===============
“ทำไมอาณาจักรหมิงถึงไม่ยอมโต้ตอบในสงคราม? ข้าหมายความว่า.. ถ้าพวกเขาเกรงว่าพลเมืองจะได้รับการบาดเจ็บล้มตาย พวกเขาสามารถจ้างนักรบรับจ้างก็ได้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ต่อต้านอะไรเลยไม่ใช่หรือ?” เย่ว์หยางต้องการถามสิ่งที่ป้าของอี้หนานคิด
“ไม่ว่าเป็นเรื่องใด ก็เป็นราชินีหรือไม่ก็เจ้าหุบเขาตัดสิน ทั้งสองท่านนั้นใจกว้างและใจดี พวกเขาไม่ชอบสงครามการสู้รบ ในจิตใจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวนาหรือทหารรับจ้าง พวกเขาทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจถึงความรักและความใส่ใจต่อชีวิต ในหัวใจของพวกเขา ชีวิตของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา ในฐานะที่เป็นประเทศของพวกเขา ศักดิ์ศรีและทอง ของเหล่านี้ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งสำคัญ เราตระกูลภมรร้อยบุปผาไม่ได้สร้างประเทศเพื่อศักดิ์ศรี จะเป็นการดีกว่าที่จะรักษามรดกของตระกูลให้ตกทอดไปที่คนรุ่นหลัง เนื่องจากรุ่นทั้งสองจะถูกทำลาย ประเทศไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เราจะปล่อยให้มันล่มสลายไปหรือปล่อยให้คนอื่นรุกราน เนื่องจากเราไม่สามารถจัดการมันได้ ดังนั้นเราจะยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปด้วยเช่นกัน ถ้าไม่มีผู้คน อย่างนั้นเราจะต้องการดินแดนมากขนาดนั้นไปทำไม?” คำตอบจากป้าของอี้หนานทำให้เย่ว์หยางอึ้ง
เย่ว์หยางไม่มีทางยอมรับสิ่งที่ป้าของอี้หนานพูดนี้แน่นอน
ถ้าเป็นคนอื่น เย่ว์หยางอาจจะคิดว่าคนอื่นนั้นเป็นพวกปากว่าตาขยิบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อป้าของอี้หนานผู้คุ้นเคยกับแม่สี่ที่นั่งอยู่ข้างนางกล่าวอย่างนี้ ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่านี่ค่อยดูมีเหตุผลมาก ถ้าเป็นคนอย่างแม่สี่ผู้ใส่ใจความสัมพันธ์ที่ล้ำลึก เขาเชื่อว่านางก็จะบริหารประเทศในลักษณะเดียวกัน นี่เป็นเพราะคนอย่างแม่สี่มีนิสัยที่โอบอ้อมอารีย์ไม่ต้องการต่อสู้กับทุกคน พวกเขายอมสละตนเองได้ จึงเป็นเรื่องแปลกหากพวกเขาจะลุกขึ้นต่อต้าน
ความจริงเย่ว์หยางต้องการสอบถามเกี่ยวกับสถานะทางสายเลือดของมารดาของสหายผู้น่าสงสาร แต่เขายังเกรงว่าสหายผู้น่าสงสารจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว เขารู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, เสี่ยโหวเว่ยเลี่ย, เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ แม้ว่าเขาถามไป ก็อาจไม่สะดวกกับการได้รับคำตอบ
“เพราะอย่างนั้น ถ้าท่านป้าต้องการให้พวกเราเด็กรุ่นหลังเป็นผู้สานต่อหรือทำอะไรก็ตาม ท่านป้าบอกพวกเราได้” แน่นอนว่า เย่ว์หยางทำตัวเป็นเด็กดี พยายามอย่างดีที่สุดที่จะสร้างความประทับใจต่อหน้าป้าของอี้หนาน เห็นได้ชัดว่าป้าของอี้หนานใส่ใจถึงอนาคตของอี้หนาน มิฉะนั้น นางคงจะไม่มาที่นี่ด้วยตนเองหรือแม้แต่จะยอมรอให้เย่ว์หยางฟื้นขึ้นมา ก่อนจะถามปัญหากับเขา
“พวกเจ้าทุกคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ลืมฝึกฝนอบรมตนเอง ก็นับว่าดีแล้ว พวกเจ้าจะได้ไม่มีเรื่องกวนใจ” ป้าของอี้หนานหัวเราะ “ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อไล่ให้เจ้าไปทำงาน ข้าแค่ได้ยินว่าอี้หนานให้สร้อยคอนางกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องการพบเจ้า”
“อ่า… ตอนนั้น ข้าไม่รู้ว่านางเป็น… ตอนนั้น… นางบอกว่านางจะแนะนำน้องสาวของนางให้รู้จักข้า อี้หนานมีน้องสาวหรือเปล่า?” เย่ว์หยางถามขณะที่ทำเป็นเหมือนว่าไม่รู้อะไร
“ไม่มีหรอก, นางเป็นลูกเพียงคนเดียว มันไม่ง่ายสำหรับเราที่จะปกป้องนางเช่นกัน นางขี้อายและไม่กล้าบอกความจริงต่อหน้าเจ้า คนรุ่นใหม่ของตระกูลภมรและร้อยบุปผาค่อยๆ หมดไปแล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้าพบว่าอาเซียน (แม่สี่) เป็นลูกหลานของตระกูลร้อยบุปผา ตอนนี้เรามีลูกสาวที่เจริญเติบโตขึ้นมาถึงสองคน ข้าพอใจอย่างมาก ข้าไม่เคยคิดว่าตระกูลร้อยบุปผาจะมีลูกหลานเหลืออยู่ นับว่าเป็นการประทานจากสวรรค์โดยแท้ กุลบุตรอย่างเจ้าหาได้ยากมาก เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่มาจากทั้งสองตระกูลคือตระกูลภมร (หูเตี๋ย), และตระกูลร้อยบุปผา (ฮัว)ในรอบร้อยปีนี้” เย่ว์หยางถึงกับเหงื่อตกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของป้าของอี้หนาน เขาคิดว่า ทำไมตระกูลของพวกเขาถึงประสบภาวะมีบุตรยากนักเล่า? มิน่าเล่าพวกเขาถึงไม่ต้องการประเทศของตัวเองอีกต่อไป พวกเขาไม่มีทายาทที่เป็นบุรุษไว้สืบสายเลือดนี่เอง
แต่พวกเขาเลือกสตรีเป็นผู้ปกครอง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะมีทายาทบุรุษหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่น่ามีผลกับพวกเขามากใช่ไหม?
ความคิดขอเย่ว์หยางเตลิดไปไกล แต่เขาก็ยังไม่อาจเข้าใจได้
ป้าของอี้หนานไม่ได้กำหนดว่านางอยากให้เย่ว์หยางและอี้หนานทำอะไร นางแค่ต้องการให้เย่ว์หยางสละเวลาไปเยี่ยมหุบเขาภมรร้อยบุปผาเพื่อพบกับเจ้าหุบเขาและจะดีกว่าถ้าพวกเขาสามารถพาแม่สี่, เย่ว์ปิงและเย่ว์ซวงไปด้วย
จากนั้นนางสนทนากับแม่สี่อีกนานด้วยภาษาที่เย่ว์หยางไม่สามารถเข้าใจได้ บางครั้งก็มองเย่ว์หยาง เหมือนกับว่าหัวข้อสนทนามีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา
ใครบางคนเดินสาวเท้ายาวๆ มาจากลานนอกบ้าน เสียงดังก้องราวกับสายฟ้าก่อนที่คนจะเดินเข้าไป “เมืองไป๋ฉือที่ทรุดโทรมนี่แย่ยิ่งกว่าบ้านบ่าวทาสข้าเสียอีก ไม่มีที่ดีๆ สักแห่งให้ดูให้ชมเลย ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว! ขอถามหน่อยคุณนายสี่! เสี่ยวซานของท่านยังหลับอยู่หรือเปล่า? ขนาดหมูยังไม่นอนนานขนาดนี้! เขาคงจะรู้ว่าข้ามา นั่นคือสาเหตุที่เขาซ่อนตัวและปฏิเสธที่จะพบข้าใช่ไหม? นี่ไม่ใช่แนวทางของวีรบุรุษผู้กล้าแน่นอน ข้าเกลียดคนขี้ขลาดไร้ยางอายแบบนี้มากที่สุด…”
ด้านนอกประตู บุรุษผู้ดูห้าวหาญเหมือนเตียวหุยก้าวเข้ามาข้างใน เขามีร่างใหญ่สูงราวๆ 2 เมตร การเดินของเขาหนักแน่นทรงพลัง
เมื่อเขาเข้ามาข้างใน ศีรษะเขาชนกับขอบประตู
เสียงดังโป๊ก สั่นสะเทือนไปหมด
เขาเกือบจะพังประตูทั้งหมดแล้ว แต่กลับลูบหน้าผากของเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินเข้ามาพลางบ่นพึมพัมเรื่องประตูบ้านตระกูลเย่ว์เล็กเกินไป แทนที่จะโทษตัวเองว่าระมัดระวังไม่พอยามที่เดินเข้ามา “ข้าว่านะ, คุณนายสี่! บ้านของเจ้าออกแบบมาไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อเจ้าสร้างบ้านหลังนี้ ทำไมไม่สร้างประตูให้มันดีกว่านี้? มิฉะนั้นแขกเหรื่อไปมาจะเข้าบ้านเจ้าได้อย่างไร?”
เย่ว์หยางหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินคำนี้ “เป็นเพราะครอบครัวเราไม่ค่อยมีอำนาจ ถ้าเราเกิดในราชตระกูล แขกเหรื่อจะต้องค้อมหัวต้องก้มหัวเข้ามาในห้อง ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นปัญหาแม้ว่าประตูจะเล็กไปบ้าง
เมื่อบุรุษที่ดูเหมือนเตียวหุยได้ยินเช่นนี้ เขารีบสั่นศีรษะสั่งสอนเย่ว์หยางทันที “เด็กน้อย! เจ้าจะเข้าใจอะไร? มีหมัดที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีสถานะเชื้อพระวงศ์จะทำอะไรได้? ถ้าเจ้าต้องการให้คนอื่นกลัวเจ้า เจ้าต้องกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ถ้าหมัดของเจ้าแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ทุกคนก็จะกลัวเจ้าและก้มศีรษะให้เจ้า ตรรกะแบบนี้ อย่าว่าแต่เชื้อพระวงศ์เลย แม้แต่จักรพรรดิเองก็ต้องประยุกต์ใช้เหตุผลเดียวกันนี้ จุนอู๋โหย่วเป็นฮ่องเต้ของเจ้าไม่ใช่หรือ? เขาเป็นหนึ่งในฮ่องเต้ของสามอาณาจักรใหญ่ปกครองประเทศ ฟังดูแล้วมันเท่ห์ขนาดไหนล่ะ? เป็นเพราะหมัดข้าแข็งกว่าเขา ถ้าเขาไม่เรียกข้าว่าพี่ ข้าจะอัดเขาให้เละ เจ้าเข้าใจตรรกะของข้าไหม? ข้ากำลังบอกว่านั่นเป็นวิถีของโลก!”
“ฟังเค้าพูดสิ, พี่ไห่, เขาบอกว่าเขาไม่ได้แสดงอะไรให้เด็กรุ่นหลังดูตอนนี้หรือ? ดูเหมือนเขาเป็นพี่ใหญ่ไปแล้วนะตอนนี้ แม้ว่าเขาจะแก่เป็นอันดับสองในหมู่คนแก่สามพันปี แต่เขากลายเป็นพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เคยได้ยิน?” ที่หน้าประตู ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ย จุนอู๋โหย่ว, ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และบุรุษวัยกลางคนสองคนเดินเข้ามาขณะคุยกัน
เย่ว์หยางยังคงสังเกตได้ว่าบุรุษวัยกลางคนทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดา หนึ่งในพวกเขาเหมือนสิงโตที่ดุร้าย ขณะที่อีกคนหนึ่งเหมือนเสือดาวที่พรางตัวได้ดี
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักสองคนนี้ แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนนี้น่าจะไม่อ่อนด้อยกว่าอาจารย์ตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเว่ยเลี่ย
ถ้าพวกเขาเทียบกับนักสู้ในตระกูลเย่ว์ พวกเขาอาจจะด้อยกว่าเย่ว์ซานเล็กน้อย แต่น่าจะแข็งแกร่งกว่าลุงรองเย่ว์หลิ่งอยู่บ้าง… ตอนนี้เย่ว์หยางคิดถึงการปรากฏตัวของรักษาการประมุขตระกูล เย่ว์ซานและท่าทีเขาอีกครั้ง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกเล็กน้อย.. เย่ว์ซานนี้ไม่น่าจะมีความแข็งแกร่งกว่านักสู้ระดับ 6 เย่ว์หยางไม่สามารถเห็นเขาโดยตรงในตอนนั้น ตอนนี้พอมาคิดเรื่องนั้นอีก มีบางอย่างที่แปลกเกี่ยวกับเย่ว์ซาน
ถ้ามีโอกาส เขาจะต้องตรวจสอบเย่ว์ซานโดยตรงแน่ เขาให้ความรู้สึกที่ไม่ดีกับเย่ว์หยาง สำหรับเย่ว์หลิ่งไม่น่ามีอะไร เป็นผู้อาวุโสที่ควรละเว้นโดยตรงได้
พอเห็นผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้เข้ามาในบ้าน แม่สี่รีบยืนขึ้นโค้งคารวะ
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้โบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณว่าไม่จำเป็นต้องมากพิธี จากนั้นพระองค์เดินไปข้างหน้าและนั่งหน้าโต๊ะของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ อย่างไรก็ตาม เขาเพียงแต่ผงกศีรษะ แต่ยังคงวางตัวสูงส่งแม้จะอยู่เบื้องหน้าจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่พยักหน้าให้แม่สี่เป็นเชิงอนุญาตให้นางลุกขึ้นจัดที่ให้แบบทางการให้เย่ว์หยาง ท่านแสดงสีหน้าขอบคุณแทน
เขาแตะไหล่เย่ว์หยาง และพูดอย่างหนักแน่นว่า “เจ้าหลานตัวดี!”
ดูเหมือนเขาจะแสดงออกว่าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ขณะเขาแตะไหล่ของเย่ว์หยางอีกครั้ง จากนั้นหันไปนั่งลงที่ด้านตรงข้ามจุนอู๋โหย่ว ในทางตรงกันข้ามวีรบุรุษที่ดูเหมือนเตียวหุยยังพูดสอนเย่ว์หยางก่อนที่เขาจะตะโกนทันทีขณะที่เขาเดินวนรอบตัวเย่ว์หยางและพิจารณาดูทั้งซ้ายและขวาเหมือนชาวนาผู้มาตลาดค้าวัวและพยายามเลือกวัวเอาไว้ทำนาของตนด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น เขาผายมือไปที่เย่ว์หยางขณะที่เขาหันมาถามผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ “พี่ไห่! เจ้าเด็กนี่คือเจ้าสวะเสี่ยวซานของท่านหรือ? ดูไม่เห็นเหมือนสวะเลย… ถ้าเจ้าเด็กนี่เป็นสวะ อย่างนั้นข้าจะควักลูกตาให้ท่านเลย….”
“ท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะใช่ไหม? ถ้าท่านต้องการสรรเสริญเขาก็เข้าแถวรอได้เลย ยังมีคนเข้าคิวอีกยาวเหยียดต้องการเยินยอเขา ยังไม่ถึงรอบของเจ้า!” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าไม่ประหลาดใจที่เป็นอย่างนี้ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสยุแหย่บุรุษที่ดูเหมือนเตียวหุยนั้น
“โธ่เอ๊ย! ข้าลืมไปเลยว่าข้ายังไม่ได้พูด พอท่านพูดถึง ข้าก็นึกได้ว่าข้ายังโกรธอยู่” บุรุษผู้เหมือนเตียวหุยจู่ๆ ก็โกรธพลางคว้าแขนของเย่ว์หยาง
“ทุบตีมันเลย ไม่ต้องยั้งมือปราณี! ท่านไม่ต้องเกรงใจข้าเลย!” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพยายามราดน้ำมันลงบนกองไฟ
“ท่านตบเขาไม่ได้นะ เพราะพี่โล่วฮัวจะเห็นร่องรอยได้ง่าย แล้วนางรู้สึกเสียใจต่อเขา ลุงรอง, ท่านคงได้ลำบากแน่ ท่านต้องซัดใส่เขาสัก 2-3 หมัดตรงจุดที่นางมองไม่เห็น หรือมิฉะนั้นก็ถอดกางเกงและตีก้นเขาก็ได้ ด้วยวิธีแบบนั้นแม้ท่านจะตีเขาไม่ยั้ง เขาคงไม่กล้าบ่นฟ้องพี่โล่วฮัวแน่ ข้ารับรองเลยว่าความคิดนี้ใช้ได้ดีที่สุด! องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนโกรธที่เย่ว์หยางเพิ่งตะเพิดนางออกจากห้อง ดังนั้นนางพยายามยุยงบุรุษที่ดูเหมือนเตียวหุยนี้ด้วยความคิดแง่ลบ ดูเหมือนว่านางมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับท่านผู้นี้
“ด้วยพลังธรรมชาติดุจเทพเจ้าของข้า เจ้าเด็กนี่มิกระอักเลือดหรือ หากข้าต่อยใส่เขาสัก 2-3 หมัด?” หมัดของบุรุษที่ดูเหมือนเตียวหุยย่อมแข็งแกร่งแน่นอน เขาทำให้คนอื่นตกใจเมื่อเขาควงหมัด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? หนังของเจ้าเด็กนี่ อย่างหนามาก เขามีความแข็งแกร่งทนมือทนเท้าดีอยู่แล้ว” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเกือบจะบอกว่ากระดูกของเย่ว์หยางทำจากเหล็ก
“งั้นข้าจะไม่ยั้งมืออีกต่อไป ถ้าความโกรธมันคุกรุ่นอยู่ในใจข้า หากไม่ทุบตีใครสักคนก็คงดับมันไม่ได้” บุรุษผู้ดูเหมือนเตียวหุยปล่อยหมัดที่แข็งเหมือนเหล็กของเขาใส่ท้องเย่ว์หยาง ขณะที่เย่ว์หยางตะโกนลั่นทันที “หยุดนะ!”
เสียงตะโกนของเย่ว์หยางสร้างความประหลาดใจให้บุรุษที่เหมือนเตียวหุยนั้น เหมือนกับว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเย่ว์หยางถึงตะโกนให้เขาหยุด
เขารู้สึกว่าการทุบตีเย่ว์หยางเป็นเรื่องที่ชอบธรรมที่สุดที่ควรทำในขณะนี้ เย่ว์หยางสมควรยินยอมให้เขาได้ทุบตีจึงจะถูก ถ้าเขาปฏิเสธ นั่นถือเป็นการกระทำที่น่าละอาย
เขาถามอย่างสับสน “เจ้าให้ข้าหยุด หมายความว่าไง? เจ้าหมายความว่าข้าไม่สมควรทุบตีเจ้าหรือ?”
……………….