===============
ถ้าจะพูดให้ถูก สิ่งที่เขาสร้างไม่ใช่ยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธ แต่เป็นยาน้ำเพิ่มพลังยุทธ
แม้ว่าเย่ว์หยางจะได้รับผลมังกรเปลือกแข็งมาจากทหารรับจ้างจงหาวจากในรังมดครั้งก่อน ซึ่งเป็นส่วนผสมที่จำเป็นสำหรับปรุงยาเพิ่มพลังยุทธ แต่เขาก็ยังขาดสมุนไพรบางอย่าง เช่นบัวหิมะ ไม่มีบัวหิมะ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธ ส่วนผสมในการทำยาก็ไม่สำเร็จได้ สำหรับนักรบแล้ว ยาเม็ดต้องแข็งและสลายช้า เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ค่อยๆ ย่อยซึมซับความพลังอันแข็งแกร่งของมันในท้อง ถ้าพวกเขากินยาน้ำพลังยุทธอย่างนั้น ยาจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะไม่สามารถทนต่อการไหลบ่าของมวลพลังงานได้ อีกจุดหนึ่งก็คือพลังจากยาน้ำเพิ่มพลังยุทธจะสลายเร็วมาก แม้ว่านักรบจะดูดซึมยาได้โดยร่างไม่ระเบิด แต่เขาจะไม่สามารถดูดซึมตัวยาที่มีค่าได้สิ้นเชิง จนทำให้สูญเสียประสิทธิภาพไปมากมาย
สรุปก็คือ การใช้ทั้งที่เป็นยาเหลวมิเพียงอันตรายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสียอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลมังกรเปลือกแข็งและรากบัวหิมะก็ยังเป็นของหายากอยู่ดี เย่ว์หยางได้รับผลมังกรเปลือกแข็งมาได้ครั้งหลังนั้นก็ด้วยความช่วยเหลือของแม่เฒ่าฉือ เขายังแอบขโมยน้ำผลมังกรเปลือกแข็งมาเล็กน้อย เพื่อที่ว่าส่วนผสมที่ได้มาจะได้ไม่มีปัญหา
แต่ก็ยังขาดรากบัวหิมะ
กล่าวกันว่านิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกได้เพาะเลี้ยงไว้ แต่เย่ว์หยางกลายเป็นศัตรูกับนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ไปขอส่วนผสมจากพวกเขาแน่นอน
สำหรับสมุนไพรและส่วนผสมเกินสิบชนิดที่จำเป็นสำหรับยาเพิ่มพลังยุทธ, เย่ว์หยางรวบรวมผ่านคนหลายคน องค์ชายเทียนหลัวนำบางส่วนมาจากวังในเทียนหลัว เสวี่ยทันหลางยังได้เป็นตัวแทนตระกูลเสวี่ยส่งวัตถุดิบบางอย่างมาร่วมช่วยสนับสนุนตระกูลเย่ว์ รัชทายาทแห่งต้าเซี่ยและองค์ชายอื่นๆ ก็ยังส่งสมุนไพรมีค่าและส่วนผสมบางอย่างมาให้เขา สุดท้ายก็ยังมีของมีค่าลับที่ตระกูลเย่ว์ครอบครองอยู่ ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสองมอบให้เย่ว์หยางไว้ใช้ เมื่อลุงรองเย่ว์หลิ่งพบว่าเย่ว์หยางปรุงยาเพิ่มพลังยุทธได้สำเร็จ เขาถามเย่ว์หยางอย่างขลาดๆ ว่าเขาสามารถเก็บของที่ทดลองล้มเหลวให้เย่ว์เทียนได้ไหม ความจริง เย่ว์หลิ่งขอร้องเย่ว์หยางให้มอบยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธให้เย่ว์เทียนแทนที่จะให้บุตรอีกคนหนึ่งเย่ว์เยี่ยนทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจเล็กน้อย
เขาตระหนักว่าลุงรองจริงจัง เขาไม่ได้พยายามจะลองใจเย่ว์หยาง เย่ว์หยางรู้สึกว่าหลังจากลุงรองรับตำแหน่งรักษาการประมุขตระกูล เขาเปลี่ยนไปและจัดลำดับผลประโยชน์ให้ตระกูลเขาก่อน
การให้เขาเป็นรักษาการณ์ประมุขตระกูลดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนรังแกสหายผู้น่าสงสารไว้มาก ในฐานะคนที่อยู่ในสถานะอย่างสหายผู้น่าสงสาร เย่ว์หยางย่อมรู้สึกขุ่นเคืองกับพวกเขาแน่นอน
ถ้าเขาไม่ได้เข้าร่วมศึกครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะต้องปรุงยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธเลี้ยงสุนัข เขาก็จะไม่มีทางให้เย่ว์เทียนหรือคนอื่นๆ เลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่ว์หยางคิดดูอีกครั้ง เขาเองก็กลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดไปแล้วในตอนนี้ ทำไมยังจะต้องมาทะเลาะกับนักสู้ระดับ 6 ผู้อ่อนแอเหมือนมดอย่างเขาด้วย? อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่หักหลังตระกูลเย่ว์แม้เมื่อถูกกดขี่ข่มเหงโดยเย่ว์ชิวตัวปลอม นอกจากเย่ว์เป่าเจ้าคนโลภ เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนไม่ได้ร่วมมือกับเย่ว์ชิวตัวปลอม ดังนั้นพวกเขาก็นับว่ายังมีความกล้า
เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนมีข้อจำกัดจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักในอนาคต บางทีพวกเขาอาจไม่สามารถออกไปจากทวีปมังกรทะยานได้เลยตลอดชีวิต
เนื่องจากเป็นแบบนั้น.. เย่ว์หยางจึงตัดสินใจอย่างหนึ่ง
“ถ้าข้ามีบางอย่างที่พิเศษ, ข้าจะพิจารณาดู ส่วนขณะนี้ ข้ายังไม่มีอะไรต้องทำอย่างนั้น คอยดูกันต่อไป!” เย่ว์หยางไม่ได้ปฏิเสธเขาทันที แต่เขาก็ยังไม่รับปากทันที
ถ้าเขาทำยาเพิ่มพลังยุทธได้หลายเม็ด เย่ว์หยางจะมอบให้เย่ว์หลิ่งสองเม็ด
แน่นอนว่า เย่ว์หยางคิดว่าสถานการณ์แบบนั้นบางทีจะไม่เกิดขึ้น
แต่เย่ว์หลิ่งก็ดีใจแล้ว
เขายังคงรู้ว่าเย่ว์หยางคงจะไม่มีทางให้ยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธกับเย่ว์เทียนก่อน, เขาดีใจที่เย่ว์หยางไม่ฆ่าเย่ว์เยี่ยนและเย่ว์เทียน ความคิดของเย่ว์หลิ่งก็คล้ายกับเย่ว์หยาง ถ้าเย่ว์หยางทำยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธได้หลายเม็ดและไม่กำจัดพวกเขา อย่างนั้นเขาก็สามารถขอกับเขาสักสองเม็ด เพื่อที่ว่าเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนจะได้มีอนาคตที่สดใส แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เย่ว์หยางจะปรุงยาเม็ดเพิ่มพลังยุทธได้หลายเม็ด แต่อย่างน้อยก็ยังมีความหวัง
ไม่มีรากบัวหิมะเป็นส่วนผสมสำหรับปรุงยาของเขา เย่ว์หยางนับว่าสูญเสียจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เขายังมีครูผู้ฉลาดสุดๆ สาวน้อยกิเลน
สาวน้อยกิเลนไม่เคยเห็นรากบัวหิมะมาก่อน แต่นางก็เข้าใจได้ทันทีที่อ่านสารานุกรมยา นางรู้สึกว่ารากบัวหิมะสามารถทดแทนได้ด้วย วารีชีวิต, น้ำค้างแข็งขาว ผลหินฝนม่วงแดง และดอกใบหงอนไก่สามชุด เมื่อเย่ว์หยางพยายามจัดตามใบสั่ง เขาพบว่าสรรพคุณทางยาถูกบดอัดเพียงเล็กน้อยจึงยากจะดูดซึมได้ ดังนั้นเขาจึงมีความคิดริเริ่มว่าน่าจะลองหยดน้ำทิพย์ลงสักหนึ่งในสิบผสมลงไป
เสวี่ยอู๋เสียแอบชื่นชมจึงเฉียดเข้ามาใกล้เย่ว์หยาง
น่าเสียดายที่เย่ว์หยางยังควบคุมไฟที่เขาใช้ปรุงยาเม็ดได้ไม่ดี เขาจึงยังไม่สามารถปรุงออกมาเป็นยาเม็ด จากนั้นพอสาวกิเลนกระแทกใส่เขาตอนผสมยาและใส่ส่วนผสมมากขึ้นโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มากขึ้น
ยาน้ำเปล่งประกายเรืองรอง
ยาน้ำเพิ่มพลังยุทธค่อยๆ ระเหยและควบแน่นจนกลายเป็นยาเม็ด
เย่ว์หยางรีบใช้เพลิงอมฤตน้อยที่สุดเพื่อกลั่นผลผลิต หลังจากกลั่นมากกว่าสามครั้ง ในที่สุดเขาก็ประสบผลสำเร็จ ตลอดทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นประหลาดแต่ก็สดชื่นมาก เพียงแค่สูดดมกลิ่นของยาเม็ด ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายมีความแข็งแรงขึ้น ถ้ามีคนกินมันและดูดซับพลังงานของมัน พวกเขาก็จะได้รับพลังงานมากพอเอาชนะขีดจำกัดและบรรลุระดับพลังชั้นสูงได้แน่นอน ยาเม็ดพลังยุทธที่เขาสร้างขึ้นมามีคุณภาพสูงเยี่ยม ถ้านักปรุงยาธรรมดาปรุงยาเม็ดพลังยุทธ พวกเขาจะไม่ใช้วารีชีวิตและน้ำทิพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตบท้ายด้วยการกลั่นด้วยเพลิงอมฤต การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้ช่วยให้เย่ว์หยางสร้างยาเม็ดพลังยุทธคุณภาพสูง
ตามการประเมินที่ระบุไว้ในคัมภีร์สารานุกรมยา ยาเม็ดพลังยุทธจัดเป็นยาระดับ 6
ยาระดับ 6 นับเป็นยามหัศจรรย์ที่นักรบทุกคนใฝ่ฝันหา ยิ่งกว่านั้น ยาเม็ดระดับ 7 ยังเป็นขีดจำกัดที่ร่างกายนักรบธรรมดาจะสามารถรับได้ ถ้านักรบธรรมดากินยาระดับสูง เช่นยาระดับ 8 ร่างของเขาบางทีอาจจะระเบิดก็ได้ อาจเป็นสิ่งที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดเท่านั้นถึงจะรับได้
ตอนนี้ เย่ว์หยางเพิ่มวารีชีวิต, น้ำทิพย์และใช้เพลิงอมฤตสร้างยาเม็ดพลังยุทธ ดังนั้น มันจึงเป็นยาที่เหนือกว่าระดับ 6 แม้แต่ระดับ 7 เกือบจะอยู่ในระดับ 8 ด้วยซ้ำ
เย่ว์หยางไม่สงสัยเลยว่ายาเม็ดทั้งสามนี้จะช่วยเพิ่มพลังของคนได้ เขาเพียงแต่กลัวว่าร่างกายของคนธรรมดาจะไม่สามารถรับได้
“กลิ่นหอมจริง! เจ้าปรุงยาเสร็จแล้วหรือ?” เจ้าเมืองโล่วฮัว, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่นกรูกันเข้ามาทันทีเมื่อพวกนางได้กลิ่นหอม พวกนางรุมล้อมเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นและดูกันถึงสามรอบ ยาเม็ดสีแดงที่เย่ว์หยางวางไว้บนชามหยกข้างหน้าเขา พวกนางไม่สามารถละสายตาจากยาได้ มองอย่างกระตือรือร้นเหมือนอยากจะกินมัน นางพญากระหายเลือดและโคเงาอาหมันยังควบคุมตนเองได้ แต่ปีศาจดอกหนามยังควบตุมตนเองไม่ได้ถึงกับน้ำลายหยดเป็นทางบนพื้น ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านางกลัวเย่ว์หยางโกรธนาง นางคงคว้ายาใส่ปากทันทีแล้ว
ฮุยไท่หลางกระตือรือร้นอย่างหนักที่จะแสดงออกว่ามันเป็นสุนัขที่ว่าง่าย
มันรู้ว่ามันประพฤติตัวดี เจ้านายมันจะให้รางวัลมันแน่นอน
แม้ว่ายาเม็ดทั้งสามนี้จะไม่ได้มีพลังมากพอๆ กับศูนย์รวมพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิด แต่ร่างกายของมันก็โหยหาพลังอำนาจภายในยาเหล่านั้น
ความจริงเย่ว์หยางต้องการให้เจ้าเมืองโล่วฮัว, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและนางอื่นๆ คนละเม็ด เพื่อเพิ่มพลังพวกนางช่วยให้พวกนางได้บรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเมืองโล่วฮัวผู้จำเป็นต้องได้มากที่สุด สำหรับเสวี่ยอู๋เสีย ความจริงนางไม่จำเป็นต้องได้เลย แม่นางหนอนตำราผู้นี้อาจจะมีระดับพลังพอๆ กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ไปแล้ว ด้วยความรู้สึกรับรู้และสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมของนาง บวกกับการฝึกผสานร่างกับเย่ว์หยางและทักษะพลังหยินของนาง นางก็จะบรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดได้ในอีกไม่ช้านาน
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือเรื่องคุณภาพของยาเม็ดพลังยุทธนั้นดีเกินไป ยาจะมีผลมาก องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวอาจจะรับพลังของยาไม่ได้
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมองดูเย่ว์หยาง จากนั้นมองดูเสวี่ยอู๋เสีย
จู่ๆ นางก็ส่ายหัว “ข้าไม่กินมัน มอบให้เย่ว์หวี่แทนเถอะ! เย่ว์หวี่จำเป็นต้องได้ยานี้มากกว่าข้า
เย่ว์หวี่รีบโบกมือพัลวันปฏิเสธนาง “ไม่ อย่าทำเสียของเลย ยาเม็ดพลังยุทธจะกลายเป็นของสูญเปล่าถ้าให้ข้ากินลงไป ข้ายังมีหนทางอีกยาวไกลกว่าจะถึงระดับปราณก่อกำเนิด ให้ข้าค่อยๆสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งแทนดีกว่า ในอนาคตเราค่อยปรุงยาเม็ดพลังยุทธอีกก็ได้ ถึงตอนนั้นเราค่อยมาคุยกันอีกครั้ง ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการ ให้ปิงเอ๋อแทนเถอะ!”
เมื่อเย่ว์ปิงได้ยินเช่นนั้น นางหน้าแดงพลางยิ้มอ่อนหวาน “ข้ายังไม่จำเป็น มีพี่สามช่วยฝึกฝนให้ข้า ข้าเชื่อว่า ข้าจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดได้ในไม่ช้า เดี๋ยวนี้ข้าก็มีฝีมือรุดหน้าเร็วมากอยู่แล้ว และยังไม่ถึงขีดจำกัดของข้า ดังนั้นข้ายังไม่จำเป็นต้องได้ ข้าคิดว่าพี่อี้หนานอาจจำเป็นต้องได้มากกว่า หรือไม่ก็รองครูใหญ่และแม่เฒ่าอู่เถิง ให้ยากับคนที่จำเป็นต้องได้ที่สุดดีกว่า!”
เจ้าเมืองโล่วฮัวเห็นพ้องด้วย
สถานการณ์ของนางไม่ต่างจากเย่ว์ปิง พลังของนางรุดหน้าเร็วมากด้วยความช่วยเหลือของเย่ว์หยาง นางยังไม่ถึงขีดจำกัด หรือคอคอดของพลังของนาง ดังนั้นนางจึงยังไม่ต้องการยาในตอนนี้จริงๆ
ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หยางก็คงไม่หยุดแค่เพียงทำยาสามเม็ดแน่ ในอนาคต ถ้านางถึงขีดจำกัดและไม่สามารถรุดหน้าได้ในอนาคต นางค่อยขอยาจากเขาก็ย่อมได้
“ข้า, ข้า, ข้า..” แม้ว่าอี้หนานจะเพิ่มระดับหลังจากผ่านศึกใหญ่ แต่นางประสบสภาวะคอคอดของพลัง เมื่อนางกำลังฝึก นางรู้สึกว่าความเร็วในการฝึกฝนของนางช้ากว่าหญิงสาวอื่นๆ
ที่สำคัญที่สุด อี้หนานยังไม่พอใจกับพลังต่อสู้ของนางเท่าไหร่นัก
นางรู้สึกว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวทุกคนมีประโยชน์ต่อเย่ว์หยาง สามารถช่วยเขาด้วยกำลังของพวกนางได้ มีแต่เพียงนางที่เป็นเหมือนตัวถ่วงเขา พี่อู๋เหินก็สามารถช่วยเขาค้นคว้าอักษรรูน ขณะที่พี่อู๋เสียก็เป็นคู่หูรบที่ดีที่สุดของเขา ความเข้ากันได้ของพวกเขาไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบที่สวรรค์สรรสร้าง เทียบกับหญิงสาวอื่นๆ อี้หนานรู้สึกว่านาง ในฐานะคู่หมั้นเขาไร้ประโยชน์สิ้นดี
ถ้านางสามารถใช้พลังนางช่วยเขาเหมือนกับเจ้าเมืองโล่วฮัวและคนอื่นๆ ถ้านางได้กินยาเม็ดพลังยุทธ ทำไมนางจะทำเช่นนั้นไม่ได้?
เมื่อทุกคนปฏิเสธจะรับมัน กลับเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจมากสำหรับนางที่จะพูดออกมา เนื่องจากนางเป็นเพียงคนเดียวที่ต้องการ
เย่ว์หยางลูบศีรษะอี้หนานเบาๆและพูดนุ่มนวลว่า “อย่างนั้นก็ตกลงตามนั้น ข้าจะช่วยเจ้าควบคุมพลังของยาไว้ ก่อนหน้านั้นข้ายุ่งเกินไป มากจนลืมช่วยฝึกพลังให้เจ้ารุดหน้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว อี้หนาน! เจ้าจะเป็นคนแรก!”
“อืมม!” พอเห็นว่าเย่ว์หยางลูบศีรษะนางต่อหน้าสาวๆ อื่น อี้หนานอายมากจนอยากจะแทรกแผ่นดินเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน
หน้าของนางแดงซ่านเหมือนไฟตลอดจนถึงหู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางจำได้ว่านางเคยโกหกเขาเกี่ยวกับเรื่องจะหมั้นน้องสาวนางให้เขาและนางจงใจมอบสร้อยคอหยกให้เขาเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้เขามีจุดจบที่น่าเศร้าเหมือนกับเหลียงซานป๋อกับจู่อิงไถ นางยังได้ย้ำเตือนให้เขาไปหานาง อี้หนานรู้สึกยิ่งอายมากขึ้นเมื่อนางจำเรื่องเหล่านี้ได้ โชคดีที่สาวๆ นางอื่นไม่ได้หัวเราะนาง แม่สี่ยกย่องนางที่มีความกล้าและฉลาด และนั่นจะทำให้นางเป็นสะใภ้ที่ดี
หลังจากนั้นมาสถานะนางก็ถูกเปิดเผย และอี้หนานไม่กล้าพบเย่ว์หยางอีกต่อไป กลัวว่าเขาจะล้อนางที่พยายามจะหมั้นตัวนางเองกับเขา
พอนึกถึงเรื่องในอดีต อี้หนานรู้สึกเหมือนอยากจะหัวเราะ
ในอดีตเย่ว์หยางก็สนุกสนานมากเกินไป เขาไม่สามารถบอกได้ว่านางเป็นสตรี เขาจะบอกความในใจต่างๆ กับนาง พูดเรื่องต่างๆ เช่น “พี่อี้หนาน! ไปเลือกสาวๆ กันเถอะ.. พี่อี้หนาน ข้าจะแนะนำสาวๆ อกโตให้เจ้า..” เขามักพูดบทกวีเช่น ที่หน้าเตียงข้า มีรองเท้าสองคู่ เปลื้องชุดข้าออก ทิ้งไว้บนพื้น..”
ถ้าเขารู้ว่านางเป็นสตรีในตอนนั้น เขาคงไม่ทำอย่างนั้น เขาคงจะแกล้งทำตัวเป็นบุรุษผู้ซื่อสัตย์แน่นอน
อย่างไรก็ตาม บทกวีที่น่าประทับใจที่เขาสาธยายให้นางฟัง “คำนึงในราตรีสงัด” สะท้อนอยู่ในใจนางทำให้นางนึกถึงบ้าน
หน้าเตียงนอนแสงจันทร์ส่องนวลใย
ให้สงสัยน้ำค้างพร่างพรูลงพื้นดิน
ยกหัวมองแสงจันทร์พลันถวิล
ก้มหน้าคะนึงคิดถึงบ้านเรา
ถ้าเขาไม่เอ่ยบทกวีนี้ในครั้งนั้น นางก็คงไม่ยุ่งกับเขา นางมักคิดว่าเขาเป็นเพียงพวกไล่จีบผู้หญิง เป็นบุรุษผู้โชคดีที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวาย คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเต็มไปด้วยความลับที่ไม่ว่ายังไงก็พูดออกมาไม่ได้ เขาจะยอมเปิดเผยออกมาถ้าเขาไม่มีทางเลือกอื่น อี้หนานทำอะไรไม่ได้ แต่ก็คิดถึงเขา เมื่อนางพบกับเขาโดยบังเอิญที่สมาคมทหารรับจ้าง เจ้าเด็กนี่จงใจยั่วโมโหนาง บอกว่าเขาเขียนหนังสือไม่เป็นและบอกว่าเขาคือไตตัน เขาบอกว่าไตตันคือชื่อของคนแคระ แต่เมื่อนางถามป้าของนางในภายหลัง นางถึงได้รับคำอธิบายว่าไตตันคือชื่อยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนอกทงเทียนที่สามารถเอาชนะเหนือมังกรยักษ์ได้…แน่นอน สิ่งที่ทำให้นางสงสัยมากที่สุดก็คือ นางก็เตรียมจะหลอกเขา
ถ้าจะพูดกันตามตรงๆ ไม่นับเสวี่ยอู๋เสียที่เป็นอดีตคู่หมั้นของเขา นางควรจะเป็นสตรีคนแรกที่ได้พบกับเขา?
เนื่องจากนางให้จี้หยกของนางกับเขา นางก็เป็นสตรีคนแรกที่ให้ของที่ระลึกในพิธีหมั้นกับเขา ถูกไหม?
ไม่ทราบว่า เขายังคงพกจี้หยกที่นางให้เขาหรือไม่?
อี้หนานเงยหน้าสบตาเย่ว์หยางอย่างอายๆ
แต่ทันใดนั้น นางก็ตระหนักว่าคนรอบๆ ตัวนางทั้งหมดจากไปโดยที่นางไม่รู้ตัว มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้อง นางตื่นเต้นทันที
พอหันไปรอบๆ นางเตรียมจะจากไป แต่เย่ว์หยางจับมือนางไว้
อี้หนานหัวใจเต้นรัว ขณะที่นางทักท้วงแผ่วเบา “ปล่อยข้าเถอะ!”
“ถ้าข้าปล่อยมือคนงามที่ข้าคว้าไว้อยู่ ข้าจะมิกลายเป็นคนโง่หรือ?” ไม่เพียงเย่ว์หยางปฏิเสธจะปล่อยนางเท่านั้น แต่เขาเอื้อมมือดึงอี้หนานเข้ามากอดไว้ อี้หนานอายแทบตาย เกี่ยวกับเรื่องความเคลื่อนไหวที่ลามกของเขา นางพยายามเลี่ยงเขาด้วยร่างที่อ่อนแอของนาง นางทุบไปที่มือของเขา ขอให้เขาปล่อยนาง หน้าของนางแดงไปหมดกระทั่งคอขาวราวหิมะก็พลอยแดงไปด้วย
“หยุดนะ, ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูด ก็พูดไปสิ” อี้หนานหลบไม่ให้เย่ว์หยางกอดและดิ้นหลุดจากอ้อมแขนเขาได้สำเร็จ
นางตระหนักว่าเขายังจับมือนางไว้ ดังนั้นนางจึงไม่ปฏิเสธเขาและยอมให้เขาจับมือนางต่อไป
ความรู้สึกที่ยอมให้เขาจับมือมือให้ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งสบายและอบอุ่นทั้งรู้สึกแนบแน่นในขณะเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
เย่ว์หยางรู้ว่าเขาต้องอดทน รีบเร่งเกินไปจะทำทุกอย่างพินาศ ลูกแกะน้อยอยู่กับเขามาตลอด เขาสามารถกินนางได้ช้าๆ ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง
พอฉุดมือของอี้หนาน เย่ว์หยางนั่งลง เขาจงใจมองนางที่เอาแต่หลีกเลี่ยงไม่กล้ามองเขา “พี่(ชาย)อี้หนาน นานแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน เจ้าต้องการปรึกษาเรื่องสาวอกโตๆ บ้างไหม?”
เมื่ออี้หนานได้ยินเขาพูด นางรีบต่อยใส่เขาทันที ไม่อาจทนเขินต่อไปได้ “เจ้ายังกล้าพูดอีกหรือ? เจ้าโกหก.. พูดก็พูดเถอะ เจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นสตรีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ใช่ไหม?”
เย่ว์หยางหัวเราะร่าเริงและตอบกลับว่า “ถ้าตอนนั้นข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าจะว่ายังไง?”
“อย่างนั้นเจ้าก็เป็นตัวโง่งมจริงๆ!” อี้หนานหัวเราะลั่น เมื่อนางคิดเรื่องที่เขาเรียกนางว่าพี่อี้หนานครั้งก่อนนั้น ทำให้นางกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“แล้วจะเป็นไง ถ้าข้าแกล้งทำเป็นไม่รู้?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“อย่างนั้นเจ้าก็เป็นคนโกหก เป็นจอมโกหก!” อี้หนานเบะปากใส่เขา นางรู้สึกว่าเขาอาจรู้แล้วตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ แต่ไม่พูดออกมา และแต่งเรื่องราวของเหลียงซานป๋อกับจูอิงไถมาเล่าให้นางฟัง เขาต้องการพูดเป็นนัยๆ ว่านางเป็นคนโง่ เมื่อคิดดูอีกครั้ง เมื่อนางสวมจี้หยกลงบนคอของเขา เขาต้องแอบหัวเราะลับหลังนางเป็นร้อยๆ ครั้งแน่ คนโกหกที่น่ารังเกียจ อี้หนานโกรธจัดจนอยากจะทุบเขา แต่เมื่อนางมองใบหน้ายิ้มแย้มของเขา น้ำหนักหมัดของนางกลายเป็นเบาเหมือนมด
“เจ้าชอบคนโง่หรือคนโกหก?” เย่ว์หยางขยับเข้าไปใกล้นาง จนเกือบชิดจมูกของนาง
“ใคร, ใครจะชอบเจ้าลง.. นั่น.. นั่นเป็นการตัดสินใจของท่านป้าข้าโดยข้าไม่ยินยอม..” อี้หนานรู้สึกว่าเจ้าคนโกงนี่กำลังจะจูบนาง และนางยังรู้สึกกังวลมาก นางรู้สึกริมฝีปากเม้มแน่น และนางยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเลย
เขาจะจูบนางอยู่แล้ว นางจะทำเช่นใดดี?
อี้หนานต้องการจะเลียริมฝีปากนางและผ่อนคลายสีหน้าก่อน แต่นางกลัวว่าเย่ว์หยางจะมองเห็นความกังวลใจนาง นางกลัวมากว่าเขาจะเข้าใจผิดว่านางอยากจะให้เขาจูบ
ริมฝีปากเย่ว์หยางแค่ห่างจากปากอี้หนานนิดเดียว เหมือนกับว่าริมฝีปากจะสัมผัสกันได้ถ้าพวกเขาพูดออกมา
ลมหายใจร้อนจากปากของพวกเขาทำให้นางรู้สึกมึนงง
อี้หนานตื่นเต้นจนหัวใจนางเต้นรัวราวกับเป็นบ้า
ขณะที่หัวใจนางเต้นระรัว นางอายมากจนนางต้องการจะหลบเขา แต่นางก็เกรงว่าเขาจะโกรธนาง ยิ่งกว่านั้น นางยังคงอยากลิ้มรสจูบ.. นางไม่กล้าจูบเขาก่อน แต่นางยินดีรอ นางรู้ว่าเจ้าตัวโกงนี้จูบนางแน่นอน แต่เขาก็พยายามหลอกล่อให้นางจูบเขาก่อน นั่นเป็นไปไม่ได้ นางจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตัวร้ายนี่ทำตามวิธีของเขาแน่ เขาหลอกให้นางหลงกลหมั้นเขาเองเมื่อครั้งก่อน ทำให้นางมอบจี้หยกให้เขา ตอนนี้ยังต้องการให้นางจูบเขาก่อน มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
“เจ้าต้องการฟังอีกเรื่องหนึ่ง? ข้าจะเล่าเรื่องของสวี่เซียนกับนางพญางูขาวให้ฟังเอาไหม?” เย่ว์หยางเป่าลมหายใจใส่ริมฝีปากบางของนางทำให้นางอายจนหน้าแดงกว่าเดิม
“…” อี้หนานทั้งอายทั้งโกรธ ยังมีเรื่องอะไรที่เขาจะมาเล่าอีกในเวลาอย่างนี้? ถ้าเขาต้องการจูบนาง อย่างนั้นก็ควรจะจูบนาง นางไม่สามารถทนได้ต่อไปแล้ว ค่อยเล่าเรื่องให้นางฟังทีหลังไม่ได้หรือไง?
“เจ้าอยากฟังไหม?” เย่ว์หยางยื่นหน้าเข้ามาใกล้นางอีก จนเกือบสัมผัสริมฝีปากแดงของนาง ใกล้มากจนรู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวจากริมฝีปากของเขา
“ข้า, ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!” อี้หนานส่งเสียงด้วยความหงุดหงิด ถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่จูบนาง อย่างนั้นนางก็จะโกรธเขาแน่นอน
***************