===============
“ข้ายังจะอยู่ดู เผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” เย่ว์หวี่เสนอความเห็นที่จะขออยู่ในตอนนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่น้องชายของนางจะฝึกเพื่อให้เชี่ยวชาญพลังในขอบเขตใหม่ แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญพลังวารีและมีเสวี่ยอู๋เสียคอยช่วยก็ตาม แต่นางก็ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้ นางเกรงว่าเย่ว์หยางจะสูญเสียการควบคุมตนเองระหว่างฝึก เย่ว์หวี่ไม่ต้องการให้เย่ว์หยางได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนางรู้สึกว่านางควรจะอยู่ต่อ เพื่อที่ว่านางอาจช่วยเขาได้ อย่างน้อยก็ช่วงสำคัญในการฝึกของเขา
“ก็ดีเหมือนกัน” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวแอบปลื้มใจขณะที่พวกนางมองหน้าและยิ้มให้กัน
พวกนางเตรียมใช้ความสามารถเต็มที่เพื่อให้เย่ว์หวี่มั่นใจ แต่ดูเหมือนพวกนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเสียแล้ว
อี้หนานกับเย่ว์ปิงได้แต่มองคนอื่นๆ ด้วยความอิจฉา พวกนางทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่พวกนางต้องทำคือรอคอยอย่างว่าง่ายไม่สร้างความลำบากใจให้พี่ๆ น้องๆ
ฮุยไท่หลางนอนอยู่ในสวนยังคงหลับลึก
ร่างของมันยังคงปรับตัวเข้ากับพลังงานจากเม็ดพลังของหัวเหว่ย บางครั้งก็มีควันและไฟพ่นออกมาจากจมูกของมัน หางของมันค่อยๆ กลายเป็นไฟ เย่ว์หยางไปเยี่ยมมัน 2-3 ครั้ง ถ่ายพลังปราณก่อกำเนิดให้มันทุกครั้งเพื่อช่วยให้มันซึมซับพลังงานจากเม็ดพลังได้เร็วยิ่งขึ้น
แม้ว่าความเร็วในการดูดซับพลังงานในเม็ดพลังของฮุยไท่หลางจะเร็วมากกว่าอสูรชนิดอื่นเป็นร้อยเท่า แต่เม็ดพลังของหัวเหว่ยก็ยังเป็นเม็ดพลังระดับปราณก่อกำเนิด พลังของมันมหาศาล ฮุยไท่หลางไม่สามารถดูดกลืนพลังงานทุกอย่างในระยะเวลาสั้นๆ ได้ เย่ว์หยางคาดว่ามันจะหลับลึกไปนานอย่างน้อยครึ่งเดือนหรืออาจมากกว่านั้น เพื่อดูดซับพลังจากเม็ดพลังได้เต็มที่
ยามนั้น เย่ว์หยางไม่อาจรอเพื่อจะเห็นว่าพลังของมันเพิ่มขึ้นมากขนาดไหน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฮุยไท่หลางจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม มันก็ยังไม่แข็งแกร่งที่สุด นางพญากระหายเลือดยังดูดกลืนเม็ดพลังของขุนพลเผ่าปีศาจซือเตียวได้เร็วกว่าฮุยไท่หลาง โคเงาอาหมันก็ได้รับเม็ดพลังของขุนพลปีศาจกินฝัน
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือปีศาจดอกหนาม เย่ว์หยางเพิ่งตั้งชื่อให้นางว่า “ตั่วตั่ว” ไม่เพียงแต่กินศพตวนมู่และหลินเฮ่อที่เป็นนักรบปราณก่อกำเนิดเท่านั้น แต่ยังกินศพพี่น้องเหมยฮัว, พี่น้องหมีดำ, ปี้หลิน, หัวเหว่ย, ทูตพยัคฆ์บินและแม้กระทั่งแม่ทัพเผ่าปีศาจมังกรเก้าหัว
แม้ว่าเม็ดพลังจะถูกดึงออกมาจากร่างของพวกเผ่าปีศาจบูรพาแล้วก็ตาม แต่พวกนั้นก็ถูกลากกินได้สบายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สองศพเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์
ปีศาจดอกหนามนี้น่าจะยกระดับขึ้นเป็นนางพญาดอกหนามมงกุฏทองทันทีที่นางย่อยศพเหล่านั้นหมด
นางจะมีทักษะพลังต่อสู้ที่น่ากลัวของนางพญาดอกหนามมงกุฎทองที่เมื่อสามพันก่อน นางได้กำจัดกองทัพปีศาจได้ง่ายและสังหารจ้าวปีศาจคุกโลหิตถึงสองตนได้?
เย่ว์หยางไม่เคยสงสัยว่าเขาจะสามารถบ่มเพาะนางพญาดอกหนามมงกุฎทองได้ ตอนนี้ นางจะแข็งแกร่งกว่านางพญาดอกหนามมงกุฏทองของเซียนดอกหนามเสียอีก
สำหรับเสี่ยวเหวินหลี เย่ว์หยางให้เม็ดพลังของแม่ทัพปีศาจเก้าหัวกับเธอ เพื่อที่ว่าเธอจะได้ดูดซับเม็ดพลังและยกระดับ
แต่เธอโบกมือปฏิเสธที่จะรับมัน
ปีศาจอสรพิษน้อยนี้สามารถปลุกพลังของตัวเธอเองได้ เธอไม่จำเป็นต้องดูดกลืนพลังภายนอกใดๆ เพื่อการเติบโตเลย ถ้าจำเป็นต้องดูดกลืนพลังบางอย่าง เธอจะดูดกลืนปราณก่อกำเนิดของเย่ว์หยาง นี่เป็นพลังบริสุทธิ์อย่างเดียวที่เธอชอบ เธอจะเบือนหน้าหนีของอื่นๆ อย่างเช่นผลึกมังกรและเม็ดพลัง เย่ว์หยางคาดว่าแม่หนูจุกจิกผู้นี้เลือกกินอาหาร เพราะเขาตามใจเธอด้วยพลังเขา
อสูรคนอื่นคงไม่ทำอย่างนั้น
ถ้าเป็นอสูรของคนอื่นๆ แทน อย่าว่าแต่เม็ดพลังเลย แม้ว่าพวกมันได้รับผลึกมังกร พวกมันก็ดีใจจนแทบคลั่งแล้ว
เย่ว์หยางเคยคิดจะเข้าไปในมิติภายในจี้หยกดำแล้วปลุกนางพญาเฟ่ยเหวินหลีหลังจากเชี่ยวชาญปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้าแล้ว เขาต้องการถามนางว่าเสี่ยวเหวินหลีจะยกระดับได้อย่างไร บางทีเขายังไม่พบวิธีที่สมควรที่จะฝึกฝนเธอ
ขณะเดียวกัน เย่วหยางต้องการถามเรื่องจื่อจุนและจักรพรรดิมังกรเผ่าปีศาจบูรพาเกกี่ยวกับข่าวลับของพญาอินทรียักษ์ปีกทอง
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่ใช่ผู้อ่อนแอ นางคงรู้เรื่องของพญาอินทรีแน่นอน
เย่ว์หยางจะยืมพลังของเสวี่ยอู๋เสียเพื่อบรรลุพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้า ยังขาดเพียงพลังน้ำแข็งซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะพลังงานด้านหยิน เนื่องจากพลังหยางของเขาแข็งแกร่งมากเหนือกว่าสมดุลพลังหยินของเขา เขาต้องใช้เวลาฝึกอีกนานหากเขาจะฝึกทักษะพลังหยินเองตามลำพัง ดังนั้นจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะยืมพลังของเสวี่ยอู๋เสียเพื่อเพิ่มความเร็วของเวลาที่จำเป็นเพื่อให้เขาบรรลุขอบเขตใหม่ เสวี่ยอู๋เสียไม่วิตกกังวลเหมือนกับเย่ว์หวี่ เมื่อนางมีส่วนร่วมฝึกกับเย่ว์หยาง นางอยู่ในท่าแนบตัวกับเย่ว์หยางเพื่อผสานร่างทันที
ปกติ นางจะไม่มีทางกอดเขาแน่
แต่ระหว่างฝึก เสวี่ยอู๋เสียเป็นฝ่ายกอดเย่ว์หยางจากด้านหลัง นางทาบมือเข้ากับอกเขา และเกี่ยวขากับเอวเขาและแนบอกนางเข้ากับหลังของเขา
เมื่อเย่ว์หยางเริ่มปล่อยพลังหยางของเขาออกมา นางก็เริ่มใช้งานพลังหยินของนาง
ทันใดนั้นเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นภายในห้อง ด้านหน้าของเย่ว์หยางเริ่มมีความร้อนสูงขึ้นและสว่างเหมือนกับทะเลเพลิง
ด้านหลังของอู๋เสียกลับเย็นยะเยียบเหมือนน้ำแข็ง น้ำแข็งจับตัวทั่วทั้งห้องลามลงไปถึงพื้นขึ้นไปบนผนังและเพดาน ทั่วทั้งห้องเปลี่ยนเป็นขาวโพลนด้วยหิมะ
ระหว่างคนทั้งสอง วงกลมไฟและน้ำแข็งก่อรูปโดยทักษะหยางและหยินของพวกเขาและยังคงหมุนวนต่อไป เพลิงม่วงและน้ำแข็งที่หนาวเหน็บต่างหมุนรอบกันและกันก่อตัวเป็นรูปพายุหมุนทอร์นาโดเกิดเสียงเปรี๊ยะและพลังไฟฟ้ากระจายออก เย่ว์หวี่ยังอยู่ในห้อง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวที่กำลังยืนอยู่ข้างนอกเพื่อดูความเรียบร้อยทุกคนมองภาพนั้นอย่างตะลึง เย่ว์หยางได้ฝึกกับเย่ว์หวี่มาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกของเขากับนางมิอาจเทียบได้กับการฝึกกับเสวี่ยอู๋เสีย ในการฝึกผสานร่างครั้งนี้ เสวี่ยอู๋เสียไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือนเย่ว์หวี่ แต่นางกลับเริ่มต้นฝึกอย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเย่ว์หยาง เมื่อใดก็ตามที่พลังหยางของเขาเพิ่มขึ้นเกินจุดกำหนด นางจะเพิ่มพลังหยินของนางทีละขั้น ในที่สุดปรากฏการณ์แปลกประหลาดของพายุหมุนไฟและน้ำแข็งที่เกินกว่าเย่ว์หยางคาดไว้ได้ก่อตัวขึ้น
แม้แต่ประกายไฟก็ยังเป็นสีม่วง
ด้วยการหนุนเสริมของเสวี่ยอู๋เสียและทักษะพลังหยินที่สมบูรณ์ของนาง การฝึกของเย่ว์หยางจึงบรรลุถึงพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้าได้ราบรื่นกว่าที่เขาคาดเป็นร้อยเท่า
เย่ว์หยางรู้สึกเพลิดเพลิน ดีใจตื่นเต้นราวกับว่ากำลังขี่รถไฟเหาะ
ในชั่วพริบตาที่บรรลุขอบเขตปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้า มิหนำซ้ำยังได้ความกลมกลืนระหว่างไฟและน้ำแข็งที่สมบูรณ์ เย่ว์หยางจึงรู้สึกว่าทักษะของเขาก้าวหน้าไปมาก ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้สึกได้ถึงพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่หกหรือแม้กระทั่งขอบเขตที่สูงกว่านั้น เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกอยู่ในมือของเขา และเหมือนกับว่าเห็นทุกอย่างในโลกใบนี้ ความสูงของท้องฟ้า ความกว้างของแผ่นดินพืชและสัตว์นับล้านสายพันธุ์ เป็นความรู้สึกที่ทำให้เย่ว์หยางเข้าใจถึงฟ้าและดินได้เป็นอย่างดี ความหมายของโลกที่แท้จริง.. แม้ว่าเขาจะไม่สามารถบรรลุปราณกระบี่ขั้นที่หกได้ แต่เย่ว์หยางก็เข้าใจทิศทางความก้าวหน้าต่อไปในอนาคตของเขาได้
ในที่สุดเขาก็รู้วิธีฝึกฝนเพื่ออนาคตตนเองแล้ว
หญิงงามลึกลับเสวี่ยอู๋เสียไม่เพียงแต่ใช้ทักษะพลังหยินของนางช่วยให้เขาบรรลุพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ขั้นที่ห้าเท่านั้น
นางยังช่วยให้เขาเห็นอนาคตของตน เห็นความหวังอย่างหนึ่ง
มีเป้าหมายนี้อยู่ในอนาคต
เย่ว์หยางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างที่เขาก้าวหน้า เขาจะไม่ต้องกังวลว่าจะเผชิญปัญหาคอขวดเหมือนกับคนอื่นๆ หรือกังวลเรื่องขีดจำกัดความสามารถของตนเอง ขีดจำกัดความสำเร็จของเขาเอง
“สวรรค์ช่วยด้วย!” เชี่ยนเชี่ยน เจ้าเมืองโล่วฮัวและเย่ว์หวี่ตะลึงกันไปหมด
ในท่ามกลางพายุหมุนไฟและน้ำแข็งและสายฟ้าสีม่วง เย่ว์หยางและเสวี่ยอู๋เสียปลอดอันตรายโดยสิ้นเชิง แต่เสื้อผ้าของพวกเขามอดไหม้ถูกทำลายเป็นเถ้าถ่าน อย่างไรก็ตาม เสวี่ยอู๋เสียไม่สนใจเรื่องนี้ เหมือนกับว่านางเข้าใจความจำเป็นของเย่ว์หยาง พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดในเมื่อหัวใจพวกเขาเชื่อมโยงถึงกัน นางเอื้อมมือไปข้างหน้า พร้อมกับที่เย่ว์หยางหันศีรษะกลับมาพวกเขาประกบริมฝีปากจูบกัน
พลังหยินและหยางของพวกเขาแลกเปลี่ยนหมุนเวียนผ่านปาก โคจรผ่านร่างของแต่ละคนก่อนที่จะกลับออกมาที่ปากพวกเขาอีกครั้ง
ทั้งสองคนเรียกคัมภีร์อัญเชิญออกมาพร้อมกันทันที
จู่ๆ แสงรัศมีก็ฉายออกมาสร้างเป็นโล่พลังแยกพายุหมุนเพลิงน้ำแข็งไว้ด้านนอก ภายในม่านพลังป้องกัน มีแต่เพียงพลังงานที่ไหลเวียนอย่างเงียบๆ สามารถมองเห็นได้
อักษรรูนโบราณนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่บนผิวกายของเย่ว์หยาง
ในทำนองเดียวกัน อักษรรูนโบราณก็ยังปรากฏอยู่ร่างของเสวี่ยอู๋เสีย อย่างไรก็ตาม จำนวนอักษรรูนบนร่างของนางยังน้อยกว่าของเย่ว์หยาง รูปแบบของอักษรรูนโบราณจะซับซ้อนน้อยกว่า จากนั้นอักษรรูนโบราณบนร่างของทั้งสองคน ลอยออกมาในอากาศและรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว อักษรรูนจำนวนเล็กน้อยบนร่างพวกเขาเคลื่อนไปหาร่างของแต่ละฝ่าย ขณะที่ผิวของคนทั้งสองกลมกลืนกันอย่างน่าพิศวง พลังหยางและหยินไหลเข้าไปในระหว่างอักษรรูนโบราณ เพิ่มจำนวนและความบริสุทธิ์ขึ้นทุกขณะ
ในที่สุดมีลำแสงสองสายปรากฏจากคัมภีร์อัญเชิญของทั้งสองคน
คัมภีร์อัญเชิญของเย่ว์หยางฉายแสงสีทองเจิดจ้า ขณะที่คัมภีร์อัญเชิญของเสวี่ยอู๋เสียฉายลำแสงที่ขาวบริสุทธิ์มาก
สิ่งที่ลึกลับที่สุดก็คือลำแสงทั้งสองสายเริ่มเคลื่อนเข้าหากันเองภายใต้ผลสะท้อนของพายุหมุนเพลิงและน้ำแข็ง ค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นลำแสงสายเล็กแต่ว่าสว่างกว่า ลำแสงอยู่เหนือเย่ว์หยางและเสวี่ยอู๋เสียที่กำลังแลกจุมพิตกัน
โดยที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดก่อนที่ลำแสงจะหายไปในที่สุด และพายุหมุนเพลิงและน้ำแข็งจะค่อยๆ อ่อนกำลังลง
เย่ว์หยางและอู๋เสียยังคงจูบกันต่อไป ไม่แยกจากกัน อย่างไรก็ตามพวกเขาค่อยล้มลงบนพื้น มือของทั้งคู่เคลื่อนไหวเล็กน้อย เหมือนกับว่าพวกเขาคลายตัวจากกันและกัน ทว่าความเคลื่อนไหวสุดท้าย มีพลังน้ำแข็งยักษ์แช่แข็งพวกเขาไว้ด้วยกันอยู่ในก้อนน้ำแข็งเดียวกัน
พวกเขาถูกแช่แข็งในน้ำแข็ง ในระหว่างที่ยังจูบกันอยู่
ด้านนอก มีวงแหวนขนาดยักษ์ล้อมรอบน้ำแข็งที่แช่แข็งร่างพวกเขาอยู่
เชี่ยนเชี่ยน, โล่วฮัวและเย่ว์หวี่มองหน้ากันเองด้วยความไม่แน่ใจ พวกนางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
เย่ว์หยางและเสวี่ยอู๋เสียยังคงอยู่ในระหว่างฝึกผสานร่าง หรือฝึกเสร็จแล้ว? ทั้งสองคนยังดำเนินการฝึกหรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงกันแน่?
“อ๊า!” ทันใดนั้นเสี่ยวเหวินหลีปรากฏเป็นสายรุ้งพุ่งออกมา จู่ๆ เธอกรีดร้องเมื่อเห็นเย่ว์หยาง
เธอรีบพุ่งเข้าไปหาเย่ว์หยาง
แค่เพียงนั้นเอง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทั้งสามสาวพุ่งเข้าหาเย่ว์หยางทันทีโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น… พวกนางไม่รู้วิธีช่วยเขา แต่ในระหว่างที่พวกนางกังวล พวกนางไม่มีแม้แต่เวลาจะคิด
เย่ว์ปิงและอี้หนานที่แอบดูจากในที่ไกลก็แตกตื่นเมื่อพวกนางได้ยินเสียงกรีดร้อง พอเห็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวถลันเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องหวาดกลัวของเย่ว์หวี่ พวกนางหวาดกลัวแต่ก็วิ่งตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
ในที่สุดเมื่อพวกนางเข้าไปในวงแหวนเพลิง พวกนางไม่ได้คิดหาวิธีทำลายน้ำแข็ง ทันใดนั้นเพลิงอมฤตค่อยๆ ค่อยๆ ลุกลามขยายออกมาจากสะดือของเย่ว์หยาง
จากนั้นก็กลายเป็นเสาเพลิงอมฤต
เสียงที่เป็นธรรมชาติ ไพเราะสั่นสะท้านเข้าไปในวิญญาณของหญิงสาวเหล่านั้น
อี้หนานและเย่ว์ปิงที่พุ่งเข้าไปในวงแหวนเพลิงเป็นลมหมดสติทันที เมื่อเย่ว์หวี่เห็นพวกนางวิ่งเข้าไป นางตกใจไปหมด ก่อนที่นางจะส่งพวกนางออกจากพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเพลิงอมฤต นางก็พลอยเป็นลมหมดสติไปด้วย องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวพยายามอดทนให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา พวกนางก็ล้มลงกับพื้นเช่นกัน ก่อนที่พวกนางจะล้มลงหมดสติ เหมือนกับว่าพวกนางเห็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีแสงสว่างเจิดจ้าชนิดหนึ่งกำลังกระพือปีกบินรอบห้อง มันกำลังเผาไหม้ด้วยเพลิงอมฤตขณะที่มันพุ่งตรงมาหาพวกนาง
เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พวกนางก็ตระหนักว่าพวกนางเปลือยกายทั้งหมด มีเพียงเศษผ้าคลุมเตียงคลุมตัวพวกนาง
เย่ว์หวี่, เย่ว์ปิงและอี้หนานก็ยังคงหลับอยู่ข้างๆ พวกนาง
“เป็นเพราะเลือดหรือ? เจ้าพยายามบอกว่าเลือดของข้าและของเขา ไม่สามารถรวมเข้าด้วยกันหรือ?” เมื่อเจ้าเมืองโล่วฮัวหันศีรษะนางไปดู นางเห็นว่าเสวี่ยอู๋เสียที่สวมชุดดำกำลังถามเสี่ยวเหวินหลีที่มีร่างเปล่งสีทองสว่าง
“อือ..อือ” เสี่ยวเหวินหลีแปะมือลงที่ตัวเย่ว์หยางพลางพยักหน้าอย่างน่ารัก อย่างไรก็ตาม เธอรีบส่ายหน้าอย่างเร็วอีกครั้ง พยายามพูดว่าสิ่งที่บอกไปไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด
“อย่างนั้นก็เป็นเพราะเมื่อเย่ว์หยางและข้ายังเข้ากันไม่ดีพอ ในนาทีสุดท้ายผละออกจากกันเล็กน้อย เลือดที่เรากระอักออกมาผสมกันทำให้สูญเสียการควบคุมพลังไฟและน้ำแข็งใช่ไหม? แต่ก็น่าจะไม่ใช่สาเหตุด้วยเช่นกัน ข้าไม่เคยมีความสามารถแบบนั้นที่แช่แข็งเราทั้งสองไว้ในน้ำแข็งมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไปกระตุ้นให้เพลิงอมฤตทำงานในช่วงนาทีสุดท้าย เสี่ยวเหวินหลี! ลองบอกซิว่าเจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“…..” เสี่ยวเหวินหลียังพูดไม่ได้ ต่อให้เธอพูดได้ เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำ เธอยังเป็นเด็กเล็กอยู่
“ความจริงแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ใส่ใจที่ตนเองร่างเปลือย นางรีบถามเสวี่ยอู๋เสีย
“ในช่วงนาทีสุดท้าย เขาอาจจะตื่นขึ้นมาและต้องการปล่อยข้า อย่างไรก็ตาม ข้าไม่รู้ว่าเขาตื่นขึ้นแล้วและไม่ได้แยกออกตัวจากเขา ดังนั้นร่างของเราทั้งคู่จึงได้รับผลกระทบกระเทือน อวัยวะภายในของเราบอบช้ำเล็กน้อยและเราทั้งคู่กระอักเลือดออกมา เราไม่เคยคิดว่าเมื่อเลือดของเราผสมเข้าด้วยกัน จะมีผลออกมาน่ากลัวมาก..” เสวี่ยอู๋เสียบอก เสียงของนางยังสั่นด้วยความกลัว
“ไม่เป็นไร อย่างนั้นก็ดีแล้ว!” เจ้าเมืองโล่วฮัวรู้สึกว่านางถูกเพลิงอมฤตชำระจนบริสุทธิ์ ร่างของนางมีความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ เมื่อนางเรียกคัมภีร์อัญเชิญของนางออกมา นางก็ตระหนักได้ว่าทักษะแฝงและอสูรพิทักษ์ของนางทั้งสองมีการยกระดับ นางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมองดูร่างที่งดงามของโล่วฮัว หุ่นของนางเหมือนเทพธิดาขณะที่สองถันนางมีแรงดีดสะท้อนต่อเนื่อง … องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกปวดหัวขณะที่นางปิดตาพูดว่า “ข้าว่านะ พี่โล่วฮัว ท่านสวมเสื้อผ้าก่อนดีไหม? โชคดีนะที่ข้าไม่ชอบผู้หญิงด้วยกันเอง มิฉะนั้นข้าอาจยับยั้งใจไม่ได้!”
เจ้าเมืองโล่วฮัวถึงกับเขินอายเมื่อได้ยินนางพูด
นางมองดูรอบๆ แล้วก็พบว่าสิ่งของทั้งหมดภายในห้องถูกเพลิงอมฤตเผาผลาญสิ้น ไม่มีเสื้อผ้าเหลืออยู่เลย
เสวี่ยอู๋เสียต้องนำผ้าปูเตียงจากห้องอื่นมาคลุมตัวพวกนาง
ในสถานการณ์เร่งด่วน เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่ได้พยายามหาเสื้อผ้า นางกลับพยายามดึงผ้าปูเตียงที่คลุมตัวองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนออกมา
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนกรีดร้องตกใจ “ท่านจะทำอะไร?”
คำตอบเจ้าเมืองโล่วฮัวทำให้นางต้องการทุบศีรษะนางให้ลงไปนอนบนพื้น “ข้าถูกพวกเจ้ามองแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจะซ่อนตัวต่อไปไม่ได้เช่นกัน! ทุกคนต้องเปิดเผยตัวเอง อย่างนั้นถึงจะยุติธรรม”
สิ่งที่ทำให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอยากทึ้งผมของนางด้วยความอับอายก็คือจากนั้นเจ้าเมืองโล่วฮัวดึงขานางด้วยความสงสัยขณะที่นางร้องออกมา “งั้นเจ้าก็มีพยัคฆ์ขาวอยู่ตัวหนึ่งสินะ? ขอดูหน่อยซิ ทำไมของๆ เจ้าถึงแตกต่างจากข้า? สวนน้อยของสาวน้อยอย่างเจ้าอยู่ตรงไหน?”
“ออกไปนะ!” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนขุ่นเคือง นางต้องการจะทุบเจ้าเมืองโล่วฮัวก่อน
อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถทนอับอายได้ ดังนั้นนางคว้าผู้ปูเตียงมาพันตัวและหนีกลับไปแต่งตัวที่ห้องของนาง
เจ้าเมืองโล่วฮัวมีความสงสัยมากขณะที่นางถามเสวี่ยอู๋เสีย นางถามว่าถ้าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน และอู๋เสียตอบว่า “ท่านไม่มีอะไรดีๆ จะทำแล้วหรือ” เจ้าเมืองโล่วฮัวเผลอแลบลิ้นด้วยท่าทีน่ารัก กล่าวด้วยความมั่นใจ “นางต้องใช่แน่ แม้ว่าข้าจะไม่เห็นชัดจริงๆ แต่ตรงนั้นของเชี่ยนเชี่ยนเรียบบริบูรณ์จริงๆ แตกต่างจากข้าและสาวอื่นๆ ฮะฮะ!”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหูไว ดังนั้นนางจึงได้ยินขณะที่นางกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ในห้องนาง นางโกรธจริงๆ ขณะที่นางเตือนเจ้าเมืองโล่วฮัว “โล่วฮัว! ถ้าท่านกล้าพูดไร้สาระอีกต่อไปนะ ข้าจะจับท่านเอาผ้าห่มพันตัวแล้วโยนเข้าห้องเย่ว์หยาง แล้วดูซิว่าเจ้าจอมลามกจะฮุบเหยื่ออย่างท่านในคำเดียวหรือไม่”
เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่ได้กลัวคำขู่แต่อย่างใด นางกลับเริ่มหัวเราะลั่น หัวเราะกระทั่งไหล่คลอนหน้าอกกระเพื่อม “ข้าไม่กลัวเรื่องนั้น ข้าหมั้นกับเขาเรียบร้อยแล้ว ข้าได้รับอนุญาตจากพ่อแม่และมีแม่สื่อแล้ว แม้ว่าเราจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ข้าจะเป็นของเขาในอีกไม่ช้า ตรงกันข้าม เจ้าล่ะ? เชี่ยนเชี่ยน ถ้าเจ้าไม่ขอร้องข้าแต่โดยดี ข้าจะเผยความลับเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าให้เย่ว์หยางรู้ ฮะฮะ ข้าคิดว่าตาเขาจะเป็นประกายเมื่อได้ยินเข้า..”
เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนได้ยินคำโต้ตอบ นางแทบคลั่งเพราะความโกรธ
หญิงงามอมโรคที่เพิ่งจะออกไปส่งพี่สาวขี้เมาเพิ่งจะกลับมาในที่สุด พอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางพึมพำช้าๆ “ข้าพลาดอะไรไปหรือนี่?”
เสวี่ยอู๋เสียอุ้มอี้หนานออกไป ขณะที่นางเดินผ่านหญิงงามอมโรค นางตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านไม่ได้พลาดอะไรหรอก ดีแล้วที่ท่านกลับมา ท่านมาได้เวลาทีเดียว!”
เมื่อหญิงงามอู๋เหินได้ยินนางพูด สีหน้าที่ซีดขาวแต่ก่อนของนางกลายเป็นแดงซ่าน แม้แต่คอสีหิมะของนางก็พลอยร้อนไปด้วย เหมือนกับว่านางสามารถเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในวาจาของเสวี่ยอู๋เสีย ริมฝีปากหญิงงามอู๋เหินสั่น เหมือนกับนางต้องการทบทวนคำแนะนำของเสวี่ยอู๋เสีย อย่างไรก็ตาม นางมองดูเสวี่ยอู๋เสียและจากนั้นนางหันไปมองเย่ว์หยาง ผู้ยังคงหลับอยู่มีผ้าห่มคลุมตัว
ในที่สุด นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้ นางได้แต่ก้มหน้าและแสดงออกให้เห็นว่านางอายมาก*************