===============
ภายใต้การโจมตีกระหนาบ สร้างความเสียหายรุนแรงกับมนุษย์งูสองหัวปี้หลิน
แก้วหูของเขาแตก เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดในศีรษะของเขา หน้าของเขาครึ่งหนึ่งไหม้เกรียม อีกครึ่งหนึ่งมีน้ำแข็งปกคลุม แม้แต่เลือดที่ไหลออกมาจากจากปากเขาก็กลายเป็นน้ำแข็งหล่นแตกลงบนพื้น ก่อนที่หญิงงามลึกลับอู๋เสียจะจู่โจมเสร็จ ดาบยักษ์ขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็ฟันลงมาเต็มแรง แม้ว่าดาบยักษ์จะไม่สามารถฟันงูสองหัวจนขาดสองท่อน แต่ก็ฟันใส่กะโหลกเขาได้สำเร็จ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนใช้พลังโจมตีได้อย่างยอดเยี่ยม ที่สำคัญก็คือ มนุษย์งูสองหัวไม่มีพลังป้องกันแม้แต่น้อย ส่งผลให้เมื่อเขาถูกดาบยักษ์ฟันใส่ เลือดของเขาพุ่งกระจายขณะที่กะโหลกของเขาถูกกระแทกเป็นเสี่ยงๆ มันสมองเขาไหลออกมาในเวลาเดียวกัน
การโจมตีร่วมกันของอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้สร้างความเสียหายมากที่สุดที่จะส่งผลต่อมนุษย์งูสองหัว
ผู้ที่โจมตีปลิดชีพก็คือปีศาจอสรพิษน้อย เสี่ยวเหวินหลี
ดาบคู่ของเธอฟันใส่อกของมนุษย์งูสองหัวและแช่แข็งอวัยวะภายในร่างของเขาทั้งหมด ขณะที่เธอแปลงเป็นสายรุ้งลอยกลับเข้ามาในตัวเย่ว์หยาง และวางเม็ดพลังเปื้อนเลือดไว้ในมือเย่ว์หยาง นี่คือฝีมือสังหารของเสี่ยวเหวินหลี เธอดึงเอาเม็ดพลังออกมาจากตัวมนุษย์งูสองหัว
ร่างของชาวปีศาจบูรพาแข็งแกร่งมาก พวกเขาฟื้นคืนสภาพได้รวดเร็วมาก แม้ว่าร่างของเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องไม่สูญเสียเม็ดพลังของตนไป มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บหนัก ซึ่งอย่างหนักก็ถึงตาย
ไม่ใช่ว่ามนุษย์งูสองหัวจะไม่ระมัดระวัง แต่เพราะเขามัวแต่ระวังอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนที่เหลือ เขาคาดไม่ถึงว่าผู้ที่ลงมือสังหารเขาจะเป็นเสี่ยวเหวินหลีผู้ซ่อนอยู่ในร่างของเย่ว์หยาง
เนื่องจากทักษะพันธนาการที่เป็นทักษะแฝงของเสี่ยวเหวินหลี เขาจึงกลายเป็นกระสอบทรายมีชีวิตที่ถูกสับฟันโดยฝีมือศัตรู
บุรุษเกราะดำหัวเหว่ยผลุนผลันพุ่งเข้ามาหวังจะช่วยสหายของเขา
เขาโจมตีอย่างดุเดือด แต่การโจมตีของเขาไม่มีผลเมื่อเขาโจมตีใส่โล่แก้วผลึก เจ้าเมืองโล่วฮัวผู้ยืนอยู่ห่างจากเขายิงแสงอุษาที่รุนแรงใส่เขาทันทีจนเขากระเด็นออกไปไม่ให้เขาได้มีโอกาสบุกเป็นครั้งที่สอง ถ้าหัวเหว่ยไม่มีโล่เต่าวิเศษแล้ว บางทีเขาคงตามรอยเท้าสหายกลายเป็นเผ่าปีศาจบูรพาคนที่สองที่พลาดท่าล้มลงอยู่ต่อหน้าสี่นาง
“ไม่!” บุรุษเกราะดำหัวเหว่ยร้องอย่างปวดร้าวขณะที่เขาเห็นสหายของเขาล้มในสภาพน่าอนาถ
ผลของการเคลื่อนไหวผิดพลาด สหายของเขาถึงกับต้องสูญเสียหนักและกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง
บุรุษเกราะดำหัวเหว่ยปล่อยเปลวไฟออกมาขณะวิ่งไปหาสหายของเขา ประคองมนุษย์งูสองหัวผู้กลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง
น้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วขณะที่ได้รับความร้อนจากไฟที่ลุกโหม
ที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือมนุษย์งูสองหัวยังไม่ตายแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก
เขาค่อยๆ เปลี่ยนกลับไปเป็นร่างงูขนาดใหญ่ที่เป็นร่างเดิมขดตัวเข้ากับหัวข้างเดียวที่เหลือ ในท่ามกลางควันสีเขียว เขาแปลงร่างที่แปลกประหลาดเสร็จจนได้ ศีรษะงูอีกข้างหนึ่งที่ไม่เสียหายได้เปลี่ยนสภาพเป็นตัวเขาขณะที่หัวที่ถูกฟันเสียหายหนักเปลี่ยนสภาพเป็นหัวสัตว์อสูร อย่างไรก็ตาม แม้ว่างูสองหัวรักษาชีวิตตนเองไว้ได้ด้วยวิธีการแปลกประหลาดเปลี่ยนหัวเขาแทนหัวงู แต่เขาก็สูญเสียพลังไปมากมาย เขาไม่ได้ครอบครองพลังปราณก่อกำเนิดอีกต่อไป เนื่องจากเขาสูญเสียเม็ดพลังของเขา เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้เนื่องจากมีร่างของชาวปีศาจบูรพาที่แข็งแรง แต่ว่าแม้แต่นักสู้ระดับ 7 ก็ยังฟันเขาในตอนนี้ให้ขาดก็ยังได้
“ฟู่…” งูสองหัวแลบลิ้นยาวขณะหลบหนีออกไปจากถ้ำด้วยความเร็วสูงภายใต้การปกป้องของบุรุษชุดเกราะดำหัวเหว่ย
“เจ้าพยายามจะหลบหนีไปไหน?” แน่นอนว่าทูตพยัคฆ์บินต้องการถือโอกาสเอาเปรียบจากสถานการณ์ของเขา
ทูตพยัคฆ์บินสำรองพลังของเขาไว้ เนื่องจากเย่ว์หยางและสี่สาวยังอยู่ที่นี่เขากังวลว่าเสี่ยวเหวินหลีจะโจมตีเขาอย่างคาดไม่ถึงเหมือนอย่างที่เธอทำกับปี้หลิน อย่างไรก็ตาม ทูตพยัคฆ์บินยังคงเพิ่มพลังนักสู้ก่อกำเนิดของเขาอย่างไม่รีรอและแปลงร่างเป็นพยัคฆ์ร้ายที่มีสีสดใสทั้งมีปีกอยู่บนหลังของมัน เขาพุ่งเข้าหาและกัดงูสองหัวปี้หลินและบุรุษสวมเกราะหัวเหว่ยอย่างดุร้าย
ความตั้งใจของเขาคือฆ่าอสรพิษสองหัวปี้หลินเพื่อทำให้หัวเหว่ยคลั่งด้วยความโกรธ จากนั้นเขาตั้งใจร่วมมือกับเย่ว์หยางเอาชนะหัวเหว่ยด้วยกัน
ทูตพยัคฆ์บินเชื่อว่าเย่ว์หยางจะช่วยเขาฆ่าหัวเหว่ยตราบที่มีโอกาสดีที่เขาจะทำได้
อย่าว่าแต่หัวเหว่ยเลย ทูตพยัคฆ์บินเชื่อว่าเขายังอาจจะถูกฆ่าได้ถ้าเขาไม่ระมัดระวังตัว
เย่ว์หยางและสี่สาวมองดูอย่างไม่สนใจ คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถ้าปล่อยให้ทูตพยัคฆ์บินสู้กับศัตรู โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมือ
เดิมที พลังของหัวเหว่ยก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าทูตพยัคฆ์บิน แต่เพราะเขาต้องคอยปกป้องปี้หลินสหายผู้บาดเจ็บของเขา หัวเหว่ยทำได้เพียงแปลงภายกลับสู่ร่างเดิมของตน เต่าอสรพิษหางเพลิงและป้องกันการโจมตีของทูตพยัคฆ์บิน ในตอนแรก เขาต้องเป็นฝ่ายตั้งรับทูตพยัคฆ์บินอย่างต่อเนื่อง
เย่ว์หยางสังเกตว่าการต่อสู้นี้อาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ดังนั้นเขาไม่ก่อกวนสถานการณ์ต่อสู้และเริ่มศึกษาเม็ดพลังที่อยู่ในฝ่ามือเขาแทน
เม็ดพลังของงูนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกกับเขา
ดูเหมือนว่ามีพลังบางอย่างซ่อนเป็นความลับอยู่ข้างใน
เย่ว์หยางเชื่อมั่นในอสูรของเขา, อู๋เสีย, อู๋เหิน,องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัวและตัวเขาเองสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาได้มากตราบที่เขาเปิดเผยความลับของเม็ดพลังนี้ อาจบอกได้ว่าเม็ดพลังนี้อาจเป็นกุญแจไขพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาในอนาคต สี่สาวรู้ว่าเย่ว์หยางต้องต้องพบบางอย่างใหม่ๆ ทันทีที่พวกนางเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววครุ่นคิดของเย่ว์หยาง พวกนางทั้งสี่คนรีบมาล้อมรอบตัวเขาเพื่ออารักขาเขาจากการถูกศัตรูโจมตี เพื่อที่ว่าเขาจะได้มีสมาธิศึกษาความลับในเม็ดพลัง
สารานุกรมยาบันทึกเรื่องของเม็ดพลังไว้ แต่เป็นแค่เพียงเนื้อความคร่าวๆ เท่านั้น
แค่เพียงระบุไว้ว่าเม็ดพลังก่อตัวขึ้นหลังจากมีการสะสมพลังยาวนานและมักจะพบในร่างกายของสัตว์ เม็ดพลังก่อรูปขึ้นหลังจากสัตว์ดูดซับพลังวิญญาณของจักรวาล แน่นอนว่ามันครอบครองพลังที่มีอำนาจมาก
ถ้าอสูรดูดกลืนเม็ดพลังจากอสูรที่มีคุณสมบัติเดียวกัน ระดับของพวกมันจะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเกิดวิวัฒนาการเปลี่ยนรูป
ข้อเสียของเม็ดพลังก็คือว่ามันมีพลังมากเกินไปและมีการปนเปื้อนอยู่ในนั้นมาก
ถ้าสัตว์อสูรดูดซับเม็ดพลังจากอสูรที่มีคุณสมบัติต่างกัน ไม่เพียงแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างที่ดูดซับไปแล้วเท่านั้น แต่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์อสูรนั้นด้วย อาจเป็นเหตุให้สัตว์อสูรตายเนื่องพลังที่มากเกินไป…
เม็ดพลังเป็นของหายากในทวีปมังกรทะยาน แต่เป็นของมีทั่วไปในบรรดาชาวปีศาจบูรพา แม้ว่ามันจะคล้ายกับผลึกปีศาจของอสูรที่มีพลังปีศาจในทวีปมังกรทะยานก็ตาม แต่มันก็ยังมีความแตกต่างกัน พลังงานที่อยู่ภายในของเม็ดพลังนั้นมีพลังมาก แต่เม็ดพลังแทบทั้งหมดไม่ใช่ของแข็ง ทันทีที่เม็ดพลังถูกทำให้เป็นของแข็ง พลังของมันก็เทียบได้กับผลึกปีศาจธรรมดา พลังงานที่เก็บกักไว้ในเม็ดพลังจะยิ่งใหญ่กว่าผลึกมังกรที่ว่ากันว่ามีพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อีกจุดหนึ่งก็คือ แม้ว่าเม็ดพลังจะมีสิ่งปนเปื้อนอยู่มาก แต่ก็ยังสะอาดกว่าผลึกปีศาจมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น มันมักจะเชื่อมโยงกับวิญญาณเจ้าของเดิมได้ ดังนั้นเจ้าของเม็ดพลังจึงสามารถใช้เม็ดพลังของเขาโจมตีใส่ศัตรูตนเองได้
แน่นอนว่า เจ้าของเม็ดพลังอาจตายได้ ถ้าเม็ดพลังได้รับความเสียหาย
และในทำนองเดียวกัน จะเป็นเรื่องอันตรายหากว่ากลืนเม็ดพลังลงไปโดยที่เจ้าของยังไม่ตาย
เม็ดพลังเต้นตุ้บๆ อยู่ในฝ่ามือของเย่ว์หยาง อสรพิษสองหัวพยายามอยู่หลายครั้งที่จะดึงดูดเม็ดพลังกลับไปยังร่างของเขา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียกของที่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือเย่ว์หยางกลับคืนมาได้ เม็ดพลังถูกกลั่นด้วยพลังปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยางอย่างรวดเร็ว วิญญาณ, พลังชั่วร้ายที่เจือปนอยู่และคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นอื่นๆ จะถูกขับออกไปด้วยพลังปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยางตั้งแต่แรก เย่ว์หยางแค่ทำไปด้วยความรู้สึกป้องกันไม่ให้งูสองหัวปี้หลินเรียกเม็ดพลังของเขากลับคืนไป เขาต้องการแยกแยะสารปนเปื้อนออกไป เพื่อที่ว่าเขาจะได้เก็บเม็ดพลังไว้เพื่อศึกษามัน
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางเริ่มตระหนักถึงบางอย่าง ขณะที่เขาใช้ปราณก่อกำเนิดของเขาแยกจิตสำนึกเดิมของเม็ดพลังออกไป
เขาไม่อาจอธิบายการตอบสนองที่แปลกได้
ขณะที่เขาชำระเม็ดพลังด้วยปราณก่อกำเนิดของเขา การตอบสนองก็ยิ่งรุนแรงขึ้นและเขาก็เริ่มทำความเข้าใจมันได้
“ข้าต้องใช้ไฟ ใช่แล้ว ข้าจำเป็นต้องกลั่นมันด้วยไฟ!” เย่ว์หยางใช้พลังหยางปล่อยเปลวเพลิงสีม่วง เขากลั่นเม็ดพลังในฝ่ามือตามความเข้าใจของเขา
อสรพิษสองหัวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง กลับตรงกันข้าม ดูมันตกอยู่ในความเจ็บปวดขณะที่ปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยางเริ่มขับจิตสำนึกออกจากเม็ดพลัง
เมื่อเย่ว์หยางกลั่นมันด้วยเพลิงม่วง มันร้องโหยหวนและล้มลงกับพื้นทันที
แม้ว่ามันจะไม่ตาย แต่มันก็ครวญครางขณะที่ร่างของมันขยายใหญ่และหยาบอย่างรวด ตรงกันข้ามกับพลังของมันที่ลดลงต่อเนื่อง เมื่อมันกลายเป็นงูที่มีร่างใหญ่โตกว่าถังน้ำ พลังของมันได้เสื่อมถอยกระทั่งอยู่ในระดับเดียวกับอสูรทองระดับ 5 ในทวีปมังกรทะยาน เมื่อเม็ดพลังของมันถูกชิงไปได้ ถ้าปี้หลินสามารถเอาเม็ดพลังของมันกลับคืนมาได้ ปี้หลินก็ยังมีหวังฟื้นคืนพลังก่อกำเนิดของตนคืนมาได้.. แต่ว่า พร้อมๆ กับที่เย่ว์หยางกำลังชำระเม็ดพลัง เงื่อนไขของเขาก็ยิ่งย่ำแย่หนักเมื่อเวลาผ่านไป เขาสูญเสียเม็ดพลังไปอย่างถาวร เขาค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างเดิมในสภาพงูยักษ์ และพลังของเขาได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก
ปี้หลินอาจจะอ่อนแอกว่างูยักษ์อสูรทองระดับ 5 ถ้าเขาไม่มีปัญญา
แม้แต่ทูตพยัคฆ์บินก็ไม่สนใจจะฆ่าเขาแล้วในตอนนี้
ทูตพยัคฆ์บินเห็นว่าเป็นเรื่องยากสำหรับปี้หลินที่จะกลับมามีความสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แม้ว่าเขาจะบำเพ็ญตบะอีกพันปีก็ตาม แม้ว่าเขาไม่ถึงกับตายในเวลานี้ แต่ก็หมดโอกาสที่จะกลับมาอยู่ในขอบเขตนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้อีก
เย่ว์หยางยังคงกลั่นเม็ดพลังไม่เสร็จ แต่มันเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น
ขนาดของเม็ดพลังเล็กกว่าเดิมเท่าตัว หลังกลั่นด้วยเพลิงม่วงของเย่ว์หยางถึงเก้าครั้ง มันมีประกายสดใสเหมือนไข่แดง มีแสงทองแพรวพราวกระจ่างใสแต่นวลตา แม้แต่คนตาบอดก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นเม็ดพลังที่มีค่า มันบริสุทธิ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ถ้าผู้ใดกลืนมันลงไปก็จะส่งผลเปลี่ยนแปลงต่อพลังของเขาหรือนางได้อย่างชัดเจน
ทั้งสี่นางมองดูเม็ดพลังในมือของเย่ว์หยางอย่างมีความสุข พวกนางไม่เคยคิดว่าเม็ดพลังสามารถใช้วิธีนี้กลั่นออกมาได้
ถ้ามีเม็ดพลังให้สัตว์อสูรได้ดูดกลืนมากมายพอ ก็จะทำให้พลังของสัตว์อสูรวิวัฒนาการได้รวดเร็วมิใช่หรือ?
“เม็ดพลังนี้มีคุณสมบัติยังไงหรือ? สัตว์อสูรชนิดใดจะใช้มันได้ดีที่สุด?” หญิงงามอมโรคจะมีความสนใจค้นคว้าเป็นพิเศษ ถ้านางไม่ได้อยู่ในสนามต่อสู้ในตอนนี้ นางคงบันทึกรายละเอียดทุกออย่างแล้ว
“ข้ายังกลั่นไม่เสร็จ ข้าต้องกลั่นมันอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อกลั่นเสร็จแล้ว คุณสมบัติของเม็ดพลังจะเป็นกลางและอสูรชนิดใดๆ ก็ใช้มันได้” เย่ว์หยางยังไม่พอใจกับการกลั่นเม็ดพลังนี้ ตามความเข้าใจของเขา ยังเป็นไปได้ที่จะกลั่นเม็ดพลังนี้เพิ่มอีก มันมีพื้นฐานที่อาจเปลี่ยนได้ แต่เปลวเพลิงที่จำเป็นต้องเอามาใช้กลั่นอีกครั้ง ต้องมีระดับสูงกว่านี้ เช่น พลังกสิณไฟ
เย่ว์หยางไม่มีของแบบนั้น
แต่ว่า เขามีเพลิงอมฤต
จะใช้เพลิงอมฤตกลั่นเม็ดพลังเหมือนอย่างใช้พลังกสิณไฟได้ไหม? เย่ว์หยางไม่เคยลองดู แต่เขาคิดว่าความคิดเช่นนั้นอาจใช้ได้
อย่างไรก็ตาม มันเป็นแค่การทดลอง ถ้าประสบผลสำเร็จ อย่างนั้นก็พิสูจน์ว่าเพลิงอมฤตสามารถเอามาใช้กลั่นเม็ดพลังได้ จากนั้นเย่ว์หยางก็จะมีแรงจูงใจให้สู้กับเผ่าปีศาจบูรพาและชิงเอาเม็ดพลังของพวกเขา แต่ถ้าล้มเหลว ก็ไม่ถึงกับแย่เกินไป ถือว่าเสียค่าโง่เม็ดพลังไปหนึ่งลูก
เย่ว์หยางกังวลว่าเม็ดพลังจะไหม้ได้ถ้ามีการใช้เพลิงอมฤตมากเกินไป
เขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะควบคุมเพลิงอมฤต เพื่อให้มันเปล่งประกายอยู่แค่ฝ่ามือของเขา เขาใช้เปลวเพลิงที่น้อยที่สุดกลั่นเม็ดพลังซึ่งบริสุทธิ์อยู่แล้ว
หญิงงามลึกลับอู๋เสีย, หญิงงามอมโรคอู๋เหิน, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและรออย่างใจจดใจจ่อแทบลืมหายใจขณะที่ดูเย่ว์หยางกลั่นเม็ดพลัง
เม็ดพลังละลายอย่างรวดเร็วภายใต้เพลิงอมฤตจนดูเหมือนน้ำแข็งที่ถูกไฟเผาลน
ตอนแรกเย่ว์หยางก็ตกใจขณะที่เขาคิดว่าคงล้มเหลวในการกลั่น
อย่างไรก็ตาม เม็ดพลังขนาดลูกปิงปองก็หยุดลดขนาดเมื่อมันมีขนาดเหลือเท่าลูกปัด เม็ดพลังเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันสว่างสุกใสตอนนี้เป็นประกายใสบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน สิ่งที่เหลืออยู่เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานนี้เป็นพลังที่ได้รับการกลั่นและเปลี่ยนแปลงกระทั่งมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันมีคุณสมบัติเป็นกลางและมีความเข้มข้นมากอยู่ในพลังงานนั้น เหมือนกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนแล้ว
แสงแพรวพราวงดงามฉายส่องออกมาจากในฝ่ามือของเย่ว์หยางโดยไม่มีอะไรขวาง
เมื่อเย่ว์หยางแบมือออก บนเพดานถ้ำก็มีแสงฉายส่องสว่างไสว เม็ดพลังที่ดูเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยในมือเย่ว์หยางฉายแสงสว่างสดใส
ทูตพยัคฆ์บินและบุรุษชุดเกราะหัวเหว่ยที่กำลังสู้กันอีกด้านหนึ่ง ถึงกับตื่นตะลึงเหม่อมองดูและหยุดสู้กันโดยปริยาย
เม็ดพลังนั้นคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยฝันเลยว่าจะมีอยู่
ถ้าพวกเขาไม่มาเห็นด้วยตัวเอง พวกเขาไม่มีทางคาดได้ว่าเม็ดพลังสามารถปล่อยพลังงานที่ยิ่งใหญ่และแสงแพรวพราวได้ เด็กมนุษย์ผู้นี้ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าสถานะที่แท้จริงของเขาก็คือปรมาจารย์ด้านเล่นแร่แปรธาตุ? เขากลั่นเม็ดพลังโดยไม่ใช้หม้อกลั่นใดๆ เลยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ได้อย่างไร?
ทูตพยัคฆ์บินและหัวเหว่ยรวมทั้งปี้หลินที่กลายเป็นงูยักษ์ไปแล้วมองดูเย่ว์หยางอย่างละโมบ
พวกเขาคิดว่าถ้าสามารถจับตัวเจ้าเด็กนี่กลับไปพร้อมกับพวกเขาและบังคับให้เขาช่วยพวกเขากลั่นเม็ดพลัง ภายใต้การวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเป็นราชันย์เผ่าปีศาจได้
***************