===============
มันคือหงส์เพลิง หงส์เพลิงสองตัวที่มีแสงสีทอง
พวกมันไม่ใช่ฟีนิกซ์วิหคเพลิงตามคติชาวตะวันตก แต่พวกมันเป็นหงส์เพลิงสีสันงดงามอมตะตามคติชาวเอเชียตะวันออก เพลิงอมฤตออกมาจากร่างของมันรุนแรงทรงพลังมากกว่าเพลิงอมฤตของเย่ว์หยางถึงสิบเท่า มันเปล่งแสงสีทองทำให้ดูบริสุทธิ์และงดงาม
จากมุมมองภายนอก หงส์เพลิงทั้งสองนี้ดูเหมือนกันมากไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน
สายเพลิงอมฤตที่พวกมันต่างปล่อยออกมาเป็นสายคู่กัน
เพียงแค่นั้นเย่ว์หยางจึงตระหนักได้ในที่สุด
กลับกลายเป็นว่าเสียงนกร้องที่ดังก้องในจิตวิญญาณที่เขาได้ยินได้ฟังก่อนนั้นก็คือหงส์เพลิงนี่เอง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยทำสัญญากับพวกมันมาก่อน ดังนั้นเขาจะครอบครองหงส์เพลิงทั้งคู่นี้ได้อย่างไร? เสี่ยวเหวินหลีนั้นเขาได้รับมอบมาจากนางพญาเฟ่ยเหวินหลี, ฮุยไท่หลางก็เก็บมันมาจากข้างถนน, นางพญากระหายเลือดก็ทำสัญญากับเขาด้วยความสมัครใจ อสูรแต่ละตัวของเขามีประวัติความเป็นมาของตนเอง แต่หงส์เพลิงเหล่านี้เกินคาดโดยสิ้นเชิง
พวกมันมาจากไหน?
เป็นไปได้ไหมว่าหงส์เพลิงเหล่านี้เป็นอสูรพิทักษ์จากคัมภีร์เทพฤทธิ์? เหมือนกับเงาปีศาจของเขา?
อย่างไรก็ตาม เมื่อนานแล้วที่เขาทำสัญญากับคัมภีร์เทพฤทธิ์ เย่ว์หยางได้ยินเจ้านกทั้งสองส่งเสียงเรียกมาก่อนแล้ว ไพเราะเป็นธรรมชาติ ยิ่งกว่านั้น อาจจะมากกว่าครั้งหนึ่ง
เป็นไปได้ไหมว่า หรือเป็นว่าหงส์เพลิงเหล่านี้ก็เหมือนกับเทพธิดากระบี่ฟ้า?
ความคิดของเย่ว์หยางผุดขึ้นทันที เป็นไปได้ไหมว่าหงส์เพลิงเหล่านี้อาศัยอยู่ในถุงมิติน้อย เหมือนกับเทพธิดากระบี่ฟ้า? หรืออาจเป็นได้ว่า พวกเขาอยู่ในไข่ภายในถุงมิติน้อยมาก่อน แต่พวกมันฟักตัวด้วยเหตุผลบางอย่างและเป็นของเขาในตอนนี้แล้ว
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นก็จะมีสิ่งที่มีค่าอย่างอื่นภายในถุงมิติน้อยนั้นหรือ?
สามจ้าวปีศาจและสองราชาลิชถอยออกมาเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเห็นหงส์เพลิงบินขึ้นไปในท้องฟ้า
เมื่อพวกเขามองดูอีกครั้งและคิดว่าอสูรทั้งสองที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ ดูแล้วไม่ค่อยแข็งแกร่ง พวกมันเหมือนสัตว์เลี้ยงสวยงามมากกว่า ทันใดนั้นพวกเขาเริ่มร่วมกันโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้ เป้าหมายของพวกเขาคือจับเย่ว์หยาง ทั้งนี้เพราะพวกเขาคิดว่าหงส์เพลิงเป็นแค่สัตว์เลี้ยงสวยงามเท่านั้น พวกมันก็แค่อาบเพลิงอมฤต นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ พวกเขาไม่ต้องการเปลี่ยนแผนอีกต่อไปจึงตัดสินใจคว่ำเย่ว์หยางเสียก่อน จากนั้นค่อยรีดถามเขาในภายหลัง
ถ้าเป็นหนึ่งนาทีที่แล้ว เย่ว์หยางคงแบกนางเซียนหงส์ฟ้าวิ่งหนีทันทีแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างออกไป
เมื่อหงส์เพลิงปรากฏตัว เย่ว์หยางรู้สึกถึงพลังเพลิงอมฤตพร่างพรูอยู่ในตัวเขา เหมือนกับว่ามันพร้อมจะปะทุและระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
แต่ก่อน ความเร็วในการโจมตีของจ้าวปีศาจทั้งสามไวมาก เพราะเย่ว์หยางเห็นเมื่อใช้ญาณทิพย์ระดับ 5 อย่างไรก็ตาม เขาสามารถเห็นความเคลื่อนไหวและวิถีของจ้าวปีศาจทั้งสามและราชาลิชทั้งสองได้ง่ายในตอนนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาจับเขา ร่างของเย่ว์หยางก็สนองตอบโดยอัตโนมัติ เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ เหมือนกับว่ามีพลังลับที่แนะนำเขาในใจ ร่างของเขาขยับไปขัดขวางการโจมตีของจ้าวปีศาจและราชาลิชโดยอัตโนมัติ
เพลิงอมฤตที่เต็มอยู่ในตัวเขา เป็นเพลิงที่สามารถเผาผลาญได้ทุกอย่าง ยังเพิ่มพลังขึ้นมาโดยหงส์เพลิงทั้งสอง ได้แตกปะทุจากร่างของเขาราวกับภูเขาไฟ
เย่ว์หยางปล่อยหมัดของเขาใส่กรงเล็บของราชันย์จ้าวปีศาจบารุธก่อน
เขาหยุดหมัดของศัตรูด้วยหมัดของเขาได้ ตอนแรก เย่ว์หยางคิดว่ามันคงยากมากสำหรับเขาที่จะทำแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าสามารถหยุดหมัดของจ้าวปีศาจได้ง่าย
“เอ๊ะ!” ราชันย์จ้าวปีศาจบารุธถึงกับตกตะลึง เจ้าเด็กนี่มีพลังเหลือไม่หนึ่งในร้อย แล้วเขาหยุดหมัดของเขาได้ง่ายๆ อย่างไรกัน?
result, forget about the Demon Kings and Lich Kings, even Yue Yang couldn’t believe it himself.
“หลีกไป!” เย่ว์หยางมีความยินดีอย่างเห็นได้ชัด เขาปล่อยหมัดซ้ายพร้อมกับเพลิงอมฤตและหยุดหมัดของจ้าวปีศาจฮาซินได้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาเตะใส่ราชาลิชผู้พยายามลอบทำร้ายนางเซียนหงส์ฟ้า ความจริงเขาสามารถทนรับการโจมตีจากสามนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในแดนอเวจี ผลเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จ้าวปีศาจและราชาลิชเท่านั้น แม้แต่เย่ว์หยางก็ยังไม่อยากเชื่อตนเอง
ด้วยพลังจากเพลิงอมฤตของหงส์เพลิง เขามีพลังพอที่จะเอาชนะนักรบระดับจ้าวปีศาจทั้งสามในแดนอเวจีได้จริงๆ หรือ?
นั่นเป็นเหตุผลแบบไหนกัน?
ถ้าเย่ว์หยางไม่ได้รับพลังมาจากหงส์เพลิง เขาคงไม่สามารถทนรับพลังโจมตีของจ้าวปีศาจได้แม้แต่ครั้งเดียว ที่สำคัญที่สุด เขาสามารถทำได้เพียงสนับสนุนนางเซียนหงส์ฟ้าในการสู้ มิฉะนั้น เขาคงสามารถใช้โซ่ล่องหนและปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ลอบทำร้ายไปแล้ว
ความสามารถหยินหยางของเขา, วงกลมหยินหยาง, ธนูน้ำแข็ง, ท่าที่หนึ่งดาบผ่าปฐพีและวิทยายุทธอื่นๆทั้งหมด มีผลต่อขุนพลปีศาจ, แม่ทัพปีศาจและแม่ทัพใหญ่ปีศาจทั้งหมด
มันสามารถใช้ได้ผลกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 และที่ต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อจ้าวปีศาจผู้มีระดับอย่างน้อยก็นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 8 และสูงกว่า คงจะเป็นเรื่องผิดพลาดสำหรับเขาที่ใช้พลังโจมตีเหล่านั้นกับพวกเขา บารุธ, ฮาซินและกรุนไม่ด้อยกว่าซุ่นเทียนหรือประมุขนิกายพันปีศาจแน่ ก่อนนั้นเมื่อเย่ว์หยางและนางเซียนหงส์ฟ้าต่อสู้ร่วมกัน พวกเขาต้องใช้พลังของพวกเขาทั้งหมดก่อนที่จะเอาชนะซุ่นเทียนและเงามืดที่น่ากลัวนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางเซียนหงส์ฟ้าเป็นหลักในการโจมตีครั้งนั้น หลังจากนั้น เย่ว์หยางก็สู้กับบารุธตามลำพัง และแม้ว่าเข้าต้องปกป้องกิเลนและไม่สามารถหลบการโจมตีได้พ้น เขายังเข้าใจว่าเขาไม่สามารถเอาชนะบารุธได้ แม้ว่าเขาจะสู้กับบารุธในภาวะที่เหมาะสม
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ จ้าวปีศาจทั้งสามและราชาลิชทั้งสองยังเพิ่มพลังขึ้นจากแรงหนุนส่งของวังวนนิลกาฬ พลังความสามารถของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า
เย่ว์หยางป้องกันตนเองจากการโจมตีของจ้าวปีศาจทั้งสองและราชาลิช ทำให้นางเซียนหงส์ฟ้าที่กำลังเตรียมตอบโต้สุดกำลังและยอมตาย เบิกตากว้างจ้องมองอย่างตกตะลึง
เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นางรู้จักเขา แต่นางไม่เคยรู้ว่าเขาจะผิดธรรมดามากขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตที่สามารถต่อกรกับนักรบระดับจ้าวปีศาจสามตนตามลำพังได้… นางอาจสู้ได้ในสภาวะที่นางสมบูรณ์สูงสุด แต่ก็ยังไม่ง่ายสำหรับนาง
ถ้านางต้องสู้กับจ้าวปีศาจทั้งสาม นางอาจต้องบาดเจ็บหนักทันทีที่นางประมาท นั่นเป็นเรื่องแน่นอน
นางคงไม่สามารถเป็นเหมือนเจ้าเด็กนี่ได้แน่นอน สามารถหยุดพลังโจมตีของจ้าวปีศาจโดยใช้แค่แขนและขา นี่ นี่ มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
นอกจากจื่อจุนแล้ว ไม่มีมนุษย์อื่นที่สามารถต้านรับจ้าวปีศาจทั้งสามตามลำพังได้ง่ายดาย
ราชันย์จ้าวปีศาจอื่นนามว่า โอวเกินที่ไม่ได้โจมตีใส่เย่ว์หยาง เมื่ออยู่ในสภาพตกใจ เขาต้องถอยหลบหมัดของนางเซียนหงส์ฟ้า สำหรับราชาลิชอีกตนหนึ่งที่เย่ว์หยางไม่รู้จัก เขามีชะตากรรมที่น่าอนาถเมื่อเทียบกับคนอื่น เขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์ผีอมตะกลับโดนกิเลนขวิดจนปลิวละลิ่ว เย่ว์หยางได้ยินเสียงซี่โครงและกระดูกของเขาหักขณะที่เขาปลิวผ่านไป
ในสายตาของนักรบมนุษย์ผู้อ่อนแอ เขาเป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งนัก ราชาลิช
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของกิเลนถึกผู้หลงทาง เขาก็เป็นแค่โครงกระดูกที่ใหญ่กว่าพวกที่เหลือ
บารุธ, ฮาซิน, โอวเกินและกรุนตกตะลึงสิ้นเชิง พวกเขาไม่ได้ตกตะลึงเพราะสหายของพวกเขาโดนกิเลนขวิดจนปลิว แต่เพราะเย่ว์หยางสามารถหยุดการผนึกพลังโจมตีของพวกเขาตามลำพังได้ ทุกคนรู้จักความสามารถของเย่ว์หยาง แม้จะด้วยวงจักรล้างโลกและเพลิงอมฤต เจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับนักรบระดับจ้าวปีศาจได้ ขณะที่เขายังเติบโตไม่เต็มที่ ด้วยศักยภาพของเขา เขาจะเหนือกว่า “หนึ่งในโลกหล้า” ในอนาคตก็ได้ ทว่า ในปัจจุบันนี้เขาเป็นเพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 อาจถูกฆ่าได้ทันทีถ้าได้พบกับจ้าวปีศาจ
อย่างไรก็ตาม ความจริงเขากลับรับมือจ้าวปีศาจทั้งสามได้ในตอนนี้ นี่ไม่ใช่พลังของตัวเขาเองแน่นอน
นี่ต้องเป็นพลังของอสูรลึกลับทั้งสองนั้น
อสูรลึกลับทั้งสองนั้น จริงๆ แล้วพวกมันคืออะไรกันแน่? เขาไปได้พวกมันมาจากไหน? ถ้าพวกเขาได้อสูรแบบนั้นซึ่งสามารถเพิ่มพลังของพวกเขาได้ขนาดนี้ ฝันของพวกเขาที่จะได้ไปแดนสวรรค์ก็จะไม่เป็นเพียงฝันอีกต่อไป…
จ้าวปีศาจทั้งสามถอยออกมาทันที ราชาลิชกรุนวิ่งเข้าไปยืนข้างๆ สหายและถาม “ม้าฝ่า! เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
“แค่ซี่โครงหัก 2-3 ซี่ แต่หัวใจปีศาจไม่เป็นไร” ราชาลิชชื่อม้าฝ่าส่ายศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “กรุน, ข้าจำตำนานเรื่องหนึ่งที่ข้าเคยได้ฟังมา”
“เผ่าบูรพาอมตะ” แม่ทัพใหญ่ปีศาจตู้หลันมีปฏิกิริยาเป็นคนแรก
“ใช่แล้ว” นัยน์ตาปีศาจของจ้าวปีศาจฮาซินยังคงจ้องมองเย่ว์หยางและพยักด้วยความโมโห “เพียงแต่เผ่าบูรพาอมตะในตำนานจะสามารถแสดงผลให้พลังเพิ่มขึ้น ข้ารู้จักเหยี่ยวจากเผ่าบูรพาอมตะตนหนึ่ง เขาบอกข้ามาก่อนว่า มีพลังศักดิ์สิทธิ์ชนิดพิเศษอย่างหนึ่งอยู่ภายในร่างของชาวเผ่าบูรพาศักดิ์สิทธิ์ทุกคน มันมีความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้คนได้และยังมีความสามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ มันเป็นความสามารถที่น่ากลัวมาก ถ้าสมาชิกแต่ละคนใช้ความสามารถเช่นนั้นของเขา พลังของพวกเขาแต่ละคนก็จะเพิ่มขึ้น กล่าวกันว่ามนุษย์ชาวทวีปมังกรทะยาน ความจริงมาจากที่เดียวกับเผ่าบูรพาอมตะ ในยุคโบราณเผ่าบูรพาอมตะมีสมาชิกบางส่วนลี้ภัยไปทวีปมังกรทะยาน พวกเขาแตกต่างจากมนุษย์ในทวีปฉีหลาน, ทวีปเทียนฟง, ทวีปเคอหลัวและทวีปอื่นในเขตนอกทงเทียน ข้ากล้าพูดได้เลยว่าเจ้าเด็กนี่ได้รับตกทอดเลือดของมนุษย์โบราณ เลือดโบราณของเขาถูกปลุกขึ้นมาและได้รับพลังของมนุษย์โบราณไปด้วย มิฉะนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบรรลุขั้นปราณก่อกำเนิดตอนอายุยี่สิบแน่ อย่าว่าแต่ยังรับมือพวกเราได้เลย”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” นางเซียนหงส์ฟ้ามองดูเย่ว์หยางเหมือนกับว่านางต้องการจะปอกเปลือกเขาลอกทีละชั้นๆ เพื่อหาดูสิ่งที่อยู่ข้างใน
“บางทีก็เป็นไปได้, บางที นั่นก็อาจจะจริง” เย่ว์หยางตอบ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดว่าเขามาจากต่างโลก เขายังคงไม่สามารถปฏิเสธได้สิ้นเชิงว่าเขาไม่ได้ปลุกเลือดโบราณมาก่อน อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่เชื่อ ถ้าตนเองพูดคำนั้นออกมา
ตอนนี้ เขาควรจะปล่อยให้เข้าใจผิดเรื่องเลือดโบราณ, ปลุกเลือดโบราณต่อไป บางทีพวกจ้าวปีศาจเหล่านี้ อาจจะลังเลที่จะโจมตีเขาด้วยวิธีการนั้น
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าพลังที่เพิ่มขึ้นมาเพราะเพลิงอมฤตจะคงอยู่ในร่างเขาได้นานแค่ไหน แต่พอมันหายไป นางเซียนหงส์ฟ้าและเขาจะต้องหลบหนีไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แน่นอน ด้วยคำพูดของเขา ทำให้สามจ้าวปีศาจและสองราชาลิชและแม่ทัพใหญ่ปีศาจตู้หลันหน้าซีดเผือดทันที
การคาดเดาและตอบกลับคือสองสิ่งที่แตกต่าง
แน่นอนว่าเจ้าเด็กนี่ได้ปลุกเลือดโบราณในตัวและได้รับศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษย์โบราณ
“……” บารุธรู้ว่า ตอนนี้ การกระทำที่ดีที่สุดก็คือเสี่ยงทุกออย่างเพื่อกำจัดเจ้าเด็กนี่ด้วยทุกอย่างที่พวกเขามี อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุด ไม่รู้ว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างไรในช่วงที่พลังของเขาเพิ่มขึ้น ไม่มีวิธีเอาชนะมารกฎฟ้าผู้ปกป้องเขา ไม่มีวิธีหลอกกิเลนถึกให้มาอยู่ฝ่ายเขา กลับเป็นวิธีจัดการกับหงส์เพลิงที่ดูเหมือนกับไม่มีพลังรบ แต่สายตาของพวกมันน่ากลัวมากขนาดที่พวกเขารู้สึกอาจถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ
บารุธไม่รู้ว่าทำไมสัตว์สวยงามทั้งสองนี้ถึงไม่โจมตีใส่พวกเขา แต่เขาค้นพบด้วยความรู้สึกที่แหลมคมของจ้าวปีศาจว่า ตราบเท่าที่เขาเก็บงำรังสีฆ่าฟันไว้ในใจและไม่คิดโจมตี เขาจะรู้สึกกลัวมากเหมือนกับว่าเขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
เขารู้สึกเหมือนกับว่าจะถูกฆ่าโดยศัตรูของเขาในทันที
ถ้าเขาไม่มีรังสีฆ่าฟันเลย อย่างนั้นสัตว์ประหลาดทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่ทำอันตรายแต่อย่างใด
บารุธรู้สึกเหมือนว่าเขาไม่สามารถจินตนาการถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวสัตว์ประหลาดแสนสวยทั้งสองตัวนี้ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้อยู่ในพิภพนี้ บางทีพวกมันอาจเป็นสัตว์ชั้นสูงกว่าแดนสวรรค์ก็เป็นได้ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขามีลักษณะที่พิเศษเช่นนั้น
กิเลนกลับคืนร่างเป็นเด็กสาวมีเขาอีกครั้ง นางดูเหมือนดรุณีอายุ 14-15 ปีและมีลักษณะน่ารัก มีเขาสีทองโผล่พ้นผมสีเขียวอ่อนของนาง
เขาของนางไม่แหลม มันดูสั้นไม่น่ามีอันตราย
อย่างไรก็ตาม ซี่โครงของราชาลิชหม่าฝ่าแข็งกว่ากระดูกมังกรเป็นร้อยเท่าก็ยังหักได้หลังจากถูกขวิดด้วยเขานี้
ถ้าเขาหลบไม่เร็วพอ อาการบาดเจ็บของราชาลิชหม่าฝ่าคงจะไม่ใช่แค่ซี่โครงหัก 2-3 ซี่..
นางสวมชุดสีเขียวอ่อน มีลายวาดรูปเมฆบนชุดนางดูงดงามยิ่ง เผยให้เห็นไหล่เรียบลื่นของนางและแขนที่อ่อนช้อย เย่ว์หยางรู้สึกอยากจูบแขนนางเมื่อได้เห็นเช่นนั้น นางมีขาขาวเนียนราวหิมะสวมรองเท้าแดงประดับด้วยลูกกลมเล็กๆ อยู่ด้านหน้า รองเท้านั้นดูเหมือนกับที่เห็นในภาพที่มีเด็กจีนสวมใส่ในวันตรุษจีน
เด็กสาวกิเลนมองดูน่ารักมากน่าคุ้นเคยและไร้อันตราย เหมาะที่จะเก็บไว้เป็นแมวน้อยสำหรับเลี้ยงได้ ยามค่ำคืนนางก็อาจถูกใช้เป็นเตียงน้อยที่แสนอบอุ่นก็ยังได้
ทว่านางแข็งแรงเกินไป
ถ้านางโกรธขึ้นมาและระบายความโกรธใส่เขา เย่ว์หยางคิดว่ากระดูกกระเดี้ยวของเขาคงจะหักหมดไม่เหลือ
“เป็นยัยเด็กสองนั้นไล่ข้าออกมา! ในฐานะที่เจ้าเป็นพ่อ ทำไมไม่สอนมารยาทพวกเธอบ้าง?” สาวกิเลนดึงแขนเสื้อเย่ว์หยางพลางบ่นใส่เขา นางดูเหมือนอาจจะร้องไห้ได้ถ้าเย่ว์หยางไม่สนใจนาง
“เด็กผู้หญิงสองคน? ของข้าน่ะหรือ?” เย่ว์หยางอึ้งเหงื่อตก เอ..เขามีเด็กหญิงหงส์เพลิงสองตนเมื่อไหร่กัน? เป็นไปได้ไหมว่านักพรตเฒ่าลักพาตัวธิดาของคนอื่นแล้วโยนความผิดให้เขา? ถ้าบิดามารดาของหงส์เพลิงมาหาเขา บางทีเขาอาจจะเหลือแต่เถ้าถ่าน ถ้าพวกเขาหายใจใส่เขา เขาไม่ใช่บิดาของเด็กหงส์เพลิงทั้งสองแน่นอน ต่อให้เขาเป็นจริงๆ เขาจะทำอะไรพวกเธอได้
ยิ่งกว่านั้น คนที่ผิดไม่ใช่หงส์เพลิงทั้งสองนั้น แต่เป็นกิเลนหลงทางนางนี้ที่บุกเข้าบ้านคนอื่นตามอำเภอใจ
หงส์เพลิงอมตะผู้มีสีสันแพรวพราวทั้งสองบินหมุนคว้างอยู่ในท้องฟ้าอย่างสบายใจในตอนแรก แต่ดูเหมือนพวกมันสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่สาวกิเลนบ่นรำพัน พวกมันร้องทักท้วงขึ้นมาทันที
เสียงของพวกมันไพเราะดังสะท้อนกึกก้องถึงในวิญญาณทุกคน
พวกมันดูเหมือนกับว่ากำลังจะโฉบลงมาสั่งสอนที่กิเลนบ่นใส่พวกมัน
ก่อนที่หงส์เพลิงทั้งสองจะโฉบลงมา กิเลนรีบหลบและหายไปทันที รวดเร็วขนาดที่ว่าเย่ว์หยางไม่อาจมองเห็นได้ด้วยญาณทิพย์ระดับ 5
“ข้า..ขอคารวะท่านจ้าวปีศาจและราชาลิชผู้มากบารมี เราต้องขอประทานอภัยที่รบกวนพวกท่านในวันนี้ ถ้าพวกท่านมีเวลาว่างในอนาคต ค่อยชวนเรามาร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายอีกครั้งนะ..” เย่ว์หยางโฉบเข้าหานางเซียนหงส์ฟ้าไว้ในอ้อมแขนรวดเดียวและหมุนตัวจากไปทันที วิ่งไปกระทั่งทันกิเลนหลงทางสมองกลวง เขาไม่รู้ว่าจะใช้นางเป็นเตียงที่อบอุ่นในอนาคตได้หรือไม่ แต่เขาคิดว่าเขาควรจะเก็บกิเลนสาวนี้ไว้ก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ยังกลับบ้านไม่ได้ เขาสามารถดูแลเหมือนกับเป็นมารดาของนางในช่วงนี้ไปพลางก่อน
“เราจะไล่ตามพวกเขาไปไหม? ราชาลิชกรุนสังเกตว่านกหงส์เพลิงยังคงบินวนเวียนอยู่ในท้องฟ้า เหมือนกับว่าพวกมันตั้งใจดูพวกเขาอยู่ ดูเหมือนว่าถ้าพวกเขาคนใดคนหนึ่งคิดจะไล่ตามเย่ว์หยางและคนอื่น พวกเขาจะรู้สึกความหวาดหวั่นน่ากลัวและการคุกคามที่พวกเขาอาจถูกโจมตีได้
“แล้วไปเถอะ” จ้าวปีศาจฮาซินซึ่งตามปกติจะเป็นผู้กล้าที่สุด กลืนน้ำลายพลางส่ายศีรษะและปฏิเสธความคิดที่โง่เง่า
การสู้กับอสูรที่แข็งแกร่งเกินระดับพวกเขาไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่มีความคิดจะเข้าโจมตีแต่อย่างใด ถ้าพวกเขาบังคับตนเองให้ลงมือ ก็จะเท่ากับว่ารนหาที่ตายเอง
แน่นอนว่า พอจ้าวปีศาจฮาซินพูดจบ หงส์เพลิงทั้งสองตัวนั้นก็กลายร่างเป็นรุ้งสีสดใสและหายไปอย่างรวดเร็วทันที ด้วยความเร็วที่แม้แต่จ้าวปีศาจเหล่านั้นผู้ปกครองเหนือหอทงเทียนยังต้องอาย เทียบกับอสูรแสนสวยทั้งสองนั้น จ้าวปีศาจทั้งสามได้แต่กินฝุ่นขณะไล่ตามหลังพวกมันแม้ว่าพวกเขาจะไล่ตามอย่างสุดกำลังก็ตาม
สิ่งที่ทำให้พวกเขาพูดไม่ออกที่สุดก็เมื่อพวกเขารู้สึกตัวอีกครั้ง เหล่าแม่ทัพปีศาจผู้กำลังสุมหัวกับตวนมู่หลงเฉิงเพิ่งจะมาถึงและรายงานข่าว
ตวนมู่หลงเฉิงพันธมิตรของพวกเขาถูกสังหารแล้ว
“ใครฆ่าเขา?” บารุธสังเกตว่าแม่ทัพปีศาจดูเหมือนจะตื่นตระหนก แปลก เป็นฝีมือมารกฎฟ้างั้นหรือ?
“พวกที่ฆ่าเขาเป็นอสูรบินสวยงามสองตัวที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ” หนึ่งในแม่ทัพปีศาจคิดว่าบารุธคงไม่เชื่อเรื่องของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงอธิบายลักษณะของอสูรเพิ่มเติม แน่นอน แม้ว่าคำอธิบายต่อมาจะค่อนข้างยาว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องจริง ตวนมู่หลงเฉิงพบเห็นศัตรูและคงโจมตีใส่พวกเขาเพื่อช่วยพวกจ้าวปีศาจ แต่เขากลับถูกฆ่าทันที
“ศพของเขาอยู่ไหน?” ฮาซินต้องการฝังศพพันธมิตรของเขาอย่างเหมาะสม
“ร่างของเขาถูกเผาผลาญหมดไม่เหลือ อย่าว่าแต่ศพของเขาเลย แม้แต่วิญญาณของเขาก็ถูกเพลิงอมฤตทำลายเรียบ ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย” แม่ทัพปีสาจตอบ
“….” จ้าวปีศาจทั้งสามและราชาลิชสองคนได้แต่มองหน้ากันเองด้วยความตกใจ พวกเขารู้ว่าตวนมู่หลงเฉิงแข็งแกร่งขนาดไหน อย่างน้อยเขาก็เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 6 แต่กลับถูกสังหารทันที โชคดีทีพวกเขาไม่ได้พยายามโจมตีใส่อสูรสวยงามทั้งสองตัว และไม่ได้เปิดฉากโจมตีด้วย มิฉะนั้น ผลที่ตามมาคงเลวร้ายยากจะทนทาน