===============
มีแต่เพียงองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัวและสาวๆ อื่นรู้ว่าด้ายทองนี้ความจริงคือสมบัติที่เรียกว่า “ริบบิ้นปลาคู่” ที่เย่ว์หยางเพิ่งได้รับมาหลังจากผ่านด่านวิหารปลาคู่เมื่อคืนที่ผ่านมา ตราบใดที่มันยังติดอยู่กับศัตรู ตราบนั้นศัตรูก็ไม่สามารถจากไปได้ตามความต้องการของตัวเอง ไม่ว่าวิธีหลบเช่นไรที่ศัตรูจะใช้ออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถดิ้นรนเป็นอิสระจากริบบิ้นปลาคู่ได้ เว้นแต่ศัตรูจะมีความสามารถมากกว่าเจ้าของริบบิ้นปลาคู่และเขาเอาชนะเจ้าของริบบิ้นได้สำเร็จ นอกนั้นเขาไม่สามารถดิ้นรนหนีจากมันได้
ที่น่ากลัวยิ่งกว่า เย่ว์หยางสามารถใช้ทักษะปราณก่อกำเนิดผ่านริบบิ้นปลาคู่ได้
ถึงตอนนี้ โคเงาอาหมัน,และเสี่ยวเหวินหลีที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมกลับเข้าไปอยู่ในตัวเย่ว์หยางพร้อมกับพายุหมุน ไป๋หวินเฟยพยายามจะเรียกอสูรอัญเชิญของเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยพลังโซ่ล่องหนของเย่ว์หยาง
ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่สามารถเรียกคัมภีร์ออกมาป้องกันตัวเองได้ แม้ว่าไป๋หวินเฟยจะเป็นคนโง่ เขารู้ว่าเย่ว์หยางตั้งใจกลั่นแกล้งเขาต่อหน้าธารกำนัล
ไป๋หวินเฟยคิดถูก
แทนที่จะแบกความอัปยศปล่อยให้เย่ว์หยางทุบตีจนสะบักสะบอมต่อหน้าคนเป็นแสน เขายอมรับความพ่ายแพ้อย่างอดสูดีกว่า
ไป๋หวินเฟยรู้ว่าเย่ว์หยางต้องการให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และสู้กับเขาอย่างวู่วาม ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ จ้าวมังกรทองของเขาคงถูกฆ่าตายคาที่ มังกร(จีน)ขาวหางดำของเขาคงถูกทุบตีจนหายไปแน่ ขณะที่ตัวเขาเองอาจโดนทุบตีจนปางตาย บางทีเขาอาจต้องคุกเข่าและร้องขอความกรุณาในที่สุดจนได้ ความอัปยศที่จะได้รับจะมากกว่านี้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนหยิ่ง แต่เขาก็ไม่โง่แน่นอน ดังนั้นเขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้
ตราบใดที่จ้าวมังกรทองยังคงมีชีวิต เขาก็ยังมีหวังในอนาคต
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถไล่ตามตัวประหลาดอย่างคุณชายสามตระกูลเย่ว์นี้ได้ทัน แต่เทียบกับเฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวิน, องค์ชายสือจินและคนอื่นๆ เขาก็ยังได้เปรียบพวกนั้น
ทันทีที่จ้าวมังกรทองถูกคุณชายสามตระกูลเย่ว์ฆ่า สถานะของเขาที่แข็งแกร่งเป็นลำดับสองในรายการแข่งขันอาจจะตกลงไปเกินกว่าสิบสุดยอดนักสู้ผู้แข็งแกร่งก็ได้ ถึงตอนนั้นเขาคงจบการแข่งขันลงอย่างอนาถ
คุกเข่าเหรอ?
นั่นไม่ใช่ทางเลือกของเขาเอง มันเป็นผลตามมาหลังจากที่ตลอดทั้งร่างของเขาถูกเย่ว์หยางลากลงมาเมื่อเขาปล่อยทักษะโซ่ล่องหน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีสิทธิ์จะต่อต้านเย่ว์หยางหรือ?
ถ้าเขาไม่ใช้ประโยชน์จากการคุกเข่าตอนนี้ เขาอาจจะกลายเป็นคนพิการได้ เพราะนัยน์ตาของเย่ว์หยางเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต
“นักเรียนไตตัน นักเรียนไป๋หวินเฟยยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว เจ้าดูสิ…” หัวหน้ากรรมการผู้เปียกโชกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าวิ่งเข้ามากลางเวทีและกลายเป็นกรรมการห้าม เขาลอบส่งสัญญาณให้เย่ว์หยางทราบว่าเขาฉีกหน้าและข่มเหงศัตรูของเขามากพอแล้วและเขาไม่ควรทำเกินไป ที่สำคัญยิ่งกว่า เขาไม่ควรฆ่าคู่ต่อสู้ มิฉะนั้น นิกายภูเขาหมอกจะเก็บความแค้นไว้ในใจแล้วโยนความผิดให้กับตระกูลเย่ว์ก็ได้
“เห็นอะไรกันเล่า? ประมุขน้อยคุกเข่าและขอความกรุณาหรือ? ข้ายังไม่ได้เริ่มสู้เลย ทำไมเขาถึงยอมแพ้ด้วยเล่า? แม้ว่าประมุขน้อยจะต้องการยอมให้เราชนะ แต่เขาก็ไม่น่าทำแบบนี้ จะเป็นยังไงถ้าคนอื่นคิดว่าเราโกง? หัวหน้ากรรมการ ข้าขอเรียนท่าน ข้าไม่ได้สนิทกับประมุขน้อยมากนัก เมื่อเขาเป็นฝ่ายต้องการคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้ อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!” เย่ว์หยางทำเป็นซื่อใสบริสุทธิ์ ทำให้หัวหน้ากรรมการรู้สึกหงุดหงิดจนอยากทุบตีเขานัก เดิมทีไป๋หวินเฟยก็หน้าด้านพอแล้ว แต่ยังเทียบกับเจ้าเด็กตัวแสบนี่ไม่ได้
“ให้เขาโขกศีรษะคำนับด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะไม่ยอมรับการจำนนของเขา ฆ่า ฆ่า จ้าวมังกรทองและทำให้เขาร้องไห้จนน้ำตาเป็นแม่น้ำเลย” ทันใดนั้นเจ้าอ้วนไห่กระโดดออกมา ก่อความปั่นป่วนกับเขาด้วย
“ใช่แล้ว ต้องให้เขาโขกศีรษะยอมรับความพ่ายแพ้” เย่คงก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ
“โขกศีรษะ…” ผู้ชมทั้งหมดเริ่มส่งเสียงกระหึ่ม จะดีจะร้ายพวกเขาขอเชียร์ผู้ชนะไว้ก่อน ขณะที่ผู้แพ้ พวกเขายินดีที่จะโดดลงไปบนเวทีช่วยเตะสักทีหรือสองที เจ้าประมุขน้อยนั่น ทำไมถึงได้หน้าด้านนัก? เขายังอยู่ในเครื่องแบบและเป็นสายเลือดของนิกายภูเขาหมอกไม่ใช่หรือ? ถ้าเขาไม่ได้เป็นประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอก เขาก็เป็นแค่ไอ้เซ่อที่ไม่มีราคา
ทหารรับจ้างที่อยู่ตรงนั้นเพื่อร่วมชมความสนุกเริ่มจะก่อความวุ่นวาย
พวกเขาจะเชียร์ใครก็ได้ที่เป็นฝ่ายชนะ
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเกลียดคนหนุ่มที่โดดเด่นอย่างไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินผู้มาจากตระกูลใหญ่และมีอิทธิพล พวกเขาอิจฉาสองคนนี้ ตอนนี้พอเห็นไป๋หวินเฟยถูกทำให้ด้อยค่าคับแค้นทำให้พวกที่ดูอยู่ดีใจสะใจ ดังนั้นเสียงเชียร์ของพวกเขากลับดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังปรบมือให้เย่ว์หยางและส่งเสียงเชียร์อื้ออึง พวกเขายังเยาะเย้ยไป๋หวินเฟยและชูนิ้วกลางให้พร้อมกับพูดว่า “หมอบกราบ, หมอบกราบ, หมอบกราบ….”
เย่ว์หยางส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบทันที อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาอ้าปากได้ เขาก็หงุดหงิดกับพวกที่เยาะเย้ยไป๋หวินเฟยและหันมาเชียร์เขา “พวกเจ้าทุกคนช่างเขลาจริงๆ เขาเป็นประมุขน้อยนิกายเขาหมอกอันทรงเกียรติ มันเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่เขาจะคุกเข่าขอความกรุณา แล้วพวกท่านยังต้องการให้เขาหมอบกราบด้วยหรือ โง่หรือเปล่า? ฝันไปก่อนเถอะ!” แค่ประโยคแรกของเย่ว์หยางก็ทำให้พวกทหารรับจ้างสะอึกทุกคน อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาฟังคำพูดเย่ว์หยางต่อไป พวกเขาคิด “ไอ้เด็กบ้านี่ ถือโอกาสเหน็บแนม” ทันใดนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงเชียร์เย่ว์หยางกระหึ่มกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าในประวัติศาสตร์การแข่งขันสุดยอดร้อยโรงทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชมปรบมือและส่งเสียงเชียร์ต่อหลังจากโดนเรียกว่าเจ้าโง่
เมื่อไป๋หวินเฟยได้ยินเข้า เขาแทบล้มลงเอาหัวโขกกับพื้นเวที
เขาแทบกระอักเลือดด้วยความโกรธ ขณะพยายามอดกลั้นอย่างสุดชีวิต
ถ้าเขาหันไปต่อต้านเย่ว์หยางและเริ่มต่อสู้กับเขา อย่างนั้นไป๋หวินเฟยก็ตกลงไปในกับดักของเขาจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นบางทีอาจจะไม่จบลงด้วยคำพูดเหยียดหยามเท่านั้น ไป๋หวินเฟยเกรงว่าตัวประหลาดแห่งตระกูลเย่ว์ผู้นี้อาจใช้เท้าเหยียบย่ำเขาก็ได้ ถึงเวลานั้นเขาอาจต้องทุกข์ทรมานจากการถูกเหยียดหยามอย่างที่ไม่อาจโงหัวขึ้นได้ทั้งชีวิต
“ประมุขน้อย! ข้ายอมรับการกราบ..เอ๊ย.. ข้าหมายถึง คำขอยอมแพ้ของท่าน ลุกขึ้นเถอะ, ท่านเป็นประมุขน้อยผู้มีเกียรติ ถ้าท่านยังคุกเข่านานเกินไป มันอาจทำให้ข้าโชคร้ายต่อไปในอนาคตก็ได้ ข้าทนอึดอัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉะนั้น..ลุกขึ้นเถอะ” เย่ว์หยางยังคงแกล้งทำเหมือนเป็นคนดี ขณะที่เขาดึงริบบิ้นทองออกและช่วยพยุงตัวไป๋หวินเฟยขึ้น เขาทำเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ที่ทนไม่ได้ที่จะให้ไป๋หวินเฟยคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา
“ถุย!” ไป๋หวินเฟยไม่อาจทนถูกหยาม เขาถ่มน้ำลายปนเลือดลงบนพื้น
“เจ้าช่างสมกับเป็นประมุขน้อยจริงๆ แม้แต่ลีลาถ่มน้ำลายก็ยังดูดีมีราศีเป็นธรรมชาติอีกต่างหาก ข้านับถือจริงๆ” เย่ว์หยางประสานมือคารวะ แต่มารยาทที่เยิ่นเย้อเกินจริงของเขาช่างเป็นที่น่าหงุดหงิด
ศิษย์นิกายภูเขาหมอกวิ่งขึ้นมาบนเวทีด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อช่วยพยุงไป๋หวินเฟยที่ล้มลงหมดสติบนเวทีเพราะกระอักเลือดด้วยความคั่งแค้น
ถ้าการจ้องมองของพวกเขาฆ่าคนได้เหมือนกับทักษะเนตรประหารของโคเงาแล้ว เย่ว์หยางคงถูกฆ่าไปหลายครั้งแล้ว
เย่ว์หยางยืนอย่างใจเย็นอยู่บนเวทีต่อสู้ เขายังไม่ลงจากเวทีแม้เมื่อศิษย์นิกายภูเขาหมอกแบกไป๋หวินเฟยผู้พ่ายแพ้หมดรูปลงจากเวทีไปอย่างคับแค้น ทันใดนั้น เย่ว์หยางหันไปทางองค์ชายสือจินและพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “องค์ชายสือจิน ข้าได้ยินว่าท่านสนิทกับประมุขน้อยมาก ข้าไม่รู้จริงๆ นะ แต่ท่านมีงานอดิเรกเหมือนกับประมุขน้อยผู้ชอบคุกเข่าขอความกรุณาหรือเปล่า? ถ้าท่านมี ทำไมท่านไม่เอามาแสดงให้คนอื่นดู เพื่อที่ว่าเราทุกคนจะได้สนุกกับการแสดงยังไงเล่า? แม้ว่าเราจะต้องสู้กันในครั้งต่อไป แต่ข้าอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ชมบารมีการอ่อนน้อมถ่อมตนขององค์ชาย”
ผู้ชมทั้งหมดพุ่งความสนใจไปที่องค์ชายสือจิน
พวกเขาต้องการรู้ว่าเขาจะโต้ตอบอย่างไร!
เขาจะตัดสินใจสู้กับเย่ว์หยางไหม?
หรือว่าจะคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้เหมือนไป๋หวินเฟย?
ถ้าองค์ชายสือจินเป็นคนหนังหน้าหนา เขาอาจปฏิเสธที่จะตอบ มีหลายเหตุผลให้อ้าง เช่นยังไม่ถึงเวลาต่อสู้ นอกจากนี้เขายังอาจสละสิทธิ์ต่อสู้ก็ได้ แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น อย่างนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับไป๋หวินเฟย อย่างน้อยที่สุด ไป๋หวินเฟยก็ยังต่อสู้จนถึงกลางครัน แม้ว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าฝีมือของเขาไม่มีทางใกล้เคียงเย่ว์หยาง เขาคุกเข่าและยอมรับความพ่ายแพ้ก็เพื่อปกป้องจ้าวมังกรทอง เพื่อปกป้องอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของเขา
ถ้าองค์ชายสือจินไม่กล้าสู้ เขาอาจถูกตราหน้าทันทีว่าเป็นคนขี้ขลาด
ถ้าองค์ชายสือจินไม่โต้ตอบหลังจากถูกเย่ว์หยางยั่วยุมากเข้า เขายังจะเชิดหน้าชูตาในอนาคตได้อีกหรือ?
นักเรียนอื่นทั้งหมดผู้ถูกองค์ชายสือจินรังแกตอนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาในก่อนหน้านั้นเริ่มตะโกนโห่ฮาว่า ขี้ขลาด, บัดซบ, งี่เง่าสารพัดที่เป็นคำดูถูก ทุกคนยกนิ้วกลางเตรียมชูใส่องค์ชายจอมยโส หากว่าเขาพูดสละสิทธิ์การแข่งขัน ศิษย์คนโปรดของนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกจะเป็นสวะเหมือนกับประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกลอยฟ้าหรือ? หรือว่าเขาจะแย่ยิ่งกว่าไป๋หวินเฟย? ก่อนนี้ องค์ชายเทียนหลัวสู้กับนักเรียนไตตันมาก่อน และเขาก็สู้ได้ดีเสียด้วย ถึงขนาดที่เวทีต่อสู้พังทลายทั้งหมด องค์ชายเทียนหลัวพ่ายแพ้ในท่าเดียว แต่เขาก็พ่ายแพ้อย่างสมเกียรติ!
ตอนนี้ ถึงคราวที่องค์ชายสือจินต้องเลือกบ้าง
เขาสามารถเลือกเป็นเหมือนองค์ชายเทียนหลัวผู้ยอมรับมือนักเรียนไตตัน คู่ต่อสู้ที่ผิดธรรมดา หรือจะเลือกเป็นเหมือนไป๋หวินเฟยผู้คุกเข่าขอความกรุณา…
“ข้าได้ยินมาว่าพี่ไตตันมีวิทยายุทธที่ยอดยอดเยี่ยม ฉู่ฟงเหลยยินจะสู้กับพี่ไตตันเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า” องค์ชายสือจินคิดเป็นเวลานานก่อนตัดสินใจเสนอประลองด้านวิทยายุทธระหว่างเขากับเย่ว์หยาง ถ้าขืนเขาแข่งด้วยเงื่อนไขสัตว์อสูร เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาเกรงว่าเย่ว์หยางจะเรียกอสูรที่ผิดธรรมดาอย่างเมดูซา, นางเงือกและนาคาที่มีระดับพลังสูงอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ยังมีอสูรที่ลึกลับน่ากลัวที่คลุมตัวอยู่สามารถสังหารผึ้งทองเพชรฆาตด้วยการจ้องแค่ครั้งเดียว มันไม่ใช่ระดับพลังที่อสูรของเขาจะสู้ได้
ความหวังประการเดียวที่จะเอาชนะเขาได้ก็คือในกติกาสู้ด้วยวิทยายุทธเท่านั้น
แม้ว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์จะเป็นที่รู้จักดีว่ามีวิทยายุทธสูงเยี่ยม แต่องค์ชายสือจินก็ยังมั่นใจว่าถ้าเขาแข่งกับเย่ว์หยาง แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในที่สุด เขาก็คงไม่พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเหมือนไป๋หวินเฟย
เย่ว์หยางจะเข้าใจแผนการของท่านผู้นี้ได้อย่างไร? แต่เขาก็ยังไม่เกี่ยงงอน ตราบเท่าที่องค์ชายสือจินเห็นด้วยที่จะสู้กับเขา
ตราบใดที่พวกเขาขึ้นเวทีต่อสู้ เขาจะมีโอกาสกลั่นแกล้งเจ้าผู้นี้ให้คลั่งตาย
เจ้าอ้วนไห่, เย่คงและคนอื่นต่างก็ดีใจ ทั้งสองคนตะโกนลั่นกอดกันและกัน
พวกเขารู้ว่าเย่ว์หยางจะน่ากลัวที่สุดหากสู้กันด้วยวิทยายุทธ เทียบกันแล้ว แม้ว่าอสูรของเขาก็ยอดเยี่ยมแทบทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็ยังมีฝีมือห่างไกลกับทักษะวิทยายุทธของเย่ว์หยาง องค์ชายสือจินรนหาที่ตายแท้ๆ ชีวิตที่น่าสงสารของเจ้าผู้นี้จะเริ่มต้นจากเวลานี้เป็นต้นไป องค์ชายสือจินจะมีจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่าไป๋หวินเฟย!
ในกลุ่มผู้ชม นักสู้ผู้แข็งแกร่งอย่างเฟิงเส้าหวิน, เสวี่ยเวิ่นเต้า, เหยียนเชียนจ้งและคนอื่นๆ นั่งอยู่ในชั้นที่นั่งบุคคลระดับพิเศษ ทุกคนกระซิบกันและกัน
พวกเขานึกในใจว่า องค์ชายสือจินไม่ต่างกับก้าวเท้าข้างหนึ่งลงหลุมศพไปแล้ว
สำหรับวิทยายุทธที่ไม่ธรรมดาของเย่ว์หยาง พวกเขาทุกคนล้วนทราบประจักษ์ องค์ชายสือจินพยายามใช้วิทยายุทธสู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิด ก็ไม่ต่างอะไรกับตั๊กแตนที่พยายามจะใช้พลังตนหยุดรถ ตอนที่เย่ว์หยางเพิ่งเรียกอสูรแข็งแกร่งออกมามากมายรวมทั้งอสูรแพลตตินัมอย่างนางพญากระหายเลือด, เมดูซา, นางเงือก, นาคาและอสูรลึกลับอื่น พวกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร ทั้งนี้เป็นเพราะเย่ว์หยางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง จะเป็นเรื่องแปลกมากกว่าหากเขาไม่มีมีอสูรระดับแพลตตินัม! สำหรับเรื่องที่ไป๋หวินเฟยคุกเข่า พวกเขาก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับความจริงที่ว่าองค์ชายสือจินยังคงต่อสู้กับเย่ว์หยางแม้หลังจากเห็นไป๋หวินเฟยคุกเข่าขอความกรุณา เรื่องนี้เกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้
คนมากมายเริ่มขมวดคิ้ว คิดว่าองค์ชายสือจินวู่วามเกินไปและว่าเขาเอาแต่ห่วงภาพลักษณ์มากเกินไป เขาไม่น่าใช่คนที่จะทำสิ่งยิ่งใหญ่ในอนาคตได้เลย
ในสายตาของเฟิงเส้าหวินและเสวี่ยเวิ่นเต้า ประมุขน้อยไป๋หวินเฟยที่ยินคุกเข่าเพื่อสงวนพลังของเขาไว้ยังแข็งแกร่งมากกว่าองค์ชายสือจิน ความสามารถในการทนอัปยศได้ไม่ใช่เรื่องที่คนหนุ่มจะทำกันง่ายๆ
แม้ว่าไป๋หวินเฟยจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ แต่เขาก็ยังเป็นนักรบที่ไม่ธรรมดาในหมู่อนุชนรุ่นหลัง
เมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายสือจินผู้นี้ไม่ประมาณความสามารถของตนเองเลยจริงๆ อาจเป็นได้ว่าเขาคิดว่าเขาสามารถชนะคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้มีวิทยายุทธเหนือกว่าเย่ว์ชิวบิดาเขาหรือ?
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า, เฟิงขวง, เซี่ยโหวเว่ยเลี่ยและนักสู้ชาวต้าเซี่ยอื่นๆ ทุกคนผงกศีรษะอย่างตื่นเต้น เย่ว์หยางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด ดังนั้นพวกเขาไม่ห่วงว่าจะแพ้ อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าเย่ว์หยางครอบครองอสูรชั้นแพลตตินัม ทุกคนรู้สึกว่าเส้นทางการฝึกฝนวิทยายุทธของเย่ว์หยางแต่เพียงอย่างเดียว คงเปลี่ยนไปในที่สุด ตอนนี้ เขายังต้องอบรมบ่มเพาะสัตว์อสูรและวิทยายุทธควบคู่กันไป พวกเขาเชื่อว่าใช้เวลาอีกไม่นานพลังความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวหน้าเข้าสู่ขอบเขตใหม่
ปฏิกิริยาของนักสู้ชาวเทียนหลัวอย่างราชันย์ฟ้าตะวันตกและคนอื่นๆก็มีความรุนแรงมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชันย์ฟ้าบูรพาผู้มีลักษณะเหมือนเตียวหุย เขาตะโกนไปทางราชันย์ฟ้าปัจจิม ขุนพลเฒ่าหม่าและคนอื่นๆขณะที่เขาชูกำปั้น “พวกเจ้าเห็นไหมนั่น? นั่นลูกเขยข้า, เขยของข้า! ข้าบอกแล้วว่าไม่มีอะไรผิดที่ให้กำเนิดธิดาก่อน ตอนนี้ข้าได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วไม่ใช่หรือ? บุรุษเพียงคนเดียวที่เหมาะสมกับธิดาสุดที่รักของข้า ลูกโล่วฮัว! ฮ่าฮ่า มีธิดาก็ดีอย่างนี้แหละ, มีธิดานี่ช่างดีจริงๆ! เพราะธิดาย่อมรู้ว่าจะให้ความอุ่นใจและกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างไรนั่นเอง”
เสียงของเขาดังมาก เมื่อเจ้าเมืองโล่วฮัวได้ยินเข้า นางอายมากจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีหน้า
เป็นเพราะนางมีบิดานิสัยขวานผ่าซากแบบนี้ นางถึงต้องการซ่อนตัวอยู่ในหอทงเทียนชั้นสี่
“ช่างไร้ยางอายนัก!” จู่ๆ ฝูงคนก็ตกอยู่ในความอึกทึกวุ่นวาย ทว่าพวกเขาไม่ได้ตะโกนใส่ราชันย์ฟ้าบูรพา พวกเขากำลังตอบโต้คำพูดขององค์ชายสือจิน
กลับกลายเป็นว่าก่อนที่องค์ชายสือจินจะขึ้นเวที เขาได้เรียกอสูรสายเสริมพลัง ชั้นทองระดับ 6 ถึงสองตัวผสานเข้ากับตัวของเขา เขายังคงเรียกอสูรเกราะสายฟ้า ชั้นเงินระดับ 7 และแปลงมันเป็นเกราะสายฟ้า และสุดท้ายเขาใช้อาวุธระดับทอง เป็นดาบโค้งเรียกว่าดาบกลืนจันทร์
เขาสัญญาเย่ว์หยางว่าจะแข่งด้านวิทยายุทธ แต่ความจริงเขาเรียกอสูรสายเสริมพลังก่อนที่จะขึ้นเวที
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ละเมิดกฎการแข่งขันใดๆ ก็ตาม แต่วิธีนี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชม
ผู้ชมนับจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมใจกันชูนิ้วกลางให้เขา
ต่อให้องค์ชายสือจินชนะ ก็จะไม่มีผลประทับใจที่ดีอะไรต่อเขา ทุกคนอยากบูชาและเทิดทูนนักรบผู้แข็งแกร่งและเกลียดแผนการของผู้ที่ถนัดในการโกง
“นักเรียนไตตัน, เจ้าต้องการเวลาเตรียมตัวสู้ไหม? เจ้ามีเวลาเตรียมตัวสามนาที!” หัวหน้ากรรมการก็ทนไม่ได้เช่นกัน ถ้าพวกเขาทั้งสองคนตกลงใจจะแข่งขันกันด้วยวิทยายุทธและยินยอมให้เรียกอสูรเสริมพลังผสานเข้าในตัวพวกเขา เขาก็ยังจะไม่ว่าอะไร อย่างไรก็ตาม องค์ชายสือจินเรียกอสูรสายเสริมพลังที่แข็งแกร่งตั้งแต่อยู่ข้างล่างเวทีและพยายามสู้กับนักเรียนไตตันที่ไม่ได้เรียกอสูรสายเสริมพลังในตัวเลย ถือว่าไม่ให้เกียรติกันอย่างมาก
“ไม่มีความจำเป็น ในฐานะสวะคนหนึ่ง ข้าเคยถูกคนอื่นๆ รังแกมาแล้ว ข้าแค่หวังว่าองค์ชายสือจินจะไม่รังแกข้ามากเกินไปนัก มิฉะนั้นข้าอาจร้องไห้ก็ได้นะ” เย่ว์หยางโบกมือและสั่งให้นางพญากระหายเลือดและตั๊กแตนมรณะลงจากเวที “พวกเจ้าทั้งสองลงไปก่อน ถ้าทูตมังกรชังหลันวี่และเสวี่ยทันหลางอยากจะชี้แนะข้าสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้ เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน ข้าค่อยขอให้พวกเจ้าช่วยอีกครั้งก็ได้”
“เฮ… ดี ดีมาก!” มหาชนตื่นเต้นกันขนานใหญ่
แม้ว่าจะกลับกลายเป็นว่านักเรียนไตตันผู้นี้จะไม่ใช่คนบอด แต่เขาไม่ธรรมดาแน่นอน เขาตั้งใจจะเอาชนะคู่ต่อสู้ผู้แข็งแกร่งในวันเดียว น่าเสียดายที่วีรสตรีทวนมังกร, เหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่สาม มิฉะนั้นบางทีเขาอาจจะสู้กับพวกนั้นต่อไปและคว้าชัยชนะเลิศหลังจากเอาชนะทุกคนในกลุ่มสามรอบแพ้คัดออกก็ได้
สีหน้าของทูตมังกรชังหลันวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พอเขามองดูเสวี่ยทันหลางและตระหนักได้ว่าสีหน้าของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จึงไม่กล้าแสดงความกลัวให้ปรากฏในสายตา ดังนั้นชังหลันวี่สงบจิตใจได้มาก
เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง จะเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเขาไม่ได้พยายามสู้อย่างสุดฝีมือ
จะเป็นยังไงบ้างถ้าแพ้?
องค์ชายสือจินไม่ได้แสดงสีหน้าให้เห็นในภายนอก แต่ในใจเขาไม่พอใจอย่างมาก พวกเขายังไม่ทันได้เริ่มต่อสู้ แต่เย่ว์หยางกลับคิดข้ามไปเลยว่าเขาจะชนะแล้วหรือ?
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะและใครจะเป็นผู้แพ้จนกว่าจะสู้ถึงที่สุด!
องค์ชายสือจินข่มความโกรธในใจและกระโดดขึ้นเวที
*************