===============
ตามข้อมูลที่เขาได้รับจากคัมภีร์สีทองแดง หอทงเทียนเป็นสถานที่แปลกประหลาด
หอทงเทียนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และตำนานกล่าวว่าเทพเจ้าโบราณได้สร้างมันขึ้นมา มันตั้งอยู่ใจกลางทวีปมังกรทะยาน และมันเป็นที่รู้จักว่าคือบันไดที่เทพเจ้าโบราณทิ้งไว้ให้มนุษย์เพื่อใช้ขึ้นสู่สวรรค์ ไม่มีใครรู้ว่าหอทงเทียนสูงเท่าไหร่ มันสูงเทียมเมฆ เทพเจ้าโบราณได้สร้างไว้ในสภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆ ไม่มีผู้ใดปีนจากด้านนอกได้ ต้องปีนหอทงเทียนจากด้านใด โดยไต่ไปทีละระดับชั้น
ในทุกระดับของหอทงเทียน จะมีประตูผ่าน ด้านหลังประตูผ่านคือดินแดนที่แบ่งแยกกัน ใครๆ ก็สามารถเข้าไปฝึกฝนได้
เงื่อนไขการไต่ระดับจะได้รับของพิเศษจากชั้นล่างก่อนจะขึ้นสู่ชั้นถัดไป
“ปิงเอ๋อแค่ไปเพียงระดับแรก เป็นแค่ระดับทดสอบ ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์จากโรงเรียนจะนำเข้าไปเป็นกลุ่ม ดังนั้นไม่น่าจะมีอันตราย แต่ข้าก็ยังห่วงว่านางค่อนข้างจะรั้น” หญิงงามรู้จักนิสัยของลูกสาวนางอย่างดี นางโดดเดี่ยว เงียบขรึม ไม่ชอบเข้าสังคมไม่มีเพื่อนสนิทในโรงเรียน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นชีวิตประจำวันหรือขั้นตอนการทดสอบ นางจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ง่าย ถ้าบังเอิญนางตกอยู่ในอันตราย อาจไม่มีใครช่วยนาง และนางคงได้แต่ดิ้นรนเองโดยไม่มีผู้ช่วยสนับสนุน
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น โปรดมั่นใจเถอะ น้องเจ็ดจะดูแลตัวเองได้” ทันทีที่เย่ว์หยางได้ยินว่าเป็นระดับแรกที่ปิงเอ๋อจะเข้าไปทดสอบ นางใช้ทางเข้าเป็นการทดสอบ เขารีบพูดให้หญิงงามสบายใจ
การทดสอบระดับแรกและระดับสองของหอทงเทียนแทบไม่มีการเสี่ยงชีวิต แต่หลังจากไปถึงที่ระดับ 3 จะกลายเป็นเสี่ยงตายจริงๆ
แน่นอนว่า ทุกอย่างมีโอกาสเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เยาว์จากตระกูลเฟิงที่จะต้องจัดการแต่งงานกับน้องเย่ว์ปิง ทดสอบที่ระดับ 2 แล้วถูกราชาอสูรทองที่หลงเข้ามาฆ่าตายอย่างรวดเร็ว กรณีนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดไม่บ่อยนัก สามารถมองข้าม ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ นั่นเป็นเพราะเป็นระดับ 3 ของหอทงเทียน จ้าวอสูรทองจะอาศัยอยู่ตามภูเขา ดังนั้น โดยทั่วไปมันจะไม่เดินทางออกมา
ระหว่างที่เป็นห่วงลูกสาวนาง วันนี้หญิงงามรู้สึกใจเหม่อลอย แม้แต่คนที่มีฝีมืองานเย็บปักถักร้อยอย่างนาง ยังถูกเข็มแทงนิ้วอยู่ 2-3 ครั้ง
เห็นหญิงงามถูกเข็มแทงนิ้วจนเลือดหยด อยู่ๆ เย่ว์หยางมีแรงบันดาลใจแว่บเข้ามาในใจ
เป็นไปได้ว่า จี้หยกดำของเขานั้นจำเป็นต้องใช้เลือดยืนยันตัวตน
จี้หยกดำในตอนกลางวันจะดูเห็นเหมือนสร้อยธรรมดา ไม่มีใครบอกได้ว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า และเย่ว์หยางไม่เคยพบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวัตถุนี้
สภาพจิตเย่ว์หยางถูกรบกวนอยู่ ทันทีที่หญิงงามและเด็กหญิงออกไป เขารีบถอดสร้อยคอออกมา ใช้เข็มแทงนิ้วตนเองให้เลือดไหล และหยดลงบนผิวจี้เพียงเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ไม่มีการตอบสนองจากมันเลย
“ก็ได้ ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าอ่านนิยายเพ้อฝันมากเกินไป” เดิมทีเย่ว์หยางคิดว่าของสิ่งนี้คงจะเหมือนในนิยายเกมที่ต้องหยดเลือดลงไปเพื่อให้มันรู้จักเจ้าของ แล้วสิ่งนี้จะผูกพันกับคนที่เป็นเจ้าของและจากนั้นมันจะไม่มีทางสวมหรือตกลงไปได้ แต่มันยังคงยกระดับพัฒนาตามเจ้าของไปด้วย ทำเทพอาวุธที่น่าทึ่งก็ได้
ใครจะรู้ จี้หยกดำยังคงไม่ตอบสนองแม้ผ่านไปครึ่งวัน ทำให้เย่ว์หยางปวดใจอย่างมาก
ลืมซะเถอะ, สักวัน ข้าจะเข้าใจมันให้ได้
เย่ว์หยางเหยียดมือออก เตรียมหยิบจี้หยกดำมาสวมคอ ทันใดนั้น เขาพบว่ามีจุดสีดำบนจี้หยกมันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา มันเปลี่ยนสภาพเป็นหลุมดำที่มีพลังรุนแรง เย่ว์หยางโดนดูดเข้าไปในนั้น
ด้วยอาการอย่างนั้น เย่ว์หยางเกือบคิดว่าเสร็จแน่ๆ คงไม่รอดแล้ว
เขาพบว่าตลอดทั้งตัวเขาแทบจะถูกหลุมดำฉีกกระชาก ทันทีที่ถูกหลุมดำกลืนหายไป มันเหมือนกับว่าผิว เนื้อ กระดูก แม้กระทั่งวิญญาณแทบจะถูกบดกลายเป็นผง มันเจ็บปวดแสนสาหัส เมื่อเย่ว์หยางคิดว่าคงต้องตาย ทันใดนั้น ในส่วนลึกของจิตวิญญาณเขากลับฉายส่องพลังไฟชีวิตขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกแปลกเหมือนคืนชีพใหม่ เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า ในความเป็นจริงแล้วเขาอยู่ในที่เงียบสงัดไม่มีแสงไฟเลย..
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาจะออกไปได้อย่างไร?
เย่ว์หยางคิดว่า วิธีแบบนี้แทบทำให้สมองพองโต ดูเหมือนว่าการใช้วิธีหยดเลือดเพื่อให้วัตถุรู้จักเจ้าของไม่สามารถใช้ทดสอบได้จริงๆ แล้วยังก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาอีกมาก
“เอ่? เจ้ายังไม่ตายอีกหรือ? เป็นเด็กผู้ชายที่แปลกจริงนะ หวา! เจ้ามีพลังปราณก่อกำเนิดด้วย มีนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่อายุเยาว์ด้วยหรือนี่?” ขณะที่เย่ว์หยางลังเลว่าจะทำยังไงดี เสียงไพเราะของสตรีประหลาดก็ดังออกมา
ก่อนจะมีเวลาได้โต้ตอบ เย่ว์หยางพบว่าเขาถูกยกขึ้นมาโดยไม่อาจต้านทานได้
จากนั้นริมฝีปากเขาถูกประทับจุมพิตอย่างอบอุ่นนุ่มนวล
โฉมงามจุมพิตเขาหรือ?
แว่บแรกในความคิดของเขา เขาคิดว่าในที่สุดก็ได้จูบแล้ว แต่จากนั้นเขากลัวจะพบว่าโฉมงามที่มอบจุมพิตเขาอย่างเต็มใจจะกลายแวมไพร์ที่น่ากลัว นางคงสูบเอาพลังปราณธรรมชาติเขาไป พลังทั้งหมดที่ได้รับมาเป็นเดือน ในระดับ 2 จะถูกนางสูบไปในเวลาไม่กี่วินาที ถ้านางไม่ผละฝีปากสีชมพูระเรื่อออก เย่ว์หยางไม่สงสัยเลยว่า เขาคงจะกลายเป็นศพแห้งแน่
“เป็นเวลาหมื่นปีมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรก ที่ข้ารู้สึกสบายจริงๆ สดชื่นจริงๆ แม้ว่านี่จะไม่บริสุทธิ์เต็มที่นัก แต่ก็ไม่เลวเลย” โฉมงามที่จุมพิตเขากล่าว พร้อมกับเสียงหอบอย่างชื่นชมจากในความมืด
“โธ่เอ๊ย!” เย่ว์หยางพบว่าตนเองโดนสูบพลังจนแห้ง ดังนั้นร่างกายเขารู้สึกอ่อนแอ ขาปวกเปียกเมื่อยามเขายืน มันเหมือนกับความรู้สึกที่เขาได้รับตอนที่ “ช่วยตัวเอง” มากเกินไป
หลังจากความมึนงงผ่านไปได้สักครู่แล้ว เย่ว์หยางพบความผิดปกติที่ว่า เขาสามารถมองเห็นได้ในความมืด
แม้ปราศจากร่องรอยแสงไฟ เขาก็สามารถเห็นได้ชัดพอที่จะรู้ว่า ร่างกายเขาเปลือยล่อนจ้อน ไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เหมือนกับชีเปลือย ผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาคือโฉมสะคราญสูงเกินกว่า 2 เมตร ความงามของนางพูดได้ว่างามล่มเมือง ผิวหยวกขาวนวล ดวงตาราวกับไพลินสีน้ำเงิน จ้องมองเขาอย่างไม่กระพริบตา เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสงสัยใครรู้ โฉมสะคราญนางนี้มีผมทองยาวสยายทิ้งตัวลงคลุมไหล่และบังส่วนสงวนที่หน้าอกที่ขาวปานหยกหิมะ เย่ว์หยางฝืนแรงกระตุ้นความรู้สึกอย่างยากลำบาก มองลงไป เห็นเอวบอบบางอ้อนแอ้น หนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ รูปปั้นเหนือธรรมชาติที่ฝีมือประณีตคงไม่สามารถแสดงร่างกายธรรมชาติอย่างนี้ได้สมบูรณ์แบบนี้แน่
ต่อให้ต้องตายตกนรกชั้น 18 ทนทุกข์หมกไหม้ เย่ว์หยางก็ต้องการมองให้เห็นต่ำลงมากว่านั้นให้ได้….
นี่คือโอกาสทองที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าเขาไม่สามารถเห็นโฉมงามเปลือยที่อยู่ต่อหน้าได้ เย่ว์หยาง สมควรเปลี่ยนชื่อเป็นหลิ่วเซี่ยฮุ่ย*
อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่ว์หยางใช้สายตาที่เหมือนนักล่าของเขามองสำรวจลงไป เขาร้องออกมาด้วยความตกใจ “พระเจ้า! ทำไมขาของเจ้าเป็นหางงูล่ะ?
พอได้ยินเช่นนี้ โฉมงามผมทองคลี่รอยยิ้ม ยิ้มของนางงามระยิบระยับเหมือนทะเลดวงดาว แทบทำให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ยิ้มของนางแทบกระชากวิญญาณเย่ว์หยางให้ลอยละล่องออกนอกกายจนลืมไปว่ายังคงอยู่บนโลก
นางมีแขน 6 ข้างยื่นออกมา จากแนวผมทองที่สยายออก แกว่งไปมาอย่างแช่มช้อย นางเอามือที่ขาวปานหิมะข้างหนึ่งเชยคางเย่ว์หยางขึ้น และตาสีไพลินของนางให้ความรู้สึกว่ากำลังเบิกบาน “พ่อมนุษย์หนุ่มน้อยผู้น่ารัก, นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้าคือนางพญาอสรพิษ แน่นอนว่าข้าดูแตกต่างจากมนุษย์ เจ้าไม่คิดหรือว่าหางนาคีของข้าสวยงามมากหรอกหรือ?”
***********************