===============
ณ หมู่บ้านตระกูลเย่ว์
หมู่บ้านตระกูลเย่ว์ในปัจจุบันนี้แตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
หลังจากถูกยอดฝีมือตระกูลเซี่ยถล่ม แม้ว่าจะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็ตาม แต่เนื่องจากผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ถูกจับเป็นตัวประกันและเย่ว์ซานรักษาการประมุขตระกูลเย่ว์หลบหนี เย่ว์ชิวรักษาการประมุขตระกูลเย่ว์คนใหม่จึงเข้าควบคุมและสั่งการหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ให้สร้างป้อมปราการป้องกัน ในระดับภาคพื้นมีกำแพงเป็นแนวป้องกัน กำแพงระดับภาคพื้นจะเตี้ยกว่ากำแพงปราสาทแต่มีความหนาพอกัน กำแพงชั้นนอกสร้างด้วยโคลน ชั้นกลางก่อด้วยอิฐและมีไม้อยู่ภายใน ขณะที่ถูกสร้างมาได้ไม่นาน กำแพงจึงไม่ค่อยมั่นคงนักในขณะนี้ มีบางจุดจำเป็นต้องใช้เสาไม้ค้ำยันไว้เพื่อรับน้ำหนักหน่วยยามที่ลาดตระเวนมาบนหลังกำแพงจะได้ไม่แตกหัก
หลินเหมี่ยวสมาชิกครอบครัวสาขาตระกูลเย่ว์ และหลินเหล่ยญาติของเขากำลังทำหน้าที่ลาดตระเวนด้วยกัน
ภายใต้ดวงอาทิตย์สาดส่อง พวกเขาเดินวนแล้ววนอีก
หลินเหมี่ยวมีความกล้าเล็กน้อย เขาไม่มีความกล้าเหมือนกับหลินเหล่ยญาติของเขาซึ่งแอบนำขวดเหล้าใส่ไว้ในชุด และเอามาดื่มขณะที่พวกเขาลาดตระเวนอยู่
แม้ว่าพวกเขารู้ว่าจะไม่มีคนมา แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำเป็นเดินลาดตระเวน
พ่อบ้านรองที่ได้รับการส่งเสริมมีอารมณ์ร้ายกาจมาก ยิ่งกว่านั้น เขายังหยิ่งผยองหนัก เขามักจะขี่ม้าเร็วลงจากปราสาทมายังหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ และตระโกนเรียกสมาชิกครอบครัวสาขา ทำตัวเหมือนกับเป็นสุนัขจิ้งจอกที่หุ้มหนังเสือ
ถ้าพ่อบ้านรองจับได้ว่าพวกเขาดื่มเหล้าขณะที่พวกเขาควรจะเดินลาดตระเวนแล้ว เรื่องจะไม่จบลงแค่ตัดเงินเดือนทั้งเดือนของพวกเขาเท่านั้น บางทีพวกเขาอาจถูกเฆี่ยนโบยด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าเจ้าขี้ข้าของสุนัขนั้นตามปกติจะไม่ออกมาตรวจดูพวกเขาในช่วงที่อากาศร้อนอย่างนี้ ร่างกายที่ขาวตุ้ยนุ้ยของเขาซึ่งดูเหมือนหมูไม่อาจทนทรมานอย่างนั้นได้
“เมื่อก่อนยังดีกว่ามากมายนัก เฮ้อ!” หลินเหมี่ยวถอนหายใจ ประมุขตระกูลเย่ว์คนก่อนถูกลักพาตัวและรักษาการประมุขตระกูลก็หลบหนีไปจากตระกูลเย่ว์ แม้ว่าสถานะของครอบครัวสาขาของสมาชิกตระกูลเย่ว์จะไม่ถึงกับสูง แต่ก็ไม่ต่ำเช่นกับทาส
แม้แต่ในหมู่คุณชายคุณหนูในตระกูลเย่ว์ นอกจากเย่ว์เป่าผู้น่ารำคาญบ้างแล้ว ที่เหลือก็ยังนับว่าใช้ได้
ตัวอย่างเช่น เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนก็แค่หยิ่งเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกับพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน ในเมื่อต้องให้ความเคารพนับถือพวกเขา เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนอย่างน้อยก็ยังพยักหน้ารับ คุณชายห้าเย่ว์ถิงก็ยังมีความเป็นมิตรมากกว่า เขาทักทายพวกเขาแต่ละคนโดยนับถืออาวุโสอย่างอบอุ่น ไม่มีความหยิ่งยโสแต่อย่างใด บางครั้งเขายังแนะนำพวกเขาให้รู้จักเพื่อนๆ ของเขาเมื่อเวลาพบกันข้างนอก นี่คือพี่น้องหลินจากครอบครัวสาขาตระกูลข้า และนี่คือสามพี่น้องตระกูลฉือ…
สำหรับคุณชายสามผู้ไม่ธรรมดา แม้ว่าเขาฆ่าคนเหมือนกับเป็นมดปลวก แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ไปยั่วยุเขาก่อน เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวธุระของคนอื่น
ครั้งก่อนนั้นเขาถูกสมาชิกครอบครัวสาขามากมายหัวเราะเยาะเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้ถือสาหาความ
พูดให้ถูกต้องก็คือ บางคนยังอาจมีชีวิตรอดได้ ถ้าพวกเขายั่วยุคุณชายสามผู้ไม่ธรรมดานี้ แต่ถ้าพวกเขาวุ่นวายกับแม่สี่ที่คุณชายสามเคารพนับถือที่สุด หรือคุณหนูเจ็ดเย่ว์ปิงและคุณหนูแปดเย่ว์ซวงที่เขารักหวงแหนที่สุด พวกเขาจะตายแน่นอน
คุณชายสามจะไม่แยกแยะคนที่เขาโจมตี อย่าว่าแต่เป็นสมาชิกครอบครัวสาขาเลย เขายังกล้าลุยกับเย่ว์ซานรักษาการประมุขตระกูลคนก่อนด้วยซ้ำ
วันนั้นหลินเหมี่ยวแอบตามดูภาพนั้นตลอด เมื่อตอนที่คุณชายสามพาคุณนายสี่ขึ้นปราสาทตระกูลเย่ว์ ชุดของเขาชุ่มไปด้วยเลือด
ตอนนั้น หลินเหมี่ยวกลัวมากจนเกือบปัสสาวะราดกางเกง
นั่นเป็นเพราะเขาเป็นหนึ่งในสามหน่วยคุ้มกันที่โจมตีใส่คุณชายสามในตอนนั้น และเกือบถูกหมาป่าปีศาจหลังเหล็กของคุณชายสามกัดตาย โชคดีที่เขาหลบได้และไม่ถูกโจมตีกลับ เพื่อนร่วมงานด้านหลังเขา กลับกันเจอการโจมตีที่รุนแรงแทนเขา มิฉะนั้น หลุมศพของหลินเหมี่ยวอาจมีหญ้าขึ้นรกรุงรังไปแล้ว
“เชอะ” หลินเหล่ยบ่นอย่างเย็นชา “เรื่องในครอบครัวใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะวิจารณ์ได้”
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่” แน่นอนหลินเหมี่ยวเข้าใจเหตุผลของหลินเหล่ย แต่เขาอารมณ์ไม่ดี เขาไม่ต้องการรับว่าเขาผิดพลาด
“แค่ทำหน้าที่ลาดตระเวนให้ดีก็พอ ถ้ามีปัญหาอะไร ให้ลั่นระฆังเตือน ถ้าไม่มีปัญหา ก็แค่ลาดตระเวนต่อไป เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผลัดก็กลับบ้านไปพัก เจ้าสามารถนอนหรือกินก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการ มิฉะนั้น เจ้าก็หาคนมาระบายความโกรธให้เจ้า ทำไมเจ้าต้องบ่นมากมายนักเล่า?” หลินเหล่ยตบบ่าญาติผู้น้อยของเขาและเตือนเขา “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตยืนยาว สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องทำก็คือแกล้งทำเป็นตาบอดหูหนวกเป็นใบ้ซะ อย่าฝันว่าเจ้าจะช่วยได้ แม้แต่คุณชายสามที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ยังไม่สนใจเรื่องนี้ ทำไมเจ้าที่เป็นนักสู้ระดับ 2 ถึงยื่นจมูกไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเล่า? เจ้ามีความสามารถพอเหรอ?”
“พี่เหล่ย ข้าผิดไปแล้ว” หลินเหมี่ยวกลัวญาติผู้พี่ของเขาคนนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเป็นนักสู้ระดับ 3 แต่เขายังมีจิตใจละเอียดอ่อนอีกด้วย
ถ้าหลินเหล่ยจะมีข้อบกพร่อง นั่นก็คือเขาชอบกินเหล้า
ความจริง เย่ว์ชิวรักษาการประมุขตระกูลคนปัจจุบันคิดจะเลื่อนเขาให้เป็นหัวหน้าหน่วยคุมคนร้อยคน อย่างไรก็ตาม เขาไม่ทำเพราะเขาเกลียดกลิ่นเหล้าจากปากของหลินเหล่ย
หลินเหล่ยกลืนเหล้าอึกใหญ่และเอามือตบไหล่หลินเหมี่ยวแรงๆ “ไปกันเถอะ เราต้องทำหน้าที่อีกหนึ่งชั่วโมง ไปลาดตระเวนกันอีกรอบ อากาศนี่ ช่างร้อนเป็นบ้า”
อย่างไรก็ตาม หลินเหมี่ยวยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขากำลังมองดูจุดดำเล็กๆ ในที่ห่างไกล
หลินเหล่ยสับสนว่า มีอะไรตอนนี้นี้อีก?
เขาหันไปดูด้วยความสงสัยตรงตำแหน่งที่หลินเหมี่ยวมองดู เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ญาติผู้น้องของเขาเห็น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ขวดเหล้าในมือร่วงลงพื้นแตกกระจายเป็นเสี่ยง
“ศะ..ศัตรู! เร็วเข้า ลั่นระฆัง” หลินเหมี่ยวพบว่าจุดดำนั้นมาถึงพวกเขารวดเร็วมาก กลับกลายเป็นว่าอสูรหุ่นรูปมนุษย์ยักษ์สองตนลากรถม้าโดยสารหรูหราด้วยเชือก พวกมันวิ่งก้าวยาวตรงไปที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ แม้ว่าพวกมันยังมาไม่ทันถึง แต่รังสีฆ่าฟันที่พวกมันเปล่งออกมากระตุ้นความรู้สึกหลินเหมี่ยวนักสู้ระดับ 2 ได้ชัดเจน เขาต้องลั่นระฆังเดี๋ยวนี้
“เจ้าโง่ เคาะหัวเจ้าแทนเถอะ! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเป็นคุณชายสามกลับมา?” หลินเหล่ยเตะก้นหลินเหมี่ยวจนกระเด็นไปนอนหมอบกับพื้น
“แต่เขาเป็นคุณชายสามตัวปลอมไม่ใช่หรือ?” ความจริงหลินเหมี่ยวปรารถนาให้คุณชายสามนั้นเป็นตัวจริง
แต่เขาไม่มีทางเลือก
ใครจะเชื่อกันว่าจะมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดอายุเพียง 20 ปี?
ต่อให้เริ่มฝึกฝนกันตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา ก็ไม่มีทางกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดภายในยี่สิบปีได้ ถ้าผู้คนกล่าวว่าคุณชายสามเป็นตัวปลอม ก็ถือว่าพวกเขาพูดถูกและสมเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะมากขนาดไหน คนเราสามารถฝึกไปถึงระดับ 6 ตอนอายุ 20 ปีก็นับว่าน่าเป็นคนน่ากลัวแล้ว แต่คุณชายสามกลับถึงระดับปราณก่อกำเนิดได้ แล้วใครจะเชื่อว่าเขาเป็นคุณชายสามตัวจริงได้อย่างไร?
หลินเหล่ยเตะขาหลินเหมี่ยวอีกทีหนึ่ง “ทำไมเจ้าต้องสนด้วยเล่าว่าเขาเป็นตัวจริงหรือปลอม เจ้าแค่จำเป็นต้องจำไว้ว่าเขาคือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์!”
หลินเหมี่ยวเข้าใจสิ่งที่หลินเหล่ยหมายถึงได้ดี เขาปัดฝุ่นที่ก้นแล้วยืนขึ้นแล้วถามอย่างไม่แน่ใจเล็กน้อย “จะดีจริงๆ หรือที่ไม่ลั่นระฆังเตือน? ถ้าพ่อบ้านรองพบเข้า อย่างน้อยเราต้องถูกถลกหนังแน่”
หลินเหล่ยแทบจะสร่างเมาจากเหล้าแล้ว เขาเหยียดร่างตรงเหมือนเสือดำและปาดเหงื่อที่เต็มหน้าผาก “แม้ว่าเราอาจถูกถลกหนังในอนาคต แต่ก็ยังดีกว่าโดนตัดศีรษะในตอนนี้”
ข้างล่างกำแพง ยักษ์เหล็กสองตัวนั้นสูงมากกว่าหกเมตร มาถึงพร้อมกับเสียงดังบึ้ม พวกมันลากรถม้าโดยสารมาด้วย
เย่ว์หยางนั่งอยู่บนรถม้านั้น
เขามองดูใจเย็นและสบายๆ เหมือนกับว่าเขากำลังมาเที่ยววันหยุด อย่างไรก็ตาม รังสีฆ่าฟันที่ฉายออกมาจากนัยน์ตาเขาทำให้หลินเหล่ยผู้เกือบจะถูกความร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผาต้องสั่นอย่างหนาวเหน็บ เหมือนกับว่าเขาถูกจับไปปล่อยขั้วโลกใต้ แขนเขามีขนลุก ราวกับว่าเขาไม่เห็นผู้คุ้มกันประตูหน้า เย่ว์หยางหาวขณะที่หุ่นยักษ์เงื้อหมัดเหล็กและต่อยเต็มกำลัง พวกมันทำลายกำแพงไปส่วนหนึ่งที่พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยได้สร้างขึ้นมาอย่างระมัดระวังเกินกว่าเวลาเดือนหนึ่ง จากนั้นก็โจมตีใส่กำแพงปราสาทใกล้เคียงกันขณะที่พวกมันเดินเข้าไปและลากรถม้าเข้าไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีหมาป่าปีศาจหลังเหล็กเดินตามหลังพวกมันเข้ามา มองดูเหมือนกับว่ามันเบื่อหน่ายขณะที่มันผงกศีรษะมันและกระดิกหางเดินเข้ามา หลินเหมี่ยวจำได้ว่าหมาป่าปีศาจเกือบจะฆ่าเขาแล้ว ชื่อและลักษณะของมันจะถูกฝังอยู่ในความทรงจำหลินเหมี่ยวตลอดไป ฮุยไท่หลาง!
เมื่อทั้งกลุ่มเดินเข้าแนวกำแพงไปแล้ว ฮุยไท่หลางจ้องมองรอบๆ และเห็นหลินเหมี่ยวโดยบังเอิญ
ทันใดนั้นหลินเหมี่ยวรู้สึกเหมือนกำลังจะปัสสาวะราดกางเกง
สายตาแบบนั้นคล้ายสายตามัจจุราชมาก เขามักพบเห็นอยู่ในความฝันบ่อยๆ
“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง!” ระฆังเตือนภัยถูกตีโดยหน่วยลาดตระเวนอื่นที่ชะงักค้างด้วยความกลัว หลินเหมี่ยวและหลินเหล่ยหวาดผวามองดูฮุยไท่หลางพุ่งเข้ามาในระยะร้อยเมตรภายในเวลาไม่ถึงสามวินาที ฉีกสองพี่น้องตระกูลฉือที่ลั่นระฆังเตือนภัยจนกระจุยเป็นชิ้น พวกเขาถูกสังหารทันที หลินเหมี่ยวและหลินเหล่ยมองหน้ากันเอง ต่างเห็นความหวาดกลัวในสายตาของกันและกัน ถ้าหากพวกเขาเป็นคนลั่นระฆังเตือนในตอนนี้ บางทีพวกเขา… บางทีระฆังเตือนภัยนี้ อาจกลายเป็นระฆังงานศพ
“คุณชายสาม, ในที่สุดท่านก็กลับมา” หลินเหล่ยริมฝีปากสั่นขณะพูดออกมา นอกจากความกลัวแล้วน้ำเสียงของเขามีความดีใจเจือปนอยู่ด้วย
“พี่..พี่เหล่ย, ท่านกำลังทำอะไร?” เมื่อหลินเหมี่ยวเห็นว่าหลินเหล่ยวิ่งลงกำแพงเข้าไปที่รถม้า แม้แต่เขาก็คิดว่าหลินเหล่ยต้องการสู้ตายกับคุณชายสาม หลินเหมี่ยวรีบยื้อหยุดเขาไว้อย่างสุดกำลัง
“ข้าจะไม่ทำอะไร ข้าแค่ต้องการตามพวกเขาไปดู” เมื่อหลินเหล่ยเห็นเย่ว์หยางหันกลับจากตรงที่เขานั่ง ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าความต้องการที่แผดเผาหัวใจเขานี้ทำให้เขาตัดสินใจไม่ทำอะไรเมื่อครู่ที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้ถือว่าบ้ามาก แม้ว่าหลินเหล่ยจะไม่คิดทำอะไรเมื่อครู่นี้จนถึงเวลานี้ แต่ความจริงเขาเอาชีวิตเป็นเดิมพันขณะติดตามรถม้าของคุณชายสาม
เขารู้ว่าศึกครั้งนี้จะเป็นศึกระหว่างอสูรร้ายทั้งสองคน
เย่ว์ชิวและเย่ว์หยาง นี่คือคู่พ่อลูกที่เป็นเหมือนพยัคฆ์สองตัว เมื่อพวกมันสู้กันเอง หนึ่งในพวกมันจะต้องตายในที่สุด
ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเลือกข้างให้ถูก ถ้าเขาพยายามเลือกข้างหลังจากที่ผลแพ้-ชนะปรากฏออกมาแล้ว ก็อาจจะสายเกินไป เข้าต้องตัดสินใจและติดตามเป้าหมายก่อนที่สงครามจะเริ่ม มิฉะนั้นเขาอาจจะจบสิ้นก็ได้ ไม่มีใครชอบคนโลเลเปลี่ยนฝ่ายได้ง่าย และไม่มีใครคิดว่าคนที่เอาแต่นั่งดูเป็นคนที่สำคัญ
หลินเหล่ยตัดสินใจเลือกฝ่ายที่ด้อยกว่าเล็กน้อยก็คือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์
การตัดสินใจเช่นนี้เป็นเรื่องที่บ้ามาก เขาอาจตายเมื่อใดก็ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเลือกถูกต้อง ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงแน่นอน อย่างน้อย เขาก็จะไม่จำเป็นต้องค้อมศีรษะเคารพผู้อาวุโสในปราสาทตระกูลเย่ว์อีกต่อไป เขาจะสามารถเดินยืดอกเชิดหน้าได้อย่างวีรบุรุษและมีชีวิตในฐานะคนๆ หนึ่ง แทนที่จะใช้ชีวิตเหมือนสุนัขอย่างที่เป็นในปัจจุบันนี้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” หลินเหมี่ยวคิดว่าญาติผู้พี่ของเขาบ้าไปแล้ว
“ไม่, ข้าไม่ได้บ้า, และข้าก็ไม่ได้เมาด้วย อีกทั้งข้ายังมีสติแจ่มใสดีอีกด้วย, อาเหมี่ยว, ฟังข้าให้ดี เจ้าจะติดตามร่วมไปกับข้าตอนนี้ หรือจะฆ่าข้าเสียที่นี่ก็ได้” หลินเหล่ยจ้องมองหลินเหมี่ยว สายตาของเขาเกือบจะเหมือนคนบ้า ทำให้หลินเหมี่ยวตกใจจนเหงื่อแตก หลินเหมี่ยวคิดแล้วจึงส่ายศีรษะ “พี่เหล่ย ข้าจะรั้งท้ายและลาดตระเวนตรงนี้ต่อไป”
“เหลวไหล! เจ้าก็เห็นอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าใครชนะหรือแพ้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลาดตระเวนคุ้มกันอีกต่อไป คุณชายสามบุกเข้าปราสาทผ่านพื้นที่ของเราไปแล้ว เจ้าคิดว่าถ้าอยู่ต่อไปแล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” หลินเหล่ยขบกรามและกำหมัด จากนั้นหมุนตัวกลับและวิ่งตะบึงไปข้างหน้าไล่ตามรถม้าไป
ฮุยไท่หลางเตือนเขาไม่ให้เข้ามาใกล้ แต่ไม่ได้ทำร้าย
แน่นอน ทั้งนี้เป็นเพราะหลินเหล่ยยกแขนทั้งสองแสดงอาการยอมจำนน มิฉะนั้นคอของเขาคงถูกฮุยไท่หลางตัดขาดไปนานแล้ว
หลินเหมี่ยวกังวลมาก เขาตะโกนลั่นว่า โง่ โง่ โง่จริง อยู่ค่อนข้างนาน แต่เมื่อเขาเห็นหน่วยคุ้มกันจำนวน 2-3 ร้อยที่ได้ยินเสียงเตือนภัยล้อมรถม้าไว้ เขากัดฟันอย่างเจ็บปวดพลางทุบอกตนเอง 2-3 ครั้ง หลังจากตบหน้าตัวเองหนักๆ สองทีแล้ว ในที่สุดเขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “พี่เหล่ย! รอข้าด้วย! โธ่เว้ย, งั้นข้าเอาชีวิตเดิมพันด้วย!”
หลินเหล่ยไม่ได้ยกย่องเขา แต่หลินเหมี่ยวสามารถมองเห็นแววตายกย่องของเขา หลินเหมี่ยวจำไม่ได้ว่า เขามองเห็นแววตาแบบนั้นจากญาติผู้พี่ของเขาเมื่อไหร่
เย่ว์หยางนั่งอยู่บนหลังคารถม้ามองเห็นพวกเขาโดยบังเอิญ
ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย
ไม่ถึงกับเรียกว่ายิ้ม
“รอเดี๋ยว เจ้ากล้าดียังไง, ในฐานะเป็นลูกน้อง เจ้าไม่ยอมบอกให้ลูกพี่อย่างข้ารับรู้ได้อย่างไร? กลับแอบมาสู้ที่นี่ตามลำพังคนเดียว เจ้าออกมาได้อย่างไรโดยไม่ให้ลูกพี่คนนี้คอยคุ้มกัน? ข้าคือลูกพี่ใหญ่ ถ้าเรื่องเช่นนี้รู้กันไปทั้งบาง แล้วข้าจะเสนอหน้าต้าไห่ผู้หล่อเหลานี้ต่อหน้าชาวโลกอีกต่อไปได้อย่างไร” เจ้าอ้วนไห่ขี่แรดเหล็กไล่กวดมาจากข้างหลัง ก่อนที่เขาจะมาถึงเสียงของเขาก็ดังฝ่าอากาศมาก่อนแล้ว
“เราก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน!” คนที่ปรากฏออกมาพร้อมกับเจ้าอ้วนไห่ก็คือเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่
****************