===============
หลังจากเป็นพยานในการยกระดับเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าแล้ว เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ก็ฝึกหนักกันทั้งวันทั้งคืน
แม้แต่บุรุษน้ำแข็งเสวี่ยทันหลางที่มักจะฝึกตามลำพังก็ยังออกมาร่วมฝึกกับพวกเขาด้วย
ปกตินอกจากฝึกแล้ว พวกเขายังท้าทายกับฮุยไท่หลาง, โคเงาอาหมัน, ปีศาจดอกหนามและอสูรอื่นๆ มาสู้ด้วย ก็น่าจะได้รับการยกย่องแน่นอน แต่ความจริงพวกเขาหาเรื่องลำบากใส่ตัว เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ถูกฮุยไท่หลางเล่นงานสะบักสะบอม บางทีก็ถึงกับกระดูกหัก โชคดีที่ฮุยไท่หลางและโคเงาอาหมันเป็นอสูรที่ใช้ความสามารถระหว่างสู้จริงเท่านั้น พวกเขายังไม่ได้แสดงความสามารถเต็มร้อยระหว่างฝึก มิฉะนั้นเย่คงและคนอื่นๆ คงจะแพ้ย่อยยับเจ็บตัวยิ่งกว่านั้น
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ายังกลับมาแนะนำสอนพวกเขา ส่วนเซียนนักพรตแวะมาบ้างเป็นบางครั้ง
เซียนนักพรตใช้เวลาส่วนใหญ่สอนเสวี่ยทันหลางซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่มีแววที่สุดที่นั่น ขณะที่บัณฑิตวัยกลางคนจะคอยสอนองค์ชายเทียนหลัว
เย่ว์คงและเจ้าอ้วนไห่เห็นว่าพวกเขาจะเสียเปรียบมากในการฝึกแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้เย่ว์หยางช่วยสอนเขา เย่ว์หยางสร้างวิชาใหม่ขึ้นมา จากการผสานท่า “ผ่าปฐพี” ของเย่ว์ชิว, ปราณกระบี่จักรพรรดิของราชสำนัก, พลังกดถ่วงของสนามพลังของว่านฉีซิ่วหลิง, สนามพลังอ่อนล้าของตวนมู่หลงเฉิง, พลังเทเลพอร์ตของสื่อจินโหว พลังเปลี่ยนรูปของแม่ทัพปีศาจเก้าหัวของเผ่าปีศาจบูรพา และกระทั่งการเรียกความมืดของตู้หลันแม่ทัพใหญ่ปีศาจ ชื่อของวิชานี้ก็คือ วิชาเสาโทเท่มศึก
นี่ทักษะที่ทักษะการสู้แบบรุมกินโต๊ะ ยิ่งมีจำนวนคนใช้พลังมาก ก็ยิ่งแสดงพลังได้มาก
วิชาเสาโทเท่มศึกเป็นวงเวทอักษรรูนอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้เย่ว์หยางยังคงหลอมร่างของจ้าวอัคนีสร้างเป็นโลหะอัคนีเงาและเหล็กอุกาบาตบริสุทธิ์ ด้วยวัสดุทั้งสองนี้ เย่ว์หยางจึงสร้างเป็นเสาโทเท่ม รวมเข้ากับอักษรรูนสวรรค์ เย่ว์หยางใช้ความรู้เรื่องโทเท่มที่เขาเคยเรียนรู้มาจากเกมเมื่อตอนอยู่ในโลกก่อน สร้างพื้นที่ซึ่งมีผลพิเศษจากเสาโทเท่มอักษรรูน
เนื่องจากเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ไม่สามารถใช้สนามพลังได้ เขาจึงผลิตสนามพลังขึ้นมาโดยใช้เสาโทเท่ม
พอแกะสลักอักษรรูนลงบนเสาโทเท่ม ก็ให้ผลคล้ายกับมีสนามพลังปรากฏอยู่ในพื้นที่พิเศษ
นี่คือการเลียนแบบอย่างสร้างสรรค์ของเย่ว์หยาง
แม้ว่าการสร้างนี้จะเป็นการลอกเลียนมา แต่พลังและผลกระทบของเสาโทเท่มกลับดีมาก เซียนนักพรตและบัณฑิตวัยกลางคนยกย่องเขาเป็นการใหญ่
วิชาโทเท่มศึกเกิดขึ้นโดยเย่ว์หยางขโมยแนวความคิดและลอกเลียนแบบมาอย่างหน้าด้านๆ
เขาสร้างเสาโทเท่มขึ้นมาสี่เสาในชุดแรก
นอกจากให้โทเท่มแท่งหนึ่งกับเย่คงเสมือนเป็นอาวุธ เขายังให้เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่คนละแท่ง
ก่อนจะเข้าต่อสู้ พวกเขาจะต้องตรึงพลัง “กดถ่วง” “อ่อนล้า” และ “ความมืด” ของเสาโทเท่มลงในสนามต่อสู้ จากนั้น พวกเขาจึงจะสามารถโจมตีใส่ศัตรูของพวกเขาทันทีที่เปิดใช้พื้นที่ซึ่งมีผลกระทบได้
ยิ่งพวกเขามีเสาโทเท่มตรึงไว้มาก พวกเขาก็จะมีพลังมากขึ้น ในเมื่อพวกเขาร่วมมือกัน พื้นที่ๆ ส่งผลก็จะมีขนาดใหญ่มาก
สำหรับวิชาต่อสู้ พวกเขาจำเป็นต้องใช้ “ดาบผ่าปฐพี” เป็นหลัก และใช้ปราณกระบี่จักรพรรดิเป็นพลังเสริม พวกเขายังใช้ประโยชน์จากผลกระทบพิเศษจากการเทเลพอร์ตและเปลี่ยนแปลง เจ้าอ้วนไห่คงจะไม่มีปัญหาแน่นอน เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญในการแปลงเป็นเบเฮม็อธ เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวจะคอยเน้นเทเลพอร์ตเป็นหลัก เย่ว์หยางคิดว่าถ้าเขาไม่สอนพวกเขา บางทีพวกเขาอาจแอบเรียนรู้ก็ได้ ดังนั้นเขาตัดสินใจเผื่อแผ่สอนให้ทุกคน
สำหรับพี่น้องตระกูลหลี่ นอกจากคอยช่วยสนับสนุน พวกเขายังต้องรับผิดชอบปกป้องเสาโทเท่ม
ถ้าไม่ใช่เพราะขาดแคลนวัสดุ เย่ว์หยางก็ต้องการให้เสาโทเท่มเสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวคนละแท่งด้วยเช่นกัน
ไม่ว่ายังไงก็ตาม วิชาโทเท่มศึกที่เย่ว์หยางสร้างขึ้นก็เป็นเหมือนทักษะโกงเป็นกลุ่ม คนเพียงคนเดียวไม่สามารถแสดงพลังได้มากนัก แต่คนมากคนรวมกลุ่มกันผสมโรงกับศัตรูสร้างพลังงานมหาศาลขึ้นมา
ในขั้นตอนทดสอบ อย่าว่าแต่นักสู้ธรรมดาเลย แม้แต่อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าที่เพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดยังแทบจะพ่ายแพ้
นี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ยังไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงของเขา พวกเขาแค่เริ่มต้นเรียนรู้ทักษะนี้เท่านั้น และยังไม่เชี่ยวชาญดีนัก พวกเขายังไม่พร้อมเพรียงกันนักในการร่วมประสานงาน เมื่อเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ เชี่ยวชาญในทักษะได้สมบูรณ์และสามารถเอาพลังของทักษะออกมาใช้ได้เต็มร้อย พวกเขาจะไม่มีปัญหาถ้าจะต้องสู้กับศัตรูอย่างเหยากวงและเทียนฉวนจากพันธมิตรเจ็ดดาวซึ่งเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 2
จุนอู๋โหย่ว, ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และคนอื่นๆ ยังไม่กลับมา
การบูรณะปราสาทตระกูลเย่ว์ดำเนินการมาอย่างราบรื่นด้วยการควบคุมจัดการของลุงรองเย่ว์หลิ่ง และความจริงที่ว่าศัตรูได้หายไปโดยไร้ร่องรอย ปราสาทตระกูลเย่ว์กลับคืนสู่ความสงบโดยสิ้นเชิง ไม่มีการโจมตีจากศัตรูเลยแม้แต่น้อย
เย่ว์หยางตัดสินใจหยุดการผลิตยาหรือทำเสาโทเท่มก่อน เนื่องจากขาดแคลนวัสดุ และเขาง่วนอยู่กับสิ่งอื่น
เขาทิ้งฮุยไท่หลางให้ช่วยฝึกกับเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ เป็นทรมานพวกเขา ขณะที่เขากับเสวี่ยอู๋เสียและสาวๆ นางอื่นกลับไปบ้านในสวนน้อย ในตอนเช้า เขาจะฝึกผสานร่างกับสาวๆ ช่วยให้พวกนางมีทักษะรุดหน้าพร้อมกัน ตอนกลางคืนเขาก็มีความสุขในชีวิตมากเท่าที่เขาต้องการ หญิงงามอู๋เหินนับวันก็ยิ่งเป็นภรรยาที่ฉลาดมาก พูดให้ถูกยิ่งกว่าก็คือ พรสวรรค์ของเย่ว์หยางที่จะสอนได้ก็มากเช่นกัน มีเรื่องน่าอายหลายเรื่องที่หญิงงามอู๋เหินไม่รู้และไม่ยินดีทำมาก่อน ซึ่งเย่ว์หยางค่อยๆ โน้มน้าวให้นางทำกับเขาจนได้ นี่ทำให้เวลาช่วงนี้เองเย่ว์หยางรู้สึกมีความสุขราวกับอยู่ในสวรรค์
แม้ว่าห้องขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวจะอยู่ค่อนข้างไกล แต่พวกนางก็ได้ยินเสียงหอบและครางของหญิงงามอู๋เหินทุกคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเย่ว์หยางใช้ลีลาพิสดารทำให้นางไม่สามารถหยุดร้องได้ เสียงร้องของนางดังและชัดเป็นพิเศษ
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนมีทักษะแฝงเร้นหกรับรู้รู้สึกลำบากใจมาก ดูเหมือนการมีประสาทรับรู้ที่แหลมคมอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
อย่างไรก็ตาม คนที่ลำบากใจที่สุดไม่ใช่นาง กลับเป็นเย่ว์หวี่
นางรู้เรื่องกิจกรรมบนเตียงของสามีภรรยา นี่เป็นเรื่องปกติ นางยังหวังว่าหญิงงามอู๋เหินจะมีบุตรให้เย่ว์หยาง เพื่อที่ว่าเขาจะได้สืบสายเลือดของตระกูลสาขาที่สามและที่สี่
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางบังเอิญได้ยินเสียงเหล่านี้ นางรู้สึกอึดอัดใจมาก
นางมีฐานะเป็นพี่สาวของเขา
มีห้องไม่มากในสวนน้อย ยิ่งกว่านั้น เย่ว์หวี่ยังฝึกฝนได้รุดหน้ารวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วัน เสริมสร้างประสาทรับรู้ของนางและทำให้การเห็นและการฟังของนางแหลมคมมากขึ้น ตอนค่ำคืนเมื่อนางพยายามจะหลับ นางก็ยังได้ยินเสียงเลือนรางไม่ว่าจะพยายามเอาหมอนอุดหูหรือคลุมโปงก็ตาม สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับเย่ว์หวี่ก็คือ แม้ว่านางจะแข็งใจปฏิเสธไม่ฟังเสียงเหล่านี้ แต่นางก็พบว่ายิ่งปิดหูก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนเลือนราง เหมือนกับว่านางต้องการฟังเสียงที่น่าอายเหล่านี้..
หัวใจนางเต้นเร็วแรงขณะที่ได้ยินเสียงหอบหายใจของหญิงงามอู๋เหิน
ตอนแรกนางก็ไม่สามารถจะใช้ชีวิตอย่างนี้ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม นางเห็นวิธีที่เสวี่ยอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าไม่ควรปรึกษาเรื่องนี้
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ตระหนักว่าเสียงที่นางเคยได้ยินเป็นเสียงมีความสุขของน้องชายนางและน้องสะใภ้นางตอนกลางคืน มันถึงจุดที่นางรู้สึกว่าคงมีบางอย่างผิดปกติถ้านางไม่ได้เสียงพวกเขาตอนกลางคืน
คนที่มีความสุขที่สุดก็คือเย่ว์ปิง นางมักจะรู้สึกเหนื่อยจากการฝึกระหว่างวัน ดังนั้นนางจึงหลับเหมือนท่อนไม้ตลอดทั้งคืน ยิ่งกว่านั้นเย่ว์หยางมักจะเพลิดเพลินกับกิจกรรมยามค่ำคืนของเขาหลังจากนางหลับไปแล้ว
สำหรับอี้หนาน ความสัมพันธ์ของนางกับเย่ว์หยางพัฒนารวดเร็ว
เหตุผลก็เพราะเย่ว์หยางมักจะสรรหาเรื่องมาเล่าให้นางฟังทุกวัน
ม่านประเพณี, ตำนานนางพญางูขาว, โรมิโอกับจูเลียต ทุกวันไม่ซ้ำกัน ถ้าอี้หนานต้องการหัวเราะ เย่ว์หยางจะเล่าให้นางฟังถึงวิธีที่ฮัวมู่หลานปลอมตัวเองเป็นบุรุษเพื่อเข้าร่วมกองทัพ ถ้าอี้หนานต้องการฟังเรื่องเศร้า เขาจะเล่าเรื่องตู้สือเหนียงให้นางฟัง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เศร้ามากกว่าของหลี่ชิงจ้าวผู้แต่งงานหลอกๆ และถูกจองจำและเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด เรื่องของหลิ่วซี หนึ่งในแปดสาวงามแห่งฉินหุยผู้ฆ่าตัวตายตามสามี
นอกจากนี้ยังมีเรื่องโรแมนติก รักอมตะอย่างเรื่องแม่นางเมิ่งเจียงและเรื่อง “หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจก็ไม่ลืม” (ภาพยนตร์เรื่อง Farewell My Concubine)
เย่ว์หยางแม้จะทิ้งการเรียนมาแล้วก็ตาม แต่ยังยังดำเนินเรื่องราวที่เศร้าแต่งดงามของลู่โหยวและญาติของเขาถังหว่าน สาวงามทั้งบ้านเมื่อได้ฟังก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่น้ำตาร่วงเมื่อได้ฟังบทกวีไชโถวเฟิ่งของลู่โหยว
สองมือนุ่มนวลชมพูเของเจ้า
มอบสุราขวดทองแก่ข้า
หลิวขจีโอบล้อมโดยกำแพงวังเวียง
ลมหนาวพัดกายาทุกข์ทน
เวลาแห่งความสุขสั้นนัก
จอกแห่งความโศกศัลย์
ข้าถูกพลัดพรากไปนานปี
ผิดแล้ว ผิดแล้ว ผิดแล้ว
ความงามดุจใบผลิแย้มของเจ้า
เรือนร่างแบบบางดุจอากาศเปล่า
ผ้าพันคอไหมของเจ้าเต็มคราบน้ำตาแดง
ผลท้อสิพลันหล่นลง
สวนว่างเปล่ามิมีเรา
แม้ว่าเราจะรักษาสัญญาได้
เรามิอาจส่งข่าวฝากรักถึงกัน
ไม่ ไม่ ไม่
(เป็นเรื่องราวของกวีลู่โหยวและถังหว่านญาติของเขา พวกเขารักกันและแต่งงานกัน แต่มารดาของลู่โหยวบังคับให้พวกเขาหย่ากัน เพราะถังหว่านยังเด็ก ผ่านไปหลายปีบทกวีไชโถวเฟิ่งจึงถูกประพันธ์ขึ้นเมื่อลู่โหยวและถังหว่านมาพบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบปี แต่ทั้งคู่แต่งงานใหม่แล้ว)
เพื่อเอาไว้ใช้จีบสาวๆ เย่ว์หยางจดจำบทกวีไชโถวเฟิ่งได้ แน่นอนว่า นี่ยังเกี่ยงข้องกับความจริงที่ว่าพลังความทรงจำของเขาเพิ่มขึ้นมากมายหลังจากเชี่ยวชาญพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ เมื่อเขาต้องการจะนึกถึงอะไรก็ตามที่เคยเรียนในอดีต เขาจะจำได้ชัดเจนทั้งหมด นึกได้ขณะที่คิดเลยทีเดียว
ถ้าเขามีความสามารถเช่นนี้อย่างก่อนที่จะมาโลกนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องทบทวนความรู้ก่อนสอบ ก็ได้ผลสอบที่ดีแน่
เมื่อเขาท่องบทกวีไชโถวเฟิ่ง แม้แต่เสวี่ยอู๋เสียผู้มักจะไม่ขยับทำอะไรได้ง่ายๆ ก็ยังขอร้องเขาให้จดบทกวีไชโถวเฟิ่งที่ลู่โหยวเขียนถึงถังหว่านญาติของเขาจนจบ
น้ำใจไมตรีเปราะบาง คนโหดร้าย
ฝนยามค่ำพาบุปผาหล่นง่ายดาย
ลมแล้งยามเช้าตรู่ คราบน้ำตายังคงเหลือ
อยากเผยความในใจ พิงระเบียงเพ้อเดียวดาย
ยาก ยาก ยาก
ต่างคนต่างเปลี่ยนไป วันนี้มิใช่วันวาน
ใจระทมเดียวดายเสมอ ดั่งชิงช้า
กลัวคนถาม กล้ำกลืนน้ำตาเสแสร้งสุขสม
ซ่อน ซ่อน ซ่อน
ตอนนี้ ไม่มีผู้ใดสงสัยฝีมือประพันธ์กวีของเย่ว์หยางแล้ว
ตอนแรก เสวี่ยอู๋เสียยังนึกว่าเย่ว์หยางแต่งเรื่องขึ้นมาเกี้ยวอี้หนาน นางเพียงแต่หัวเราะในเรื่องไร้สาระอะไรก็ตามที่เขาอ้างถึงโรเมโอกับจูเลียต อย่างไรก็ตาม เมื่อนางยังคงฟังต่อมา นางถึงตระหนักว่า แม้เมื่อกำลังร้องเพลงเรื่องนางพญางูขาว เพลงในเรื่อง “หลายแผ่นดิน แม้สิ้นใจก็ไม่ลืม” ซึ่งน่าเศร้าน่าสงสารมาก แม้ว่าน้ำเสียงของเย่ว์หยางจะไม่สามารถถ่ายทอดความเศร้าในเพลงได้ แต่เสวี่ยอู๋เสียก็ได้ยินโศกนาฏกรรมความรักที่แฝงอยู่ในเนื้อเพลง ช่างเศร้ามากจะกระทบจิตใจส่วนลึกจนสั่นสะท้านวิญญาณ
ถ้าเป็นสตรีร้องเพลงนี้แทน คงจะเศร้ามากกว่านี้แน่นอน
เจ้าเด็กนั่นอาจจะผูกหลายอย่างขึ้นเป็นเพลงก็ได้ แต่เรื่องบทกวี นั่นเป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์ตามธรรมชาติเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกวี เป็นไปได้ไหมว่าเย่ว์หยางมีความสามารถพิเศษในการประพันธ์บทกวี
เสวี่ยอู๋เสียสงสัยว่าเขาคงอ่านหนังสือโบราณมาแล้วคัดลอกบทกวีเอาไว้ “ข้างหน้าเตียงข้านอน มีรองเท้าเคียงคู่สอง ข้าเปลื้องผ้าผ่อนอาภรณ์ ปล่อยวางบนพื้น..” ไฉนถึงกลายเป็นบทกวีสวะไปได้
ต่อจากนั้น เย่ว์หยางก็เล่าเรื่องอีกหลายเรื่องให้อี้หนานฟังอย่างสนุกสนาน นี่ทำให้เสวี่ยอู๋เสีย, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน, เจ้าเมืองโล่วฮัว, เย่ว์หวี่และคนอื่นๆ รู้สึกตะลึง มีหนังสือโบราณที่เขียนเรื่องราวและบทกวีไว้มากหลายเชียวหรือ? นั่นเป็นเรื่องราวและบทกวีที่ทำให้ทุกคนปากอ้าค้างด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่เสวี่ยอู๋เสียผู้อ่านหนังสือมามากมายก็ยังไม่เคยอ่านบทกวีและเรื่องราวความรักที่เย่ว์หยางเล่าให้ฟังมาก่อน
หญิงงามอู๋เหินผู้คร่ำเคร่งกับการค้นคว้าอักษรรูนโบราณและรูนอื่นๆ ก็ยังปลาบปลื้มกับเรื่องราวนั้น
ทุกคนเดาว่ามีความเป็นไปได้เพียงสองประการ
ประการแรก เจ้าเด็กเย่ว์หยางมีฝีมือปานเทพเจ้าที่จะฝันเรื่องราวที่ไม่มีใครรู้ยามเขาหลับ
ประการที่สอง เจ้าเด็กนี่อัจฉริยะผิดธรรมดา ไม่เพียงแต่ในเรื่องวิทยายุทธเท่านั้น เขาสามารถแต่งนิยายประพันธ์บทกวีได้ แม้ว่าจะไม่มีการใช้งานได้มากก็ตาม แต่เขาก็สามารถสร้างเรื่องใช้เกี้ยวสาวๆ ได้
หลังจากปรึกษากันอย่างคร่ำเคร่ง สาวๆ คิดว่ากันว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง เหตุผลก็คือเย่ว์หยางมีความสามารถในการฝึกระหว่างที่หลับได้ ดังนั้นอาจมีเทพบางตนในความฝันของเขาที่คอยสอนเขาในความฝัน มิฉะนั้น คงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะมีฝีมือรุดหน้าโดยเอาแต่นอน บางครั้งเมื่อเย่ว์หยางประสบความพ่ายแพ้หรือมีปัญหาในการฝึก เขาก็จะไปนอนและจากนั้นก็คลี่คลายปัญหาได้รวดเร็วมาก เจ้าเด็กนี่ปิดบังบางอย่างไว้แน่นอน เพียงแต่ว่าทุกคนไม่รู้เรื่องนั้น นี่คือความเป็นไปได้ประการแรก ความเป็นไปได้ประการที่สองคือ สาวๆ ไม่สงสัยเลยว่าเย่ว์หยางเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เจ้าเด็กนี่สามารถสร้างเครื่องมือช่วยโกงอย่าง พยุหะโทเท่มศึก เขายังแต่เรื่องราวมาจีบเกี้ยวอี้หนาน และก่อนนั้นเขาก็มีประวัติร้ายด้วยเช่นกัน เมื่อเขาพบกับอี้หนานครั้งแรก เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้หนังสือและขอให้นางเขียนชื่อปลอม “ไตตัน” ในแบบฟอร์มรับสมัครให้เขา
สำหรับเย่ว์หยางผู้ไม่เคยได้ยินเรื่องราวนอกดินแดนทงเทียน เขาคิดชื่อแบบนี้ได้อย่างไร?
เขายังทำเหมือนกับเป็นการประชดด้วย บอกว่าไตตันก็คือคนแคระ
นี่หมายความว่าเขาไม่เพียงรู้เท่านั้น แต่ยังคุ้นเคยเรื่องราวนอกดินแดนทงเทียนอีกด้วย
ความจริงที่ว่า เย่ว์หยางสามารถแต่งกวีน่าจะเป็นเรื่องความรู้ของมารดาส่งผ่านต่อถึงเขา บางทีลู่โหยวและถังหว่านอาจเป็นคนโบราณจากในอดีตก็ได้ แม้ว่าเรื่องของพวกเขาจะไม่แพร่หลาย แต่มารดาของเย่ว์หยางอาจส่งเรื่องให้เย่ว์หยางผ่านอักษรรูนก็เป็นได้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เย่ว์หยางรู้เรื่องราวมากมายที่คนอื่นไม่รู้
“เย่ว์หยาง! เรียนให้หนัก เจ้าอาจสร้างบทกวีที่ทรงคุณค่าต่อไปก็ได้” เสวี่ยอู๋เสียตบไหล่เย่ว์หยาง และก่อนที่สาวๆ จะได้ทันโต้ตอบ นางดึงบทกวีไชโถวเฟิ่งสองโศลกที่เขียนลงบนกระดาษไปต่อหน้าเย่ว์หยาง
“เขียนบทกวีให้ข้าด้วย แต่ต้องเป็นกวีที่ไม่ธรรมดาและเป็นผลงานชั้นยอดนะ” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจ้องเย่ว์หยางด้วยตาดุของแม่เสือสาว
“ใช่แล้ว, เขียนเพิ่มอีกเล็กน้อยก็ได้ ข้าชอบทั้งบทกวีและบทเพลง ถ้าเจ้าสามารถร้องให้ข้าฟังขณะปลูกดอกไม้และรดน้ำไปด้วยนะ ข้าจะมีความสุขจริงๆ” เจ้าเมืองโล่วฮัวยิ้มหวาน แต่ถ้าเย่ว์หยางกล้าปฏิเสธคำขอร้องของนาง นางคงดึงหูเขาแน่
“พวกเจ้าคิดว่าแต่งบทกวี มันง่ายเหมือนเด็กเล่นหรือ? อ๊ะๆ ช่างเถอะ นั่นจะยากแค่ไหนกันเชียว?” เย่ว์หยางตัดสินใจเป็นนักขโมยความคิดเต็มตัว ทำไมเขาต้องกลัวว่าจะแต่งบทกวีไม่ได้เล่า? เขาก็แค่อ่านบทกวีในยุคถังตลอดสามร้อยปีอีกครั้งก็ได้ ถ้าเขาไม่สามารถแต่บทกวีได้เอง ก็แค่หยิบผลงานมาดื้อๆ อย่างมากเขาก็เป็นแค่นักท่องบทกวี ตราบใดที่สามารถทำให้สาวๆ มีความสุข ลำบากกับการท่องบทกวีมากขึ้นจะเป็นไรไป? เขายังมีบทกวีจากยุคซ่ง หากว่าเขาท่องบทกวีจากยุคถังจบหมด ถ้าไม่มีบทกวีจีนเหลือให้ท่องอีกต่อไป เขาก็ยังท่องบทกวีของอังกฤษก็ยังได้ มีอยู่น้อยเสียเมื่อไหร่ โยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเทอ, ไฮน์ริช ไฮน์, จอร์ช ไบรอน.. เขาจะเอามาใช้ให้หมด นี่คืออาวุธชั้นยอดไว้ใช้จีบสาวๆ ดังนั้น เขาต้องหนังหนาหน้าด้านเข้าไว้ ถ้าเขาสามารถจีบสาวๆ ได้ ขโมยความคิดคนอื่นก็แค่หยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น
“พี่สาม, เท่ห์มากเลย!” ตอนนี้ เย่ว์ปิงนับถือพี่ชายนางสุดหัวใจยิ่งกว่าเดิม
สำหรับอี้หนาน นางตัดสินใจขออยู่ค้างคืนเพื่อชมผีเสื้อกับเขา.. ไม่มีผีเสื้อกลางคืนน่ะหรือ? ไม่เป็นไร อย่างนั้นใช้ผีเสื้อเมามายของนางก็ได้