===============
เย่ว์หยางใช้แหวนลิชของเขาเก็บศพของหลิวเฮ่อและบุรุษร่างกำยำไว้ เขาไม่ยอมพลาดแม้แต่ร่างของอสูรเสือดาว
เกี่ยวกับการกระทำของเขา ทำให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนสงสัยมาก
นางไม่รู้ว่าเย่ว์หยางใช้ศพเลี้ยงอสูรของเขา นางคิดว่าเย่ว์หยางเป็นเด็กที่ไร้ยางอายผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทุกอย่างที่เขาเก็บได้ นางไม่เคยคิดว่าปีศาจดอกหนามวิวัฒนาการโดยใช้ศพนักรบ สำหรับหญิงงามลึกลับอู๋เสีย นางมีความรู้มาก นางคงคาดเดาได้บ้าง อย่างไรก็ตามนางไม่พูดอะไร กลับช่วยเก็บความลับของเย่ว์หยางไว้
ถ้าเย่ว์หยางเรียกปีศาจดอกหนามของเขาออกมา องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนคงจะแปลกใจที่พบว่าปีศาจดอกหนามชั้นทองแต่เดิมนั้น ตอนนี้ยกระดับเป็นอสูรชั้นเพชรไปแล้ว
ความเร็วในการยกระดับขนาดนี้ นอกจากอสูรสายพฤกษาแล้ว อสูรสายอื่นมิอาจเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อกำหนดที่เข้มงวดที่จะยกระดับไปเป็นชั้นเพชร ไม่ใช่ว่าอสูรโดยทั่วไปจะสามารถยกระดับกันได้
แน่นอนว่า แม้ว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถามเย่ว์หยาง เขาก็คงจะโกหกและพูดแถว่าปีศาจดอกหนามยกระดับได้เร็วเพราะได้ประสบการณ์ในวิหารสิบสองนักษัตร
ปีศาจดอกหนามในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เด็กหญิงอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้นางมีรูปลักษณ์ของหญิงสาวอายุ 15-16 ปี ตราบใดที่นางยังคงได้รับวิวัฒนาการแปลงรูป นางจะกลายเป็นอสูรสายพฤกษาที่แข็งแกร่งที่สุด นางพญาดอกหนามมงกุฎทอง จากนั้นนางก็จะกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือสูงกว่า ปีศาจดอกหนามในปัจจุบันได้รับปัญญามาเพียงพอแล้วหลังจากผ่านด่านสิบสองนักษัตร ดูเหมือนว่าอีกไม่นาน เย่ว์หยางจะสามารถประสบความสำเร็จสร้างนางพญาดอกหนามมงกุฏทองเลียนแบบตนเดิมที่สามารถสังหารทัพปีศาจทั้งหมดและจ้าวปีศาจคุกโลหิตผู้ยิ่งใหญ่สองตนเมื่อสามพันปีก่อน นางพญาดอกหนามมงกุฎทองของเย่ว์หยางอาจแข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษของนาง เพราะเขาบ่มเพาะต้นดอกหนามด้วยศพของนักสู้ปราณก่อกำเนิดหลายศพและเพิ่มความฉลาดให้นางด้วยการผ่านด่านสิบสองนักษัตร
ที่สำคัญที่สุด นางแข็งแกร่งขึ้นจากอักษรรูนโบราณและเลือดของเย่ว์หยาง โดยที่เย่ว์หยางไม่รู้
“เราจะไปไหนกันต่อ?” หลังจากเดินผ่านบันไดยักษ์ของทางผ่านโบราณ เจ้าเมืองโล่วฮัวพบว่ามีทางแยกสามทางอยู่ข้างหน้าพวกเขา
“กลิ่นคาวเลือดรุนแรงมาจากทางด้านซ้าย มีกลิ่นของเผ่าปีศาจบูรพาอยู่ทางขวาและดูเหมือนจะมีกลิ่นมนุษย์อยู่ตรงกลาง นอกนั้นข้าไม่ได้กลิ่นเลยจริงๆ เจ้าตัดสินใจว่าเราจะไปกันทางไหน?” ทักษะหกรับรู้ขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแหลมคมมาก แต่ความรู้สึกที่นางจับได้จากทางตรงกลางช่างแปลกจริงๆ นางไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน
“อย่างนั้นมาเสี่ยงหัวก้อยกัน” เย่ว์หยางล้วงเหรียญทองออกมา
“……” สี่สาวพูดไม่ออก
เย่ว์หยางหัวเราะ เขาแค่ล้อพวกนางเล่นเมื่อเขาบอกว่าจะเสี่ยงทายเหรียญ หลังจากยกระดับพลังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาก้าวหน้าอย่างมาก เขามองเห็นแผนเบี่ยงเบนของศัตรูที่วางกับดักรอพวกเขา
กลิ่นเลือดสามารถสร้างขึ้นได้โดยการโปรยเลือดลงบนพื้น ขณะที่กลิ่นของเผ่าปีศาจบูรพาถูกสร้างด้วยความมุ่งหมายหลอกให้คนเดินเข้าไป
ในทางตรงกันข้าม พวกเขาไม่สามารถปกปิดกลิ่นมนุษย์ได้
เผ่าปีศาจบูรพาได้พาเชลยผ่านตรงทางโบราณเส้นกลางไป ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเพิ่งออกไปจากตรงนั้น
หลังจากไล่ตามกลิ่นมาราวๆ สิบกิโลเมตร เย่ว์หยางและสี่สาวก็พบรอยเลือดบนพื้น
หลังจากไล่ตามไปอีกไม่กี่กิโลเมตร พวกเขาพบอสูรหมีคนพี่ที่แบกเหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาจากไปนอนตายอยู่บนพื้น เขากลับคืนสู่ร่างเดิมอสูรหมีอีกเช่นกัน ร่างของเขาใหญ่พอๆ กับเนินเขาย่อมๆ แต่เห็นได้ชัดว่าอสูรหมีคนพี่นี้ถูกสังหารด้วยหมัดมรณะ ต่อยเข้าที่ศีรษะเขาจนกะโหลกแตก สีหน้าของสี่สาวเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำเมื่อพวกนางเห็นอานุภาพของพลังหมัดที่น่ากลัว
ใครคือนักรบผู้แข็งแกร่งที่สามารถสังหารอสูรหมีดำคนพี่ได้ด้วยหมัดเดียว? ถ้าเขาไม่ใช่มนุษย์ อย่างนั้นเขาเป็นใคร?
มีโอกาสสูงที่มันคือผู้ทรยศที่แข็งแกร่งที่เราไม่รู้จักจากทวีปมังกรทะยานเหมือนกับหลิวเฮ่อและบุรุษร่างกำยำที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดพวกนั้น เขาอาจแข็งแกร่งกว่าพวกนั้น
วัตถุประสงค์ของพวกเขาคือตอกลิ่มความแตกแยกระหว่างเผ่าปีศาจแดนบูรพาและชาวทวีปมังกรทะยาน เพื่อให้พวกเขาทำสงครามระหว่างกัน ดังนั้น พวกเขาต้องมีแผนการใหญ่
“คิดกลับกัน เพื่อหลบหนีจากคนทรยศผู้นี้ เผ่าปีศาจบูรพาต้องพยายามหนีด้วยความเร็วเต็มที่ ข้าคิดว่าเราจะไม่สามารถตามพวกเขาได้ทัน ประการที่สอง ยังจะคงมีหวังถ้าเรารอดชีวิตกลับไป ทั้งนี้เพราะคนทรยศผู้นั้นต้องการฆ่าเราและป้ายความผิดไปที่เผ่าปีศาจบูรพา ตอนนี้เราตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ก่อนที่ศัตรูจะพบเจอเรา เราควรจะรีบออกไปจากที่นี่” จู่ๆ อู๋เสียก็ยื่นข้อเสนอ
“เย่ว์หยาง! ข้าคิดว่า เราควรจะเปลี่ยนแผน ก่อนหน้านี้ เมื่อเราไล่ตามเผ่าปีศาจบูรพา แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังไม่เริ่มฆ่าเราทันที พวกเขาไม่ใช่ศัตรูที่จะฆ่าเราทันทีที่เห็น อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ข้าสงสัยว่าคนทรยศจากทวีปมังกรทะยานได้สมคบคิดกับคนทรยศจากเผ่าปีศาจบูรพาวางแผนนี้ขึ้นมา เราควรจะกลับไปในที่ปลอดภัยก่อนและรอให้จื้อจุน, จักรพรรดินีราตรีและผู้เฒ่าหนานกงกลับมาจากหอทงเทียนชั้นสิบก่อน นั่นน่าจะเป็นการดำเนินการที่ดีที่สุด ถ้ามีเพียงสมาชิกเผ่าปีศาจบูรพาอยู่ที่นี่ ข้าก็จะไม่ว่าอะไรถ้าเราจะไล่ตามต่อจนกว่าจะพบคนที่ถูกลักพาตัวไปและช่วยพวกเขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าพวกที่เราต้องปกป้องมากที่สุดก็คือพวกเราเอง!” หญิงงามอู๋เหินช่วยแนะนำเย่ว์หยาง เพราะมีความเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกเขาต้องเปลี่ยนแผนเดิมของพวกเขา
“พี่โล่วฮัว, ท่านคิดว่าไง?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนต้องการจะช่วยบิดานางกลับ แต่นางก็ไม่ถึงกับไร้เหตุผล
“ใช่ ข้าขอแสดงความเห็นหน่อยนะ จนถึงตอนนี้ เรายังไม่พบศพมนุษย์คนใดเลย ดูเหมือนว่าคนที่ถูกลักพาตัวไปยังไม่ตกอยู่ในอันตราย ศพที่เหลืออยู่เบื้องหลังก็เป็นนักรบเผ่าปีศาจบูรพาทั้งนั้น เราไม่เห็นมนุษย์คนใดถูกทำร้าย ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นความจริงที่ว่าเผ่าปีศาจบูรพาคุ้มครองตัวประกันเป็นอย่างดี หมายความว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจทำร้ายพวกเรา” เจ้าเมืองโล่วฮัวยังคงบ่งบอกในทีว่าตัดสินใจยกเลิกการไล่ตาม การช่วยเหลือบุคคลที่พวกเขารักเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน แต่พวกเขาต้องไม่ตกไปอยู่ในกับดักของศัตรู คงเป็นเรื่องที่น่าอดสูถ้าเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
“อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นใด?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยังคงถามความเห็นของเย่ว์หยางจนได้
ถ้าเจ้าเด็กนี่ตัดสินใจไล่ตามศัตรูจนถึงที่สุด นางก็จะตามเขาไป ทั้งนี้เป็นเพราะทางเลือกทั้งสองไม่ว่าจะเป็นไปไล่ตามต่อไปหรือจะกลับก็เป็นเรื่องยากสำหรับนาง
จู่ๆ เย่ว์หยางก็ให้พวกนางเงียบเสียง พลางชี้บอกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ข้างหน้า
สี่สาวกลับกังวลทันที ทั้งนี้เพราะพวกนางไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ศัตรูล้อมพวกเขาไว้โดยไม่รู้ตัวหรือ? เย่ว์หยางไม่พูดอะไร เย่ว์หยางนำสี่สาวกลับไปที่สี่แยกและไปทางซ้ายที่มีกลิ่นคาวเลือดรุนแรง ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำบนผนังรอคอยอย่างเงียบเชียบ
ต่อมาราวๆ สองนาทีหลังจากเย่ว์หยางและสี่สาวเพิ่งออกจากเส้นทาง มีร่างสองร่างวิ่งมาที่สี่แยกอย่างรวดเร็ว ทั้งสองร่างนั้นแยกกันไปคนละทางหนีเอาชีวิตรอด
ร่างหนึ่งตรงไปทางที่เย่ว์หยางและสี่สาวซ่อนตัว
ร่างนั้นลอยผ่านพวกเขา แต่แล้วมันหมุนตัวและเข้ามาในถ้ำบนผนัง
เมื่อร่างนั้นวิ่งเข้ามาในถ้ำ ก็ต้องแปลกใจ เมื่อมันพบว่าเย่ว์หยางและสี่สาวก็อยู่ที่นั่นด้วย เย่ว์หยางและสี่สาวก็ประหลาดใจมากเช่นกัน เพราะเจ้าของร่างที่อยู่ในสภาพทุลักทุเลเต็มไปด้วยบาดแผล ความจริงก็คือทูตพยัคฆ์บินผู้หยิ่งยโสนั่นเอง สารรูปของทูตพยัคฆ์บินในตอนนี้ ดูน่าสมเพชเหมือนขอทานน้อยถูกไล่ล่าเข้าไปในตรอกซอกซอย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่เข้าใจ สมาชิกเผ่าปีศาจบูรพาผู้แข็งแกร่งอยู่ในสภาพอเน็จอนาถเหมือนกับสุนัขจรจัดได้อย่างไร?
“ชู่วว์!” ทูตพยัคฆ์บิน บอกให้นางเบาเสียง
ดูเหมือนเขาไม่เคยอยู่ในสภาพน่าสมเพชต่อหน้าเย่ว์หยาง, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นๆ ที่เป็นเด็กมนุษย์และเยาว์วัยกว่าเขามาก แต่สถานการณ์บังคับให้เขาต้องเก็บความรู้สึกอึดอัดของเขา
หน้าของเขาแสดงถึงความละอายเล็กน้อย
ในที่สุด ทูตพยัคฆ์บินก็บอกความจริงพวกเขา “มีคนทรยศที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดประมาณสิบคนเป็นคนจากทวีปมังกรทะยานของพวกเจ้า พวกมันสมคบคิดกับเผ่าปีศาจตะวันออกของเรา เมื่อเรากลับมา พวกมันเตรียมลอบทำร้ายพวกเรา เพื่อจะปกป้องกลุ่มน้อยๆ ของพวกเรา ข้ารั้งอยู่เพื่อหยุดพวกเขา แต่จำนวนศัตรูมีเพิ่มขึ้น ดังนั้นจินจิง (อสูรคะนองตาทอง) และข้าถูกบีบบังคับให้ทำลายประตูเทเลพอร์ตของทางผ่านโบราณ เราแยกย้ายกันเพื่อไปรวมตัวกันอีก… ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่? อย่าบอกข้านะว่า พวกเจ้าไล่ตามพวกเรามา? จะมีประโยชน์อะไร ที่เจ้าไล่ตามพวกเราด้วยคนเพียงไม่กี่คน? แม้ว่าเราจะคืนตัวประกันให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถไปจากเส้นทางโบราณนี้ได้”
เย่ว์หยางยิ้มเล็กน้อย “ทูตพยัคฆ์บิน ตอนนี้ ท่านควรจะห่วงเรื่องของตัวเองก่อน
ทูตพยัคฆ์บินใช้สายตาว่างเปล่าจ้องมองเย่ว์หยางก่อนหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่าบอกนะว่า พวกเจ้าคิดจะฆ่าข้า? ต่อให้ข้าบาดเจ็บหนัก ข้าก็ยังสามารถจัดการพวกเจ้าได้ในกระบวนท่าเดียว!”
เย่ว์หยางส่ายหน้า “ไม่, เราจะไม่โจมตีเจ้า แต่ข้าไม่เชื่อว่าสมาชิกเผ่าปีศาจตะวันออกที่ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกถ้ำจะคิดอย่างเดียวกัน อาคันตุกะที่รักของเรา เชิญเข้ามาเถอะ ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีงานอดิเรกชอบแอบฟัง แต่ข้าไม่คิดว่านั่นเป็นมารยาทที่ดีนะ”
“เด็กมนุษย์ผู้น่าสนใจ ข้าจำได้ว่ามังกรฟ้าบอกข้าไว้ก่อนว่าเด็กมนุษย์ผู้น่ากลัวคนหนึ่งปรากฏตัวในทวีปมังกรทะยาน เด็กคนนั้นน่ากลัวจะเป็นเขานี่แหละ ข้าเชื่อว่าเด็กนั่นก็คือเจ้า!” ที่ด้านนอกถ้ำ งูสองหัวที่มีลำตัวหนากว่าถังน้ำมีเกล็ดสีเขียวคลุมทั้งตัวเลื้อยเข้ามาข้างในอย่างเงียบกริบ บนหัวข้างซ้ายมีวงเวทดูคล้ายเป็นอสูรที่ทำสัญญา แต่ไม่มีอยู่บนหัวข้างขวา
นี่เป็นความแตกต่างประการเดียวระหว่างหัวงูสองหัว
หัวงูไม่เพียงแต่พูดภาษามนุษย์ได้เท่านั้น แต่มันสามารถแปลงเป็นมนุษย์ก็ได้
ในท่ามกลางควันหนาสีเขียว หัวงูทั้งสองเปลี่ยนรูปมนุษย์ที่ดูหดหู่ เกล็ดงูเปลี่ยนเป็นเกราะรบสวมอยู่บนร่าง
ตั้งแต่เอวลงไปไม่ใช่ขาของมนุษย์ แต่หางงูที่ยาว เย่ว์หยางเห็นความแตกต่างของอสูรหลายประเภทมาก่อน และเขารู้สึกแปลกเมื่ออสูรเปลี่ยนเป็นเกราะหรือผสานร่างกับเจ้านายมัน แต่เขาไม่เคยเห็นอสูรที่เชื่อมร่างกับเจ้านายมันสนิทเหมือนเป็นร่างเดียวกัน
เย่ว์หยางมองดูเจ้าผู้นี้แล้ว จากนั้นตะโกนไปที่ปากถ้ำอีกครั้ง “อย่านึกว่าเพราะเจ้าตัวดำแล้วจะซ่อนตัวจากข้าได้นะ!”
เมื่ออสรพิษสองหัวที่เปลี่ยนรูปเป็นมนุษย์ได้ยิน เขาหัวเราะลั่นและพูดว่า “เจ้าเต่าเฒ่า! ข้าบอกแล้วว่าเราซ่อนตัวจากเขาไม่ได้!”
มีเสียงต่ำของบุรุษตอบมาจากข้างนอก
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการซ่อน, ข้าแค่ปีนได้ช้า” ขณะที่พูด เต่ายักษ์ก็ปีนถึงทางเข้าถ้ำด้วยความเร็วปานสายฟ้า มันมีกระดองเต่าที่หลังขนาดพอกับเนินเขาย่อมๆ หัวของมันแทนที่จะเป็นหัวเต่า กลับเป็นหัวงูที่น่ากลัวมีเขี้ยวแหลมคม กรงเล็บของมันแหลมคมเหมือนสิงโต และหางของมันเป็นเหมือนแส้เพลิง
เจ้าเต่ายักษ์ลื่นและกลิ้งลงบนพื้นทันที
เย่ว์หยางคิดว่าเขาจะได้เห็นเต่าหงายดิ้นรนที่ไม่สามารถกลับตัวยืนด้วยเท้าได้ อย่างไรก็ตาม เต่ายักษ์มีแสงเปล่งออกมาทันทีและเปลี่ยนเป็นบุรุษตัวใหญ่โตสวมเกราะสีดำ ผิวของเขาดำและมีผมยาวประบ่า เล็บของเขาดำทั้งหมด และเขาคาดเข็มขัดดูคล้ายเปลวไฟอยู่บนเอวเขา บุรุษเกราะดำผู้นั้นสูงเกือบสามเมตร ร่างกายเขากำยำใหญ่โต แต่เขากลับเดินเหมือนกับว่าตัวเบาเหมือนขนนก เขามีวิธีเดินตามปกติเหมือนกับว่าเขาลอยอยู่ในอากาศ คล้ายกับว่าเขากำลังย่องเดินบนผิวน้ำ ไม่ว่ายังไงก็ตาม วิธีการเดินของเขาเป็นเรื่องแปลกที่อธิบายไม่ได้
ไม่ต้องรอให้เย่ว์หยางถาม บุรุษสวมเกราะดำรายงานลักษณะของเขาทันที “ข้ายังไม่เรียกตัวเองว่าเต่ามังกร ข้าคือเต่าอสรพิษหางไฟ อย่างไรก็ตาม ถ้าข้าฆ่าเจ้าและดูดพลังของเจ้ามาทั้งหมด ข้าก็สามารถวิวัฒนาการเป็นเต่ามังกรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข้าดูดพลังของพยัคฆ์บิน ก็จะเพิ่มพลังให้ข้าได้มหาศาล”
************