้วนไห่ที่ตอนแรกทำอวดดี
แต่เมื่อเห็นครูตาเหยี่ยวแล้ว เขาก็หัวหดเป็นเต่าทันที เขาเกือบจะทำหัวย่นเข้าไปในคอเสียแล้ว ดูเหมือนว่าภายใต้บทฝึกที่โหดของครูตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเว่ยเลี่ย เจ้าอ้วนไห่คงได้รับความขมขื่นใจ เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่รีบคำนับแสดงมารยาทต่ออาจารย์จิ้งจอกเฒ่า รองผู้อำนวยการและครูของเขา เสี่ยโหวเว่ยเลี่ยและทำตัวเป็นนักเรียนที่เชื่อฟังว่าง่าย พวกเขาเริ่มทักทายแม่สี่และสตรีอีกนางหนึ่งก่อนที่จะนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เย่ว์หยางรู้มาก่อนแล้วว่าเขาไม่อาจหวังความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ แต่หนทางที่เขาเห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณค่าของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าคนที่ล้อมวงมุงดูเหตุการณ์เท่านั้น
แม่สี่เห็นว่าเย่ว์หยางเข้ามาแล้ว นางกวักมือเรียกเย่ว์หยางทันที ชี้ให้เขามาตรงนั้น นางแนะนำเขาว่า “ซานเอ๋อ! นี่คือป้าของพี่(ชาย)อี้หนานของเจ้า ความจริงอี้หนานเป็นเด็กผู้หญิง เจ้าเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านมานานจนจำแนกไม่ออกเลยนะว่าผู้หญิง ผู้ชายต่างกัน ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าจะกลายเป็นตัวตลกจริงๆ”
“ข้ามักคิดอยู่เรื่อยว่าอี้หนานเป็นคนแปลกอยู่บ้าง เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิงสวย? ยกตัวอย่างเช่นต้าไห่ จะน้ำลายยืดทันทีที่เห็นผู้หญิงสวย กลับกลายเป็นว่าอี้หนานเป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วย!” เย่ว์หยางรู้ว่าไม่ควรแกล้งตกใจจนเกินเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเย่ว์ปิงเพิ่งบอกเขามาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าเขายังแกล้งประหลาดและตกใจอยู่อีก นั่นจะดูเสแสร้งเกินไป ตอนนี้ จะเป็นการดีที่สุด ถ้าเขาทำเป็นโง่ แต่ไม่โง่ถึงขนาดเด็กปัญญาอ่อน เขาเพียงจำเป็นต้องแกล้งโง่ เพื่อที่ว่าแม่สี่จะได้มีทางออกในสถานการณ์ที่น่าอายนี้
“เจ้าพูดอย่างนั้นได้อย่างไร? รีบมาคารวะป้าของอี้หนานซะ!” แม่สี่ดุเย่ว์หยางทันที เขาควรจะแสดงความเคารพผู้อาวุโสของเขาเมื่อเห็นพวกท่าน เขาจะทำก้าวร้าวเกินไปได้อย่างไร?
“ได้ขอรับ, ท่านป้าของอี้หนาน! โปรดรับน้ำชาคารวะนี้!” ทักษะแสดงตัวเป็นเด็กดีของเย่ว์หยางยังคงใช้งานได้ดี ขณะที่เขาประคองถ้วยชาส่งให้สตรีที่คลุมหน้า เขารินชาอีกถ้วยหนึ่งประคองส่งให้แม่สี่
แม่สี่รู้ว่าปกติเจ้าเด็กนี่ไม่ค่อยสุภาพ นางเองยังประหลาดใจจริงๆที่เขาสุภาพมากต่อหน้าคนแปลกหน้า
ขณะที่นางแอบยิ้ม นางรีบรับถ้วยชาจากเขาและสั่งให้เขารินชาให้อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและครูตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเวี่ยเลี่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ากลายเป็นวางมาดเข้มทันทีรับน้ำชามาอย่างเงียบสบายๆ
ขณะที่เสี่ยโหวเว่ยเลี่ยดูเหมือนว่าเขารู้ว่าเย่ว์หยางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แม้ว่าเย่ว์หยางยังคงเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการก็ตาม เขารีบยืนขึ้นรับน้ำชาที่เย่ว์หยางประคองให้ แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่ก็มีความภูมิใจอยู่ในตาเหยี่ยวของเขา
นักสู้ปราณก่อกำเนิดคาราวะน้ำชาเขาโดยเจาะจง นี่คือสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น
ถ้าเป็นคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่ยอมปฏิบัติอย่างนั้น
เมื่อเย่ว์หยางกลับมานั่งข้างๆ แม่สี่แล้ว ป้าของอี้หนานจึงเริ่มพูด นางได้ประเมินเย่ว์หยางและพอใจยิ่งขึ้นจากที่เห็น แม้ว่านางจะไม่แสดงออกมาในภายนอก แต่นางรู้สึกว่าอี้หนานตาถึงจริงๆ
“แม่สี่ของเจ้า, แม่ผู้ให้กำเนิดเจ้าและตัวข้า พวกเราทุกคนเกิดในหุบเขาภมรร้อยบุปผา แม้ว่าพวกเราจะมาจากต่างตระกูลกัน แต่เราก็ยังเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เมื่อว่าถึงอายุ ข้าแก่กว่าแม่สี่ของเจ้าเล็กน้อย ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าป้ารองก็ได้หรือจะเรียกว่าป้าเฉยๆ เหมือนอี้หนานก็ได้ อี้หนานเองก็ยังนับได้ว่าเป็นญาติห่างๆ ของเจ้า” เย่ว์หยางก็รู้ได้ทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของป้าของอี้หนาน อย่างนั้นก็กลายเป็นว่าแม่สี่ยังคงเป็นคนจากหุบเขาภมรร้อยบุปผา มิน่าเล่านางถึงใช้ภาษาอื่นคุยกับป้าของอี้หนาน
ภาษาที่พวกนางเพิ่งพูดไปนั้น สำเนียงไม่เหมือนกับภาษาทวีปมังกรทะยาน
เย่ว์หยางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ดูเหมือนว่าแม่สี่และมารดาของสหายผู้น่าสงสารลึกลับจริงๆ มิฉะนั้น นิกายพันปีศาจคงไม่ลักพาตัวแม่สี่ไปโดยไม่มีเหตุผลเพื่อใช้เปิดสิ่งที่เรียกว่าบันไดสวรรค์
บันไดสวรรค์เป็นที่แบบไหนกันแน่?
เป็นไปได้ไหมว่าเหมือนกับหอทงเทียนอีกแห่งหนึ่ง? หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นมิติที่ต่างออกไปเหมือนแดนปีศาจ?
เย่ว์หยางรู้สึกว่าทวีปมังกรทะยานดูเหมือนปกติและธรรมดาแต่เพียงภายนอก แต่ความจริงกลับซ่อนความลับและเรื่องลึกลับไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดอยู่หลายคน แต่ทำไมพวกเขาไม่ตั้งใจฝึกคนรุ่นหลังในทวีปมังกรทะยานล่ะ? ทำไมพวกเขาไม่พาตัวผู้เยาว์รุ่นหลังผู้มีพรสวรรค์ไปเข้าหอทงเทียนและฝึกปรือพวกเขาที่นั่น? ในทางตรงกันข้าม พวกเขายังนำสัตว์อสูรไปจากหอทงเทียนและใช้พวกมันสอนผู้เยาว์รุ่นหลัง
อีกตัวอย่างก็คือ แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ, บันไดสวรรค์, วังปีศาจในเขาทลายจองจำ, นิกายพันปีศาจ, นิกายใหญ่ทั้งสี่และอื่นๆ พวกเขาคือความลึกลับในความลึกลับ
ตอนนี้ ไม่เหมือนกับว่าหุบเขาภมรร้อยบุปผาจะเป็นที่เรียบง่าย
นั่นเป็นเพราะเย่ว์หยางตระหนักว่าเขาไม่สามารถเห็นความคิดของป้าของอี้หนานด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 3 ของเขา สตรีคลุมหน้านี้มีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ยังมีเจ้าหุบเขาภมรร้อยบุปผาที่อยู่เหนือนาง มันไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายเสียแล้ว
ขณะที่มารดาของสหายผู้น่าสงสาร ไม่มีผู้ใดพูดถึงนางมาก่อน เย่ว์หยางรู้สึกว่านางต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแน่นอน
“เราไม่แข็งแกร่งพอเมื่อก่อนหน้าไม่นานนี้ เราทรุดโทรมลงแล้ว แม่เจ้าตายเร็วเกินไป ตระกูลร้อยบุปผาจะตกทอดทักษะให้กับคนๆ เดียว อย่างไรก็ตามตอนนี้ มีผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเรียนรู้ทักษะพวกเขาแล้ว เพราะเราได้พบแม่สี่ของเจ้า ตัวเจ้าและน้องสาวของเจ้า อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพบกันที่ฟ้าบันดาลจริงๆ ขณะที่ตระกูลภมร แม้ว่าเราจะไม่มีกฎเคร่งครัดเหมือนกับตระกูลร้อยบุปผา เพียงแต่ตกทอดทักษะไปที่คนสายเลือดเดียวกัน เรายังขาดผู้สืบทอดที่จะรับทักษะของเรา โลกตกอยู่ในความวุ่นวายเมื่อไม่กี่ปีมานี้ อาณาจักรของเราถูกขยี้โดยวังปีศาจและนิกายพันปีศาจร่วมกันโจมตีเรา หุบเขาร้อยบุปผาถูกศัตรูอื่นบุกโจมตีหลายครั้งแล้ว ทั้งเผาทำลาย เราแทบจะสูญเสียที่ของตนเอง นั่นคือสาเหตุให้อี้หนานปกปิดสถานะตนเองและแกล้งทำตัวเป็นพวกขโมย นางได้รู้จักกับเจ้าและได้ร่วมเดินทางกับเจ้า เป็นพรหมลิขิตจริงๆ…” หัวใจเย่ว์หยางสั่นสะท้าน เมื่อเขาได้ฟังคำของป้าของอี้หนาน
ในที่สุดก็มีคนพูดถึงข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับมารดาของสหายผู้น่าสงสาร พอได้ยินคำพูดของป้าของอี้หนาน มารดาของสหายผู้น่าสงสารดูเหมือนจะเป็นทายาทผู้รับสืบทอดตระกูลร้อยบุปผา?
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางแปลกใจก็คือว่าหุบเขาภมรร้อยบุปผาความจริงเคยเป็นอาณาจักรปกครองมาก่อน
พวกเขาถูกทำลายโดยวังปีศาจและนิกายพันปีศาจร่วมมือกันโจมตี นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เสียแล้ว วังปีศาจและนิกายพันปีศาจทั้งสองนี้เป็นองค์กรลับที่ทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวังปีศาจ แม้แต่ต้าเซี่ย, เทียนหลัวและสือจิน สามอาณาจักรใหญ่ก็ยังไม่กล้าดูถูกพวกมัน หุบเขาภมรร้อยบุปผาสามารถต้านทานการโจมตีของวังปีศาจและนิกายพันปีศาจได้พร้อมกัน น่าจะแข็งแกร่งมากจริงๆ
“ก่อนนี้อาณาจักรของท่านเรียกว่าอะไร?” เย่ว์หยางสงสัยจริงๆ ทุกๆ ร้อยปีหรือมากกว่านั้นมีอาณาจักรเล็กไม่กี่อาณาจักรในทวีปมังกรทะยานถูกทำลาย แต่เขาไม่มีความคิดเลยว่าอาณาจักรเหล่านี้เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งพอจะต่อต้านวังปีศาจและนิกายพันปีศาจพร้อมกันได้
“อาณาจักรของเราเดิมทีเรียกกันว่า อาณาจักรล่มสลาย ชาวโลกภายนอกมักเรียกเราว่า “กวงหมิง” หรือ อาณาจักรหมิง” ป้าของอี้หนานดูเหมือนไม่เต็มใจจะคุยถึงมันมากเกินไปขณะที่นางอธิบายให้เย่ว์หยางฟังอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อะไรนะ?” เย่ว์หยางแทบกระโดดเพราะความตกใจ
อาณาจักรกวงหมิง หรือ หมิงนี้ เย่ว์หยางเคยได้ยินเรื่องราวของพวกเขามาก่อน
เดิมทีอาณาจักรหมิงเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ในระดับห้าสุดยอดของอาณาจักรในทวีปมังกรทะยาน แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่าอาณาจักรนี้ไม่ชอบการต่อสู้และสงคราม ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่เพียงสตรีเท่านั้นที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ปกครองอาณาจักร อาณาจักรหมิง ยินดีจ่ายสมบัติก้อนโตแก่อาณาจักรรอบด้านไม่ให้ก่อสงคราม แม้แต่อาณาจักรเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็พลอยเรียกร้องส่วยสันติภาพของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ อาณาจักรกวงหมิงเป็นเพียงอาณาจักรเดียวที่ไม่รุกรานอาณาจักรไหนก่อน
เมื่ออาณาจักรอื่นรุกรานพวกเขา พวกเขาจะส่งนักสู้ออกไปหยุดยั้งการรุกรานและแนะนำให้ผู้รุกรานถอนกำลัง และเสนอทรัพย์ก้อนใหญ่ให้แทน
ถ้ามีเจ้าเมืองก่อการกบฏหรือถูกศัตรูรุกรานอาณาจักรหมิงกวง อาณาจักรหมิงก็ยังเป็นอาณาจักรเดียวที่เอาใจประชาชนของพวกเขา ยอมให้พวกเขาและเจ้าเมืองของพวกเขาใช้ชีวิตในอาณาจักรใหม่ พวกเขายังจะมอบทรัพย์จำนวนมหาศาลเพื่อไถ่ตัวประชาชนผู้ยินดีจะเป็นพลเมืองอาณาจักรหมิงกวงต่อไป
ถ้ามีอาณาจักรหนึ่งในโลกนี้เป็นต้นแบบในการแสดงความเห็นอกเห็นใจอาณาจักรอื่นให้เป็นแบบอย่างปฏิบัติตาม ก็เห็นจะเป็นอาณาจักรหมิงที่ปกครองโดยสตรีนี้
สำหรับประชาชนทั่วไป ถือเป็นอาณาจักรอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักรบแล้ว อาณาจักรแบบนี้ถือว่าตกต่ำมาก เพราะไม่มีความหวังในการรบเลย พวกเขาเอาแต่ยอมรับการถูกทำร้ายโดยไม่มีการโต้ตอบเลย นี่จะนับว่าเป็นอาณาจักรได้อย่างไร?
ธรรมดาว่าอาณาจักรที่ขลาดเขลาก็ควรถูกทำลายอย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงกันข้าม ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหมิงสืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี นอกจากอาณาจักรต้าเซี่ย, เทียนหลัวและสือจิน ที่เป็นสามมหาอาณาจักรแล้ว อาณาจักรหมิงเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น นักสู้นับจำนวนไม่ถ้วนล้วนมาจากอาณาจักรหมิง แม้ว่ารวมนักสู้ดั้งเดิมจากอาณาจักรต้าเซี่ย, เทียนหลัวและสือจินเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่มากเท่าของอาณาจักรหมิง…. อาณาจักรหมิงนี้ถึงจะมีดินแดนลดลงแต่จำนวนนักสู้กลับเพิ่มขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องตลกในสายตาคนภายนอก แม้ว่าจะมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดอยู่มากในอาณาจักรหมิง พวกเขาถูกรุกรานโดยอาณาจักรที่ไม่มีนักสู้ปราณก่อกำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากถูกรุกรานแล้ว พวกเขา กลับไม่ยอมตอบโต้ ไม่มีผู้ใดรู้เหตุผลที่อาณาจักหมิงนี้มักจะมีนักสู้อยู่ในสิบสุดยอดทำเนียบนักสู้ของทวีปมังกรทะยานมานานหลายร้อยปี อาณาจักรที่มีทั้งความแข็งแกร่งและดินแดนปกครองจะล่มสลายภายในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าเมืองต่างๆ และขุนนางก่อกบฏต่อพวกเขา และในที่สุด อาณาจักรหมิงก็กลายเป็นอาณาจักรเล็ก มีเพียงเมืองหลวงที่เจริญที่สุดเหลือไว้ในฐานะดินแดนของตน
15 ปีที่ผ่านมา เมืองหลวงของอาณาจักรหมิงถูกจู่โจมโดยทหารต่างประเทศและถึงกาลอวสาน
ราชวงศ์ของอาณาจักรหมิงไม่ได้ขอความคุ้มครองจากสามอาณาจักรใหญ่ และพวกเขาไม่มีความคิดตอบโต้ใดๆ พวกเขาเพียงนำนักสู้ปราณก่อกำเนิดไปกับพวกเขาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เย่ว์หยางเคยอ่านประวัติศาสตร์นี้มาก่อน และรู้สึกว่าอาณาจักรหมิงแปลกมาก พวกเขาอัธยาศัยดีเกินไป ยอมถูกรุกรานโดยไม่โจมตีโต้ตอบได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออาณาจักรเป็นอย่างนั้น พวกเขาดำรงคงอยู่มานานได้อย่างไร?
อาณาจักรอย่างต้าเซี่ยหรือเทียนหลัว เพราะเรื่องเล็กน้อย แม้แต่จักรพรรดิเองจะยืนยันจัดการเองหมด องครักษ์พิทักษ์ฟ้าจะจัดการทำลายศัตรูของพวกเขา นักสู้ปราณก่อกำเนิดของอาณาจักรกลับตรงกันข้าม ไม่เคยพูดถึงการแก้แค้นหรือการโต้ตอบใดๆ อาจไปได้ไหมว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดเหล่านี้อ่อนปวกเปียกเหมือนเต้าหู้?
ถ้าคนอื่นๆ พูดว่าเป็นเพราะทางการของอาณาจักรหมิงไม่ดี แล้วพวกเขาอยู่มาได้อย่างไรเป็นพันปี?
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาจู่ๆ แตกแยกกันเอง อาณาจักรหมิงน่าจะยังคงอยู่ได้ น่าจะยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของอาณาจักรในทวีปมังกรทะยาน ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของประเทศต้องเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญที่สุด
เกิดอะไรขึ้นในร้อยปีที่ผ่านมา ถึงกับทำให้อาณาจักรหมิงล่มสลายได้?
15 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้อาณาจักรหมิงถูกทำลาย? เย่ว์หยางรู้สึกว่าต้องมีสักเหตุผลหนึ่ง เหตุผลนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขา, ไม่, ต้องเป็นสหายผู้น่าสงสาร นี่เป็นเพราะบิดามารดาของสหายผู้น่าสงสารที่ตายไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
เป็นไปได้ไหมว่า ฐานะของสหายผู้น่าสงสารจะเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ทำให้อาณาจักรหมิงล่มสลาย?
เย่ว์หยางยังคงจำได้ถึงสิ่งที่บิดามารดาของสหายผู้น่าสงสารได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัว ความลับต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ต้องมีข้อมูลบันทึกไว้ในนั้น เขาอาจสามารถไล่ล่าหาความจริงและพบความลึกลับเบื้องหลังชีวิตของสหายผู้น่าสงสารได้ สถานะที่แท้จริงของสหายผู้น่าสงสารเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของอาณาจักรหมิงหรือไม่?
เมื่อเขาคิดเรื่องนี้แล้ว เย่ว์หยางต้องการจะอ่านบันทึกนั้นอีกทันที….
************